วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2560

บทความจาก หนังสือบุคคลยุคต้นวิชชา


บทความจาก หนังสือบุคคลยุคต้นวิชชา
สมาธิตอนเด็กๆ พูดแล้วก็อัศจรรย์ พอทำอยู่กับหลวงพ่อตรึกอะไรก็ไปได้เลย ตอนนี้สู้ตอนนั้นไม่ได้ พอตอนเช้าๆออกมาทานข้าว คนในโรงครัวกับคนทำวิชชาเขาจะแยกกัน...ขณะที่เราเดิน จิตจะสว่างหมด จะเห็นดวงใสอยู่ในกาย จะมองเห็นหน้าคนไม่ชัด ใจจะติดอยู่แต่ข้างใน หลวงพ่อท่านเห็นว่า หมอเป็นเด็กฉลาดและคล่องแคล่วในตอนแรกเลยนั้น ท่านให้ไปฝึกแก้โรคที่ตรงประชาสัมพันธ์ ฝึกแก้โรคก็ไม่ยากหรอก ท่านบอกว่าพวกนี้มันมีเหตุมาหลายอย่าง มนุษย์เรามี 2 สาย คือสายดำกับสายขาว สายขาวคือสายธรรมะของเราก็พยายามให้แสงสว่างให้มีความสว่างไสวอยู่ตลอดเวลา สายดำของเขา เขาก็สั่งให้ทำบาป ยิ่งทำเลวร้าย สกปรกโสมม ไปผิดศีล ผิดธรรม เขายิ่งชอบมากเลย สายดำเขาให้กำลังความชั่วอย่างนี้
แต่สายเราสายขาวก็ให้กำลังแต่ธาตุธรรมฝ่ายดี หลวงพ่อจะแยกธาตุท่านจะบอกว่าสายดำมันมาแยกอย่างนี้นะ จะเกิดอะไรขึ้นมาท่านก็ให้ช่วยทำให้สว่างไสว ให้แม่ชีช่วยทำด้วย แต่ทีนี้แม่ชีน้อยเหลือเกิน มีแค่ 30-40 คน ไม่พอ เพราะการทำวิชชาต้องใช้คนเยอะ เวลาทำวิชชาใช่ว่าใจทุกคนจะนิ่งแน่นตลอดหมดทุกคน สามารถดิ่งไปได้เรื่อยๆ มีที่หลับที่ตื่นก็มี หลวงพ่อท่านก็จะคอยปลุก คือท่านจะเรียก เรียกทีไรตื่นทุกที ได้ยินทุกที หลวงพ่อเหมือนท่านจะไม่ได้หลับเลย อยู่ทุกกะ และได้ยินเสียงท่านตลอด
หลวงพ่อจะชื่นชมทุกคน รักลูกทุกคน ท่านเมตตามาก สมัยก่อนที่คณะทำวิชชาจะมีต้นมะม่วงอยู่ 2 ต้น หลวงพ่อท่านก็จะเด็ดใส่กระจาด แล้วให้แม่ชีจับฉลาก หมอก็มักอธิษฐานว่าถ้าลูกมีบุญวาสนาก็ให้จับได้ แล้วก็จับได้เป็นอัศจรรย์ หลวงพ่อท่านมีอะไร ท่านก็จะเอามาแบ่งปันให้ลูกๆทุกคน ตอนที่ทำวิชชาจะไม่เห็นกันนะพระอยู่ฝั่ง ชีอยู่อีกฝั่ง หลวงพ่ออยู่ตรงกลางมีฝากั้น แม้หลวงพ่อท่านจะไม่เห็นลูกๆ แต่ท่านรู้เรื่องของลูกๆหมดเลย ...โอ้โห...พอออกไปข้างนอก กลับมาท่านก็จะถามไปไหนมา ท่านทักทีขยาดก็แล้วกัน ท่านรู้หมด หาอย่างหลวงพ่อนี่ไม่มีอีกแล้ว ท่านบริสุทธิ์ผุดผ่องจริงๆ ท่านด่าก็ด่าเจ็บ ว่าก็ว่าเจ็บ เป็นยิ่งกว่าพ่อแม่เสียอีก
