วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เกิดมาผมก็เจอหลวงพ่อสดเลย


เกิดมาผมก็เจอหลวงพ่อสดเลย โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋)
ผม (อู๋) เกิดเมื่อปี 2498 ตอนเกิดก็ไม่ค่อยจะเหมือนใครเพราะคุณแม่เล่าว่าการคลอดของผมนั้นมันง่ายมาก ท่านบอกว่า "เหมือนไปขี้" คือพอปวดท้องจะคลอดก็เบ่งผมออกมาได้เลย เป็นการคลอดที่สะดวกสบายไม่ทำให้ท่านเจ็บเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ พอผมเกิดมาได้เพียงแค่ 1-2 วัน คุณแม่ผมก็อุ้มผมไปกราบหลวงพ่อสดที่วัดปากน้ำ แม้ว่าในสมัยนั้นการเดินทางไปวัดปากน้ำจะลำบากเพียงใดแต่คุณแม่ของผมท่านก็ไม่สนใจเพราะท่านเคารพหลวงพ่อสดเป็นที่สุด นี่คงเป็นสัญญาณนิมิตหมายให้ผมรู้กระมังว่าต่อไปจะต้องมาทำหน้าที่ช่วยหลวงพ่อสดในอนาคต ปัจจุบันผมทำงานให้หลวงพ่อและหลวงป๋ามากว่า 40 ปีแล้ว
คุณแม่เล่าว่าในสมัยนั้นเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่มีพระองค์ไหนจะมีชื่อเสียงโด่งดังไปกว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำเลย ดังนั้นคุณแม่ท่านจึงได้อุ้มผมไปให้ท่านตั้งชื่อให้ เพื่อที่คุณแม่จะได้นำชื่อนี้ไปแจ้งบันทึกลงในใบเกิด (สูติบัตร) ของผม โดยหลวงพ่อท่านจะถามวัน เดือน ปีเกิด และเวลาตกฟาก จากนั้นท่านก็จะนัดแนะว่าให้กลับมาเอาชื่อที่ท่านตั้งให้วันไหนอีกที ทุกวันนี้ผมจึงอดภูมิใจไม่ได้ว่าผมเกิดมาทันหลวงพ่อ และยังได้ไปกราบท่านตั้งแต่แรกเกิดเลย เมื่อคุณแม่ผมกลับไปเอาชื่อกับหลวงพ่อก็ต้องแปลกใจเพราะไม่เคยคิดว่าหลวงพ่อจะตั้งชื่อให้ผมแบบนี้ โดยหลวงพ่อท่านตั้งชื่อให้ผมว่า “อาดุลยเดช”
คุณแม่ผมก็แย้งท่านไปว่าหลวงพ่อจะให้ใช้ชื่อนี้ได้อย่างไร จะเป็นการสมควรหรือไม่เพราะเป็นชื่อที่ใกล้เคียงกับ....มาก หลวงพ่อท่านก็พูดยืนยันว่า “เด็กคนนี้ต้องใช้ชื่อนี้เท่านั้น” แล้วในชื่อของผมก็มีอักษร “สระอา” ด้วย จึงเป็นชื่อที่ไม่เหมือนใคร จะมีใครมาว่าได้อย่างไร คุณแม่ผมจึงต้องจำยอมตามคำหลวงพ่อ แต่ผ่านไปไม่กี่วัน คุณแม่ผมก็ต้องกลับไปที่วัดปากน้ำอีกครั้ง เพื่อให้หลวงพ่อท่านเปลี่ยนชื่อให้ผมใหม่ โดยบอกหลวงพ่อว่าไม่อยากให้ผมใช้ชื่อนี้ แต่หลวงพ่อสดท่านก็ยังยืนยันคำเดิมของท่านไม่ยอมเปลี่ยนให้ คุณแม่ผมก็จนใจเพราะเคารพและศรัทธาหลวงพ่อสดมาก ดังนั้นในใบเกิดของผมจึงเป็นชื่อ “ด.ช.อาดุลยเดช” เท่ซะไม่มี แต่ปัญหามันเกิดตอนที่ผมต้องไปโรงเรียนนี่ซิครับ ทั้งคุณครู ทั้งเพื่อนๆ ต่างก็มาถามผมว่าทำไมจึงใช้ชื่อนี้ไม่กลัวตำรวจจับหรือ (ตอนเป็นเด็กก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรนัก) ผมเลยใช้ชื่อนี้อยู่จนอายุได้ 9-10 ปีจึงไปเปลี่ยนชื่อซึ่งเวลานั้นหลวงพ่อท่านมรณะภาพไปแล้ว เพราะที่บ้านทนแรงกดดันจากคนอื่นไม่ไหว
มาถึงวันนี้ผมจึงอดภูมิใจไม่ได้ว่าผมได้เป็นเด็กคนหนึ่งที่หลวงพ่อสดท่านตั้งชื่อไว้ให้ คนในยุคนี้จะมีซักกี่คนที่เคยเจอหลวงพ่อสดเหมือนกับผม แล้วเมื่อผมโตขึ้นมาก็ยังได้ทำงานรับใช้หลวงพ่อและวิชชาธรรมกายตั้งแต่ผมยังหนุ่มๆ จนมาทุกวันนี้

