วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2559

หลวงพ่อภาวนา "ฉันจะไปอยู่กับหลวงพ่อสด" โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 25 ก.ย. 2559


หลวงพ่อภาวนา "ฉันจะไปอยู่กับหลวงพ่อสด" โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 25 ก.ย. 2559
ข้อความนี้คือคำพูดสุดท้ายของหลวงพ่อภาวนา (วีระ คณุตตโม) อดีตอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนา วัดปากน้ำภาษีเจริญ ที่ได้พูดกับคุณหมอที่ดูแลท่านในวันสุดท้าย ท่านจะไปช่วยงานของหลวงพ่อสดและกลับไปอยู่ในที่ๆ ท่านเคยจากมา ต่อจากนี้เราจะไม่ได้เห็นท่านไปงานบุญกฐินที่วัดหลวงพ่อสดอีกแล้ว 20 กว่าปีแล้วที่ผมได้เห็นหลวงพ่อภาวนามางานบุญกฐินของวัดหลวงพ่อสด ท่านมาอย่างสม่ำเสมอทุกปีไม่เคยขาดเลยเพื่อร่วมบุญกับหลวงป๋าศิษย์รักของท่าน และมาดูความเจริญเติบโตของวัดหลวงพ่อสดที่ท่านมีส่วนสร้างขึ้นมาจากผืนนาอันรกร้าง กลายมาเป็นวัดป่าที่อุดมสมบูรณ์ด้วยต้นไม้ใหญ่เหมาะแก่การพักอาศัยของภิกษุ ผู้ต้องการปฏิบัติธรรมและศึกษาปริยัติธรรม ตอนนี้ก็เป็นหน้าที่ของพวกเราแล้วที่จะต้องช่วยกันดูแลรักษาให้วัดหลวงพ่อสดเจริญรุดหน้าต่อไป....อาลัยรักและเคารพหลวงพ่อภาวนา
ผมเชื่อโดยสนิทใจว่าหลวงพ่อภาวนาท่านจะเกิดมาอีกเพียงชาติเดียว โดยท่านจะเกิดมาเพื่อเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านเกิดมาในชาตินี้ก็เพื่อช่วยหลวงพ่อสดและหลวงป๋าในการเผยแพร่วิชชาธรรมกาย ตามคำบัญชาของพระพุทธเจ้าองค์ต้นๆ จึงไม่แปลกใจเลยที่หลวงพ่อภาวนาท่านจะออกมาปกป้องหลวงป๋าทุกครั้งที่มีผู้ไม่หวังดีคอยพูดจายุแหย่โจมตีกล่าวร้ายหลวงป๋า มีแต่หลวงพ่อภาวนาเท่านั้นที่ลุกขึ้นมาปกป้องหลวงป๋า ท่านจะออกมาเพื่อปรามผู้กล่าวร้ายนั้นจนในที่สุดเห็นว่าคนเหล่านั้นยังไม่ยอมหยุด ท่านจึงประกาศออกไปว่า "หากใครจะมาว่าอะไรเสริมชัย (ชื่อจริงของหลวงป๋า) ก็ให้มาว่าได้ที่ฉันนี่" ทำให้ผู้ไม่หวังดีเหล่านั้นต้องเงียบเสียงลงไป
ผมจึงได้พยายามพาเพื่อนๆ และคนรู้จักให้มาทำบุญกับท่าน เพราะเราเกิดมาแล้วมีโอกาสยากมากที่จะได้มาทำบุญกับพระระดับพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อพบแล้วก็ต้องหมั่นทำบุญกับท่าน พวกเราโชคดีมากนะครับที่ได้ทำบุญกับท่าน สังเกตุใบหูของท่านซิครับ เหมือนใบหูของพระพุทธรูปชัดๆ น่าใจหายนะครับ ที่วันนี้ท่านไม่ได้อยู่กับพวกเราแล้ว
เมื่อท่านละสังขารไปแล้วผมก็ได้รับโทรศัพท์จากน้องท่านหนึ่งที่ได้สอดญาณตรวจสอบเรื่องราวต่างๆ เขาโทรมาหาผมด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นว่า "พี่อู๋ครับ ผมไม่เคยเจออะไรอย่างนี้มาก่อนเลย ตอนแรกผมตรวจดูว่าท่านจะไปอยู่ที่ไหน ตรวจอย่างไรก็หาท่านไม่พบ จนต้องกราบขอให้หลวงพ่อสดช่วยจึงได้พบวิมานของหลวงพ่อภาวนา ท่านอยู่ในเขตวงบุญพิเศษบนชั้นดุสิตไม่ไกลจากวิมานของหลวงพ่อสด วิมานของท่านไม่เหมือนใครเพราะเป็นศิลปะแบบนครวัดนครธมสวยงามและใหญ่โตมาก ที่แปลกสุดๆ ก็คือกายของท่านไม่ได้เป็นกายเทพบุตรเหมือนเทวดาองค์อื่นๆ แต่กายของท่านเป็นพระธรรมกายครับ"
หลวงพ่อภาวนาบอกกับลูกศิษย์ที่จะไปดูคอนเสิร์ตว่า “ไปเหมือนไม่ได้ไป”
วันหนึ่งลูกศิษย์ที่มานั่งสมาธิกับหลวงพ่อภาวนาในกุฏิของท่านที่วัดปากน้ำ ได้นัดแนะกันว่าเมื่อนั่งสมาธิเสร็จแล้วจะรีบเดินทางไปดูคอนเสิร์ตของเบิร์ด ธงไชยที่จัดขึ้นที่เมืองทองธานี บัตรก็มีพร้อมกันอยู่แล้ว เมื่อนั่งสมาธิเสร็จสาวๆ กลุ่มนี้ก็รีบลุกขึ้นเพื่อรีบไปขึ้นรถทันที หลวงพ่อภาวนาเห็นก็เลยถามไปว่าจะรีบไปไหนกัน ลูกศิษย์กลุ่มนี้ก็บอกว่าจะรีบไปดูคอนเสิร์ตของเบิร์ดค่ะ
อยู่ๆ ก็ได้ยินหลวงพ่อภาวนาพูดขึ้นมาให้ได้ยินทั่วกันว่า "ไปก็เหมือนไม่ได้ไป" แล้วท่านก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เมื่อได้ยินหลวงพ่อพูดอย่างนั้นต่างก็งงว่าหลวงพ่อจะบอกอะไร (สงสัยท่านจะพูดเป็นปริศนาธรรมว่าทุกอย่างในโลกไม่มีอะไรมั๊ง) ท่านพูดเสร็จก็ไม่ยอมพูดต่อได้แต่ยิ้มน้อยๆ ทั้งๆ ที่ยังไม่เข้าใจแต่ก็ไม่มีเวลาคิด ต่างก็รีบเดินออกจากวัดปากน้ำเพื่อขึ้นรถไปเมืองทองธานีทันที
ระหว่างทางก่อนถึงเมืองทองธานีปรากฏว่ารถติดวินาศสันตะโร เนื่องจากในเมืองทองมีทั้งงานคอนเสิร์ตและงานแสดงสินค้าจัดขึ้นพร้อมกัน ผู้คนมากมายต้องใช้เวลานานกว่าจะเข้าไปถึงเมืองทองได้ พอไปถึงสถานที่จัดคอนเสิร์ตก็ช้าไปมาก คอนเสิร์ตแสดงไปจนใกล้จะเลิกแล้ว ตกลงกันว่าไม่ดูแล้วคอนซงคอนเสิร์ตกลับบ้านกันดีกว่า เพราะหมดอารมณ์และเหนื่อยมากกับการเดินทางครั้งนี้ พลันเสียงของหลวงพ่อก็ดังเข้ามาในหูอีกว่า "ไปก็เหมือนไม่ได้ไป" อ๋อ...เพิ่งจะเข้าใจ แหมหลวงพ่อท่านน่าจะอธิบายขยายความอีกนิดก็จะดี 555 (หลวงพ่อท่านคงบอกว่าเตือนแล้วไม่ฟังกันเอง)