มีเรื่องอัศจรรย์เรื่องหนึ่ง คราวนั้นเป็นฤดูหนาว หนาวมากเลย มีเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ออกมาอยู่แถวๆหน้ากฏิทำวิชชา ดูท่าทางเขาหนาวมาก พอเห็นแล้วก็สงสาร จึงเอาผ้าห่มที่มีอยู่แค่ผืนเดียวของตัวเองให้เขาไป พอบ่ายๆเย็นๆหลวงพ่อก็ถามว่า ใครไม่มีผ้าห่มบ้างวะ เหมือนกับท่านรู้ แล้วท่านก็ส่งผ้าห่มให้ 1ผืน ส่งผ่านมาทางช่องเล็กๆ อย่างที่เล่าให้ฟังว่าห้องทำวิชชาจะมีช่องเล็กๆไว้ยื่นส่งของ วิชชาดับดาวนั้นมีจริงๆ หลวงพ่อท่านไม่อยากให้มีดวงดาว ดวงอาทิตย์ เมื่อมีดวงจันทร์ ดวงดาว ดวงอาทิตย์ ต้องมีการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ท่านทำในเหตุ ดับในเหตุ ทำต่อเนื่องกันมา แม้จะมีอีกกี่หมื่นกี่แสนชาติ ท่านก็จะทำ ถ้าเราพูดถึงหลักธรรมะ คือดับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ให้มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่ก็ทำ ตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ท่านต้องการไม่ให้มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ท่านจึงให้ดับความกำหนัด เมื่อเกิดความกำหนัดยินดี ก็เกิดราคะ เมื่อเกิดราคะ ก็เกิดอวิชชา สร้างบาปสร้างกรรมก็เกิด แก่ เจ็บ ตาย
หลวงพ่อท่านทักอะไรใคร ก็จะเป็นอย่างนั้น เคยสัมผัสมาหลายครั้ง ทั้งเรื่องเจ็บป่วย และเรื่องตาย หมอเคยอยู่ในเหตุการณ์ครั้งหนึ่ง คือเด็กสมัยก่อนก็บ้าๆบอๆเสียสติ เวลาเรือแล่น สมัยก่อนเรือนั้นจะแล่นเร็วมาก แล้วเด็กจะเกาะเรือตามสายน้ำมาเรื่อย สติไม่ดี ท่านบอกว่ามันไม่หาย มันไม่บ้าแต่มันบอ ไม่หาย แล้วหลวงพ่อท่านจะบอกเอง จะเป็นจะตาย ดีไม่ดีท่านบอกเอง ไม่ต้องไปจุกจิกกับท่าน ท่านรู้ดี ท่านจะไม่ทายส่งเดช และไม่อวดรู้
หลวงพ่อเป็นองค์พระที่ปฏิบัติตนดีมาก พระของขวัญของหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ทุกองค์ ถ้าใครเอาไปใช้ในทางที่ถูกต้อง สมัยนั้นมีบางคนเอาไปทิ้งทะเล ทิ้งแม่น้ำ หาว่าพระของหลวงพ่อมีกระดูกมีอะไรต่ออะไรผสมอยู่ จริงๆแล้ว ก็จะมีเกศาของหลวงพ่อผสมอยู่ทุกองค์ และดอกมะลิ ดอกมะลินี้ก็มีกายสิทธิ์ กายสิทธิ์นี้ก็มีจริงๆนะ ในลูกหินมีกายสิทธิ์ มนุษย์เราถ้ามีจักรพรรดิ มหาจักรพรรดิยิ่งรวย กายสิทธิ์ก็ยิ่งลูกใหญ่ คนมีบุญถึงจะมีกายสิทธิ์ อย่างพวกแก้วแหวนเงินทอง ก็มีกายสิทธิ์อยู่ทั้งนั้น เรามองไม่เห็น ต่อเมื่อนั่งธรรมะ จึงจะรู้และสัมผัสได้ ตอนท่านทำพระของขวัญ ก็ได้ช่วยหลวงพ่อ ท่านยังบอกเลยว่า เอ็งไม่เอาเหรอ 25 บาท ใครมีพระหลวงพ่อจะได้สมบัติพันล้าน ความนัยของหลวงพ่อที่พูดก็คือ ที่เราสร้าง 25 บาท เงินอันนี้ไปสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม หลังแรกของวัดปากน้ำ ศาลาหลังนี้นะ พระไปเรียนไปศึกษาพระปริยัติธรรม ก็จะได้บุญตลอด แล้วทำไมจะไม่มีพันล้าน จะมีมากกว่าพันล้านอีกจะติดตัวไปเป็นร้อยๆ ชาติ พระของหลวงพ่อ ถ้าเอาไปใช้ในทางไม่ดี ไปจี้ปล้นหลอกลวง ก็ไม่ได้ผล ต้องใช้ในทางกุศลเท่านั้น