เทวดาส่งเงิน 500 บาทมาสร้างพระมหาเจดีย์


เทวดาส่งเงิน 500 บาทมาสร้างพระมหาเจดีย์ โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 14 มีนาคม 2559
เมื่อวันที่ 12 มี.ค.59 ได้มีคณะบุคคลกลุ่มหนึ่งมาที่วัดหลวงพ่อสด (คุณหมอ ลูกชาย คุณป้อมและคณะ) ซึ่งคณะบุคคลกลุ่มนี้ก็คือกลุ่มเดียวกับที่เคยมาอัญเชิญพระของหลวงปู่เทพโลกอุดรให้แก่วัดหลวงพ่อสด เพื่อมอบให้แก่ผู้มาทำบุญสร้างพระมหสเจดีย์ของวัดมาแล้วนั่นเอง แต่ครั้งนี้เขามาเพื่อจะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุถวายแก่หลวงป๋าเป็นการเฉพาะ ตามคำบัญชาของหลวงปู่เทพโลกอุดร เพื่อเตรียมนำบรรจุไว้ในองค์พระมหาเจดีย์
ในส่วนของพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญได้มานั้นผมจะไม่ขอพูดถึง แต่เรื่องที่แปลกมหัศจรรย์ก็คือ นอกจากพระบรมสารีริกธาตุที่เสด็จปาฏิหาริย์เข้าไปอยู่ในดอกบัวแล้ว ครั้งนี้กลับมีแบงค์ 500 บาทหล่นลงมาจากอากาศด้วยอีก 1 ใบ ทั้งๆ ที่การทำพิธีนี้เชิญกันในห้องปิดมิดชิดภายในกุฏิของหลวงป๋า เหตุการณ์นี้สร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้อัญเชิญเป็นอันมาก เพราะพวกเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะเชิญแบงค์ แต่กลับมีแบงค์ 500 หล่นลงมาเอง แบงค์ 500 บาทใบนี้ก็เหมือนกับแบงค์ 500 บาททั่วๆ ไปนั่นแหละ เป็นเงินที่เอาไปใช้ได้จริงได้หล่นลงมาจากอากาศได้มาพร้อมกับพระบรมสารีริกธาตุองค์ใหญ่อีก 2 องค์ เงินนี้จึงเป็นเงินของเทวดาที่ต้องการมาร่วมสร้างพระมหาเจดีย์เป็นแน่ พวกเขาก็เลยรีบนำเงินนี้ไปถวายแก่หลวงป๋าพร้อมกับรวบรวมเงินกันเองในกลุ่มสมทบเพิ่มเข้าไปอีก เพื่อขอร่วมทำบุญไปกับเทวดาด้วย
นี่ก็หมายความว่าแม้แต่เทพเทวาท่านก็ยังอยากร่วมสร้างพระมหาเจดีย์องค์นี้ และท่านคงต้องการให้พระมหาเจดีย์สำเร็จโดยเร็ว ท่านเลยไปหาเงินมาร่วมสร้าง แต่ไม่รู้ว่าท่านไปเอาเงิน 500 บาทนี้มาจากไหน ผมเลยไปขอแลกแบงค์ 500 บาทใบนี้มาเก็บไว้เพื่อเป็นที่ระลึก และเป็นหลักฐานยืนยันว่ามีเทวดาเคยมาร่วมบุญสร้างพระมหาเจดีย์ของวัดหลวงพ่อสดจริง....นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดมีขึ้น กลุ่มคณะนี้เขาเลยมากระซิบบอกกับผมว่า "สงสัยหลวงป๋าท่านคงจะเป็นพระโพธิสัตว์นะครับพี่อู๋" ผมก็ได้แต่หัวเราะ