ตอนที่ทำพระรุ่น 4 นั้น หลวงพ่อท่านมรณภาพไปแล้ว ตอนที่หมอมีพระของขวัญของท่านก็ไม่ได้รักษา ท่านเคยเตือนว่า ระวังพระจะหายนะ ต่อมาพระก็หายจริงๆ หลวงพ่อท่านจะเตือนอยู่ตลอดเวลาว่า อย่าประมาท เราจะคว้าขอนไม้หรือจะคว้าดวงแก้ว คนที่ไม่มีธรรมะเหมือนกับขอนต้นไม้ ถ้าเรามีธรรมะเหมือนกับมีดวงแก้วเกาะ เราไม่ไปนรกแน่นอน เพราะถ้าเรามีดวงแก้ว มีดวงธรรม เราก็ไม่กล้าทำบาป เราเห็นแล้วว่าแม้แต่การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ฆ่ามดฆ่าปลวก ข้างในเขาก็คือคนเหมือนเราทั้งนั้น ลักทรัพย์แม้แต่บาทหนึ่ง เฟืองหนึ่งเราก็ไม่เอาของเขา
เวลาทำบุญนะ อย่าไปผลัดก่อน ให้รวยก่อนแล้วมาทำ มารอให้รวยก็ตายก่อน มารมาตัดรอนได้ เราต้องให้คู่กันระหว่างโลกกับวัด มีวิชาชีพเราก็ต้องทำ แต่บุญเราก็ต้องทำคู่กันไป จะคอยให้รวยก่อนแล้วค่อยทำไม่ได้ ต้องทำคู่กันไป สมัยที่ทำวิชชาหลวงพ่อไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง ให้อยู่ในวิชชาอย่างเดียว ให้แก้ในเหตุ นิ่งแน่นๆ ละเอียดลงไปๆ แล้วนั่งสมาธิทุกวัน ไม่เบื่อและไม่ต้องเคร่งครัดทำสบายๆ และท่านจะเตือนอยู่เรื่อย ไปถึงไหนแล้วท่านจะรู้ ตอนเย็นตอน 4-5 โมงเย็น ต้องเข้ามานั่งฟังวิชชา เข้าหมดรวมหมดทุกคน หลวงพ่อจะอบรมสั่งสอน มีระเบียบมาก ออกมาข้างนอกให้รีบๆไม่ให้คุย ออกมานานไม่ได้ต้องดิ่งธรรมะ ภารกิจหลวงพ่อจะเยอะมาก แทบไม่ได้พักผ่อน และท่านมีบุญมาก ท่านเป็นต้นธาตุต้นธรรมในกลุ่มพระ ท่านเดินนำพระเป็นร้อยๆองค์
ท่านเป็นเหมือนพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ลักษณะของท่านนะผิวท่านจะขาว เกลี้ยงเกลา ผิวท่านผ่องใส พูดท่านก็ไม่ติดขัดเลย หาต้นธาตุต้นแบบอย่างหลวงพ่อไม่มีอีกแล้ว แต่ก่อนก็มีคนมาโจมตีหลวงพ่อ แต่สิ่งที่โจมตีนั้นไม่จริงนะ มีเรื่องเกี่ยวกับสถานที่ข้างเคียง หลวงพ่อท่านก็ให้แก้ในเหตุ แก้ให้เป็นดี จะนึกให้หลวงพ่อไปทำร้ายใครนะไม่มีหรอก หลวงพ่อไม่เคยทำร้ายใคร ที่จะบอกให้ทำร้ายมัน ให้เซฟมันไป ไม่มีหรอก มีแต่ให้มันดีขึ้น
ถ้ามีเรื่องกับผู้ชายก็ให้ผู้หญิงไปเจรจา ถ้ามีเรื่องกับผู้หญิงให้ผู้ชายไปเจรจา อย่างเซฟนี้คือเวลาเขาสายดำ ท่านก็จะให้เซฟคืออย่าให้เกิดขึ้นอีก อย่างบางคนที่อยู่คณะทำวิชชาแล้วออกไปจะกลัวมาก หลวงพ่อเซฟหมดเลย คือหลวงพ่อเก็บไม่ให้มันเกิดเลย แต่จริงๆ แล้วหลวงพ่อท่านไม่ให้เก็บหรอก หลวงพ่อไม่เคยทำร้ายใคร แต่ที่เขาตกต่ำ เพราะไม่รักษาธรรมะไว้
ตอนที่เป็นชีนั้น หลวงพ่อตั้งให้เป็นอาจารย์สอนธรรมะ ไปสอนที่สุพรรณ ก็มีลูกศิษย์มาก ต่อมาป่วยและจะสึก หลวงพ่อท่านไม่ให้สึก ท่านบอกว่า เอ็งจะสึกไปแทะกระดูกเหรอ ทางโลกไม่มีอะไรดี ท่านห้ามนะ แต่สุดท้ายหมอก็สึก สึกแล้วก็ยังอยู่ที่วัดตอนนั้นป่วยไม่สบาย ป่วยมากเลย หลวงพ่อก็เลยให้แม่ชีชั้นไปช่วยแก้ สึกแล้วจะลงไปหาญาติ ท่านถามว่าจะไปทำไม ก็บอกว่าจะไปขอเงิน ท่านก็บอกให้เอาไป 30 บาท ไปเบิกกับคุณประยูร ไม่ต้องไป ให้นั่งทำวิชชา แล้วจะลาท่านไปไหนนะ ท่านให้นั่งสมาธิไป พวกรุ่นหมอตอนนั้นก็ประมาณ 10 ขวบ กว่าทั้งนั้นนะก็วัยรุ่นทั้งนั้น ท่านบอกเรานั่งธรรมะแล้ว จะต้องไปหาเขาทำไม ท่านสอนให้อ่อนน้อมถ่อมตน ให้รักสายธรรมะ พอสึกได้สักพัก เรียนหนังสือเพิ่ม แล้วก็มาแต่งงาน มาเจอคุณจุตติตอนกลับบ้าน ตอนบวชเราก็เคยอธิษฐานจิต ขอให้เจอคนที่มีศีลธรรม
พอเจอแฟนคนนี้ก็บอกว่า ถ้าหลวงพ่ออนุญาติให้แต่งก็แต่งนะ คุณจุตติก็ไปขอหลวงพ่อ ครั้งแรกหลวงพ่อก็ไม่ให้ ครั้งที่ 2 ถึงให้ ท่านบอกว่า ออกไปข้างนอกไม่ใช่สบายนะ ต้องไปแทะกระดูก ตอนแต่งงาน หลวงพ่อก็ไปฉันที่บ้านด้วย มีพระมา 9 องค์ พระที่มากับหลวงพ่อรู้สึกว่า ตอนนี้จะไม่เหลือแล้ว มีพระมหาวิชัย อาจารย์เฉลียว ท่านชวลิต แล้วหลวงพ่อท่านก็สอนธรรมะว่าเอ็งนะ ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่าเอาเข้า สมณะชีพราหมณ์นะลูกนะ ใครไม่ให้ช่างเขา เราต้องให้ แล้วให้สร้างสาธารณกุศล ต้องตื่นก่อนนอนทีหลัง แล้วก็สอนสามีว่า ถ้าทำบุญ ไม่ให้ห้าม เขาจะสร้างบุญสร้างกุศลไม่ให้ห้าม แล้วก็สงเคราะห์ญาติฝ่ายภรรยาและสามี วันแต่งงานท่านฉันเสร็จแล้ว ท่านก็กลับวัด ท่านไปถามครูญาณีว่า มันจะมีลูกกี่คน ก็บอกว่าจะมี 7 คน แล้วก็มี 7 คนจริงๆตรงตามที่แม่ชีพูดไว้
พอแต่งงานชีวิตก็ยิ่งกว่าทะเลอีก ลำบากมากๆ ตอนนั้น ชีวิตตกต่ำที่สุด เมื่อลำบากหนักเข้าก็นั่งสมาธิ หลวงพ่อท่านก็มาหา มาเข้าฝัน ท่านบอกว่า เอ็งนะ ถ้ามีวิชชาเอ็งจะไม่ลำบากหรอก เราก็บอกหลวงพ่อ วิชชาของลูกเนี่ย ทำสมาธิอยู่ทางโลกลูกไม่เก่ง พอออกมาแล้ว เย็บปักถักร้อยได้ แต่ไม่เก่งเลย ลูกจะเอาวิชาความรู้ที่ไหนมาประกอบอาชีพ ท่านก็บอกเองว่า เอ็งมีวิชชาความรู้จะไม่ลำบาก