ขึ้นไปกราบหลวงพ่อสด


ขึ้นไปกราบหลวงพ่อสด โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋)
ในสมัยที่ผม (อู๋) ยังเรียนอยู่ที่จุฬาฯ ได้มีโอกาสช่วยงานหลวงป๋า ตอนนั้นท่านยังไม่ได้บวช ท่านใช้ชื่อว่า “มงคลบุตร” ในการเผยแพร่วิชชาธรรมกายผ่านหนังสือต่างๆ ที่หลวงป๋าท่านเขียนรวบรวมขึ้นมาเป็นเล่ม โดยเฉพาะกัณฑ์เทศน์ต่างๆ ของหลวงพ่อสด และยังได้มีโอกาสไปช่วยหลวงป๋าทำรายการธรรมะสู่สันติทุกวันอาทิตย์ที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมท. อีกด้วย
วันหนึ่งตอนเช้าตรู่ประมาณตี 4 ผมได้ฝันว่าได้พาเพื่อน 2 -3 คน ขึ้นไปบนฟ้า ไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน แต่รอบตัวมีแต่อากาศว่างเปล่าเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา เมื่อมองไปตรงหน้าได้เห็นเป็นเหมือนโบสถ์สีขาวโปร่งแสงตั้งลอยเด่นอยู่กลางอากาศ ผมก็เลยพาเพื่อนๆ ลอยเข้าไปที่ทางเข้าโบสถ์ เดินแบบลอยๆ ตามขั้นบันไดไม่กี่ขั้นก็เข้าไปถึงในตัวโบสถ์ ภายในนั้นมองเห็นหลวงพ่อสดนั่งอยู่กลางโบสถ์เพียงองค์เดียว พวกผมก็คลานเข้าไปกราบท่านแล้วท่านก็ถามว่าชื่ออะไรกันบ้าง เพื่อนๆ ที่ไปด้วยกันก็ตอบรายงานชื่อของตัวเอง
แต่เมื่อมาถึงผม แทนที่ผมจะพูดชื่อของตัวเองผมกลับตอบท่านไปว่า “ผมชื่อเสริมชัยครับ” ในฝันตอนนั้นผมก็นึกแปลกใจตัวเองว่าทำไมผมจึงตอบหลวงพ่อไปอย่างนั้น ผมตอบท่านไปได้อย่างไรว่าชื่อเสริมชัย (เสริมชัยคือชื่อจริงของหลวงป๋า) หลวงพ่อสดท่านก็พยักหน้ารับทราบ แล้วผมก็ตื่นจากความฝัน ตื่นขึ้นมาก็ทบทวนความฝันนี้และคิดว่าคงเป็นฝันที่ไม่ได้เรื่องอะไร แต่ทำไมความฝันมันจึงชัดเจนและยังสามารถจดจำเรื่องราวและภาพต่างๆ ได้อย่างละเอียด
ต่อมาอีกไม่กี่วันก็ได้มีโอกาสไปพบหลวงป๋าท่านที่ทำงาน (USIS) ได้เล่าเรื่องความฝันนี้ให้ท่านฟัง เล่าไปก็อายและขำตัวเองที่ฝันเป็นตุเป็นตะไปได้แบบนี้คงจะเป็นฝันที่ใช้ไม่ได้ แต่หลวงป๋าท่านกลับบอกว่าเป็นนิมิตฝันที่ดีมาก ไม่แปลกเลยและเป็นนิมิตจริงที่น่าเชื่อถือ เพราะหลวงป๋าเองท่านก็เคยฝันแบบนี้มาแล้วเช่นกัน คือเมื่อท่านได้เจอหลวงพ่อสดในนิมิตครั้งแรกนั้น เมื่อหลวงพ่อสดถามท่านว่าชื่ออะไร หลวงป๋าก็ตอบหลวงพ่อสดไปว่าท่านชื่อ “วีระ” เช่นกันแทนที่จะตอบว่าชื่อเสริมชัย (วีระคือชื่อจริงของหลวงพ่อภาวนา) หลวงป๋าท่านอธิบายว่าในทางสายวิชชาแล้ว ใครถามว่าชื่ออะไร เราต้องตอบชื่อของอาจารย์ของเราเพื่อที่จะได้ทราบที่มาที่ไปว่าเรามาจากไหน เขาทำกันมาแบบนี้ตั้งแต่โบราณกาลแล้ว ผมจึงถึงบางอ้อว่านิมิตฝันที่เป็นจริงนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่อาจที่จะคาดเดาได้