ชีวิตลำบากมากเลย สามีตกงานลูกก็เยอะ แล้วสามีก็ป่วยอีก หลวงพ่อก็มาเข้าฝันอีก ตอนครึ่งหลับครึ่งตื่น ท่านบอกเองตั้งใจให้ดีนะลูกนะ ท่องคาถานี้นะจดจำไว้นะ ต่อไปเองจะได้ไม่จน "สิริวิยะ มหาวิชะ มหาลาภะ" พอตื่นขึ้นมาก็เล่าให้สามีฟัง สามีก็รีบจดแล้วใช้ท่อง สามีป่วยเป็นโรคมาลาเรีย สมัยนั้นไวรัสลงตับ ตายลูกเดียว ตาเหลือง รักษาลำบาก
พอหลวงพ่อบอกเท่านั้น ก็มีคนรู้จักมาแนะนำว่าให้ไปถอนหญ้าคา ก่อนถอนก็บอกว่า พ่อหญ้าคา แม่หญ้าคา ขอให้กินยาแล้วหายขาด หลังได้คาถามา พอมากินยาหม้อนั้นก็หายเลย เพราะหลวงพ่อช่วยไว้ สามีจึงรอดชีวิต
หลังจากนั้นก็สมัครงาน ปรากฏว่ามาได้งานที่การไฟฟ้า แผนกการเงินสอบผ่าน สมัยก่อนต้องผ่านทางด้านกฏหมาย ดูว่าเคยทำอะไรผิดพลาดบ้างไหม ปรากฏว่าผ่าน แล้วชีวิตก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
เราก็เลยเอาพ่อแม่สามีมาอยู่ด้วย พอมาอยู่ จากที่พ่อของสามีชอบไปจับปลา และทานเหล้า เราก็ห้าม แล้วให้ใส่บาตร วันหนึ่งงูเข้ามาในบ้าน งูนั้นร้ายมากเลย พ่อไปตีจนมันเจ็บ ตอนเย็นไปช่วยพ่อทำกับข้าว งูก็มากัดหมอเลยนะ กัดนิ้วโป้ง กัดไม่ปล่อยเลยนะ คิดว่าตัวเองต้องตายแน่ๆ พอกัดได้สักพัก ก็รู้สึกจุ๊บเข้าไปในหัวใจ พิษแล่นขึ้นมาเลย
นึกถึงหลวงพ่อ หลวงพ่อช่วยลูกด้วย ลูกก็สร้างแต่บุญ ถ้ามาตายด้วยอสรพิษ ลูกก็ไม่เสียดายชีวิตหรอก พอพ่อได้ยินดิฉันร้อง ทั้งพ่อทั้งสามีและคนใช้ ก็เอาไม้มาไล่ตีงู จะฆ่าให้ตายให้ได้ งูนั้นตัวใหญ่มาก แต่ดิฉันไม่ให้ฆ่า ไม่ให้ทำ นึกว่าจะตายก็ตาย จิตก็สัมผัสถึงหลวงพ่อมาตลอด คือพอเรานึกถึงอะไรสิ่งนั้นก็จะมาสัมผัส
นึกถึงหลวงพ่อตลอดทางมาถึงโรงพยาบาลจุฬา พอ 4 ทุ่มคุณหมอก็บอกว่า ต้อง 2 ยามจึงจะพ้นขีดอันตราย พอ 2 ยามก็พ้น กลับบ้านได้ อีก 7 วัน งูตัวนั้นก็มาอีก พ่อก็เอาไม้ตีมันจนตาย หมอกลับไปถึงบ้านรู้สึกเสียวไส้เลยจึงให้พ่อบวช
(เรื่องเล่าโดย คุณหมอจินตนา โอสถ บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 1)
ที่มา https://phramongkoltepmuni.blogspot.com/?m=1

ตาอินเทวดามาขอเรียนธรรมกายกับหลวงพ่อสด

ตาอินเทวดามาขอเรียนธรรมกายกับหลวงพ่อสด
ในสมัยที่ หลวงพ่อสด จนทฺสโร หรือ พระมงคลเทพมุนี หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มีชื่อเสียงและกิตติคุณไพศาลยิ่ง ด้วยเป็นผู้ค้นพบวิชาพระธรรมกาย และได้เผยแผ่วิชานี้จนมีพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา พากันมาขอเรียนวิชาธรรมกายปราบมารนี้ จนแน่นขนัดบริเวณวัดทุกเมื่อเชื่อวัน
อีกทั้งมีศิษย์ที่เป็นโยมอุปฐากวัด ทั้งที่เป็นข้าราชการระดับสูง ทั้งขุนทหาร ตำรวจ และข้าราชการศาลยุติธรรม เจ้าสัว มหาเศรษฐี ตลอดจนผู้มีหน้า มีตาในวงสังคมชั้นสูงอีกจำนวนมาก มากราบฝากตัวเป็นศิษย์วัดปากน้ำ ณ เวลานั้น จึงคราคร่ำ แน่นเนืองไปด้วยผู้คน ราวกับวัดมีงานรื่นเริงอยู่ตลอดเวลา
วันหนึ่ง เมื่อหลวงพ่อวัดปากน้ำ ฉันเพลเสร็จ และบอกกรรมฐานให้กับผู้ต้องการขึ้นวิชาธรรมกายปราบมาร เป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาที่ท่านรับแขก คือสงเคราะห์ญาติโยม เมื่อหลวงพ่อท่านนั่งอยู่ ณ ที่ใด ที่นั้นย่อมเต็มไปด้วยผู้คน ทั้งที่เป็นโยมวัด โยมอุปฐาก แขกผู้มาเยือน ตลอดจนชาวบ้าน พากันเบียดเสียดเพื่อรอชมบารมีท่านไม่ห่างตาที่เชิงบันไดขึ้นศาลาใหญ่ ที่หลวงพ่อวัดปากน้ำนั่งรับแขกอยู่นั้น มีชายชราผู้หนึ่งเนื้อตัวสกปรกมอมแมม ผมเผ้ารุงรัง ใส่หมวกผ้าใบเก่า
เสื้อผ้าล้วนแล้วแต่นุ่งห่มด้วยเสื้อผ้าขาดๆ ปะปุรอบตัวปากแดงด้วยเลอะคราบหมาก ลักษณะท่าทาง เสื้อผ้า เหมือนขอทานไม่มีผิดเพี้ยนกำลังแหวกคน ขอทางเพื่อขึ้นไปกราบหลวงพ่อวัดปากน้ำ เมื่อชายขอทานเดินผ่านหน้าใคร หญิงชาย คนชรา รวมทั้งเด็กเล็ก เด็กโต ต่างพากันรีบหลีกเป็นช่องให้ เพราะรังเกียจ และกลัวความสกปรก จะมาพาลติดตัว แต่แปลกที่ชายชราขอทานผู้นี้ กลับไม่มีกลิ่นตัว เหม็นสาบ เหม็นสางเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าชายชราอิ่มเอิบ ยิ้มย่องผ่องใส แววตาฉายแววประหลาดลึกซึ้ง ชายหนุ่มหลายคน ที่ทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อย รีบกางมือห้ามไม่ให้ขึ้นไปบนศาลา
“คนบ้า ไปเสียให้พ้น ๆ” บ้างก็ว่า “ถ้าปล่อยให้เข้าพบหลวงพ่อ แล้วเกิดคุ้มคลั่ง จะว่า อย่างไร ไม่น่าไว้ใจ”
แต่ชายชรา กลับแสดงอาการนอบน้อมยกมือไหว้ ขอเข้าพบหลวงพ่อวัดปากน้ำ หลายคนชี้ชวนกันดู พลางพูดว่า ดูซิ บารมีของหลวงพ่อวัดปากน้ำนี่ท่านดีจริงแม้แต่คนบ้าก็ยังดั้นด้นมากราบท่านเลย คนแก่หลายคนสงสาร ขอให้เจ้าหน้าที่วัด ช่วยหลีกทางให้ชายขอทานนี้ ได้พบหลวงพ่อวัดปากน้ำสมดังความตั้งใจด้วย สายตาของทุกคู่ บนศาลาการเปรียญ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญวันนั้น พากันจ้องมองชายขอทานคนนี้ เป็นตาเดียว มีแต่หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ เท่านั้นที่ยิ้มที่มุมปาก
เมื่อชายขอทานชรา มาอยู่ตรงหน้าหลวงพ่อสด วัดปากน้ำแล้วก็ก้มลงกราบงาม ๆ 3 ที พอเงยหน้าขึ้น ก็บอกกับหลวงพ่อว่า “ผมชื่ออิน จะมาขอเรียนวิชาธรรมกายด้วยคน”
หลวงพ่อวัดปากน้ำ รินน้ำชาส่งให้ พร้อมกับบอกว่า “อินเอ๊ย จะมัวซ่อนร่างอยู่ทำไม จงทำร่างให้ปรากฏตามความจริง ให้ถูกต้องเสียเถิด คนเขาจะได้รู้ตามความเป็นจริงเสียที”
ตาอิน อมยิ้ม สอบถามหลวงพ่อสด ถึงวิชาธรรมกาย ซึ่งท่านก็ตอบข้อสงสัยให้จนเสร็จสิ้น ถ้าใครเคยฝึกวิชาธรรมกายชั้นสูง ก็จะรู้ว่า คำถามของขอทานอิน กับคำตอบของหลวงพ่อสดนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นข้ออรรถ ข้อธรรม ในวิปัสสนาชั้นสูงทั้งสิ้น แสดงให้เห็นถึงภูมิรู้ของผู้ถาม และแสดงให้เห็นภูมิธรรม ของผู้ตอบ อย่างชัดเจนที่สุดว่าต่างก็เป็น นักวิปัสสนาชั้นยอดด้วยกันทั้งคู่
บ่ายคล้อย ตาอินเสร็จสิ้นคำถามจึงได้กราบลาหลวงพ่อสด กลับบ้านที่พระประแดง ตอนนั้นศิษย์รุ่นเก่าที่เข้าถึงธรรมกายของหลวงพ่อสด พากันยกมือไหว้ คุณตาอินกันทุกคน และถ้าจะมีใครเดินตามขอทานอิน หรือตาอิน หรือคุณตาอิน ไปเพื่อซักถามประวัติ ความสนใจในวิปัสสนา และอภิญญาจิตของตาอินแล้ว ละก็เขาก็จะได้รู้ว่า ตาอินผู้นี้ อีกไม่ช้าไม่นาน ก็จะมีคนรู้จักในนามหลวงพ่ออิน เทวดา หรือหลวงพ่ออิน ตาทิพย์ แห่งวัดใหม่ตาอินทร์ หรือวัดราษฎร์รังสรรค์ ต.บางกระเจ้า อ.พระปะแดง จังหวัดสมุทรปราการ ผู้ที่มรณภาพแล้วร่างกายไม่เน่าไม่เปื่อย และเป็นพระอภิญญาจารย์ ผู้มีฤทธิ์ ดุจพระอรหันต์ จี้กง นั่นเอง
จาก เว็บของนวกาพรหม
----------------------------------------------------------------
(เพิ่มเติม)
หลวงพ่ออิน ท่านเกิดในครอบครัวชาวสวน บิดาของท่านชื่อ เปล่ง เทศเนตร มารดาชื่อ แช่ม ท่านเกิดวันอาทิตย์ แรม 12 ค่ำ เดือน 7 ปีวอก ตรงกับวันที่ 7 เดือนมิถุนายน พุทธศักราช 2439 บิดาให้ชื่อบุตรคนแรกนี้ว่า อิน เทศเนตร ในวัยเยาว์ท่านไม่ได้รับการศึกษาจึงทำให้ท่านไม่รู้หนังสือ แต่ด้วยสติปัญญาและปฏิภาณไหวพริบอันเป็นเลิศ ท่านสามารถจำสิ่งต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ เมื่อท่านเจริญวัยจนอายุได้ 20 ปี ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดกองแก้ว บวชอยู่ระยะหนึ่งจึงสึกออกมาช่วยบิดาทำสวน ต่อมาท่านได้สมรสกับ นางแดง ช้างแก้ว มีบุตรด้วยกัน 5 คน
นายอิน เทศเนตร มีฝีมือทางช่างตัดผมได้เที่ยวรับจ้างตัดผมให้แก่ชาวบ้านทั่วไปในละแวกหมู่บ้านใกล้เคียง การแต่งกายของท่านไม่เหมือนกับบุคคลทั่วไป ท่านชอบสวมใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ปุปะขาดวิ่น ในช่วงที่ท่านตระเวนรับจ้างตัดผมนั้น ท่านได้ใช้เวลาว่างศึกษาวิทยาการจากอาจารย์ของท่านได้แก่ หลวงปู่ต่วน (พระครูวิบูลธรรมคุต) แห่งวัดกองแก้ว ในด้านคาถาอาคม หลวงพ่อวงษ์ วัดปริวาส ในด้านกรรมฐานวิปัสสนา ส่วนหลวงปู่ต่วนสอนในด้านวิชาการ จนมีความรู้แตกฉานในวิทยาคม ศึกษาพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนเข้าใจในคำสอนนั้นอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะด้านกรรมฐานท่านมีความสนใจมาก มีชาวบ้านบางคนคิดทดสอบท่านโดยให้ตรวจดูดวงชะตา ท่านก็สามารถทายได้อย่างถูกต้องแม่นยำ จนชาวบ้านให้สมญานามท่านว่า “ตาอินเทวดา”
ท่านเป็นผู้ใฝ่รู้ ที่ใดมีสำนักอาจารย์ดีท่านจะไปขอสมัครเป็นศิษย์เพื่อศึกษาวิทยาการจากท่านอาจารย์เหล่านั้น ทำให้ท่านมีความรู้กว้างขวางขึ้น ตามปกติแล้วถ้าว่างจากภารกิจท่านมักไปนั่งกรรมฐานที่บริเวณเนินดินที่เป็นวัดร้างเก่าแก่ที่เรียกกันทั่วไปว่า “ป่าวัดใหญ่” วันหนึ่งขณะที่ท่านกำลังนั่งกำหนดจิตให้เป็นสมาธิอยู่นั้นก็บังเกิดนิมิตขึ้น เห็นพระพุทธรูปองค์งาม ต่อมาท่านได้ถวายนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “หลวงพ่อใหญ่สัมมกะโท” ซึ่งประดิษฐานอยู่ในพระวิหารจนกระทั่งทุกวันนี้
ต่อมาในปีพุทธศักราช 2499 ท่านได้อุปสมบทอีกครั้งหนึ่งเป็นการเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อย่างถาวร มีนามทางเพศบรรพชิตว่า “อิน ฉายาอินทะญาโน” ท่านได้บูรณะบริเวณเนินดินที่เป็นวัดร้างนั้นให้เป็นที่พำนักของสงฆ์และให้ชื่อว่า “สำนักสงฆ์วัดใหญ่ตาอิน” ท่านได้สร้างศาลา กุฏิสงฆ์ สร้างวิหารเพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อใหญ่สัมมกะโท โดยท่านได้ตั้งชื่อวิหารนามเต็มนี้ว่า “วิหารหลวงพ่อใหญ่นิมิตสัมมะโท สลักวิหารตะวันวิหารสีนิลบำรุงปิ่นปกตลกนัก”
แรกเริ่มไม่มีอุโบสถเพื่อใช้ทำสังฆกรรมหลวงพ่ออินท่านได้สร้างโบสถ์เล็กๆ ขึ้นหลังหนึ่งโดยมีน้ำล้อมรอบเป็นเขตวิสุงคามสีมาให้ชื่อว่า “โบสถ์น้ำ” ต่อมามีพระสงฆ์มากขึ้นจึงมีพุทธศาสนิกชนผู้เลื่อมใสศรัทธาได้ร่วมกันสร้างกุฏิและศาลาต่างๆ และที่สำคัญได้ร่วมกันสร้างอุโบสถขึ้นและได้รับอนุญาตพระราชทานวิสุงคามสีมา ถูกต้องตามระเบียบประเพณีและได้เปลี่ยนชื่อเป็น “วัดราษฎร์รังสรรค์” ในเวลาต่อมา หลวงพ่ออิน อินทะญาโน เริ่มอาพาธด้วยโรคทางเดินหายใจในปี 2520 ต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลหลายครั้ง ทั้งนี้น่าจะเกิดจากความชราภาพในที่สุดท่านก็ละสังขารไปด้วยอาการอันสงบเมื่อวันพฤหัสบดี กลางเดือนสี่ ปีพุทธศักราช 2521 สิริรวมอายุได้ 82 ปี