ยากพูดเรื่องกามกิเลส โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 26 ก.ย. 2559


อยากพูดเรื่องกามกิเลส โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 26 ก.ย. 2559
นี่คือกิเลสตัวใหญ่ที่ร้ายที่สุดและเอาชนะยากที่สุด เพราะเป็นกิเลสที่เกี่ยวเนื่องกับการเกิด ใครที่ต้องมาเกิดก็ต้องมาแก่ มาเจ็บ ต้องมาตายทุกคน ถ้าก่อนตายเราสามารถเอาชนะกามกิเลสได้เราก็เข้าใกล้นิพพานเต็มที่แล้ว
พระท่านมักสอนให้เราพิจารณาอสุภกรรมฐาน คือการไปดูรูปซากศพต่างๆ เพื่อให้เห็นว่าร่างกายของเรานี้มันไม่ได้น่าดูน่าชมเลย มันมีแต่เลือด เนื้อ น้ำเหลือง น้ำหนอง กระดูก ไขมัน อวัยวะต่างๆ ตับ ไต ไส้พุง ถุงน้ำดี ปอด หัวใจ ฯลฯ ผมก็ดูรูปซากศพและรูปอวัยวะต่างๆ มาเป็นสิบๆ ปี ดูแล้วก็รู้สึกว่าภายในของมนุษย์จริงๆ แล้วมันไม่ได้น่าดูน่าชมเลย แต่ผมดูแล้วมันก็ยังไม่สามารถตัดกามกิเลสลงได้
ที่จริงการเอาชนะกามกิเลสมันต้องใช้การคิดพิจารณาโดยใช้ปัญญาต่างหาก การดูแต่รูปมันยังเอาชนะกิเลสตัวใหญ่นี้ไม่ได้ การตัดกิเลสจะต้องตัดด้วยปัญญา (วิชชา) ถ้าเราตัดตัวกามกิเลสได้แล้วกิเลสตัวอื่นๆ ก็จะถูกตัดต่อเนื่องกันไป เหมือนการตัดห่วงโซ่ เราตัดตรงไหนโซ่ก็ขาดออกจากกันไปเอง เราต้องใช้ปัญญาค่อยๆ คิดพิจารณาเรื่องกามกิเลส ดูมันในหลายๆ ด้านหลายๆ มิติ ดูให้รอบ จับมันหงายขึ้นมาดู แยกส่วนมันออกมา ผมไม่ได้พูดเล่นๆ หรือพูดให้ดูดี แต่เราต้องศึกษามันให้ละเอียดเพราะมันเป็นกิเลสตัวสำคัญที่ปราบได้ยากที่สุด เนื่องจากมันอยู่มันฝังกับเรามานานแสนนาน
เริ่มจากเราต้องรู้ก่อนว่าในสมัยที่มนุษย์แรกเริ่มลงมาเกิดนั้น เดิมมนุษย์เรามาจากพวกพรหมชั้นอาภัสสราพรหม แล้วลงมากินง้วนดินซึ่งก็คือดินยุคแรกที่เย็นตัวลง ยังมีความสะอาดบริสุทธิ์สีขาวดุจน้ำนม ง้วนดินสีขาวนี้มีกลิ่นหอมยั่วยวนให้พวกอาภัสสราพรหมได้ลองลิ้มชิมดู แล้วมันก็อร่อยชื่นใจซะด้วย เมื่อพรหมเหล่านี้ได้กินง้วนดินซึ่งเป็นของหยาบเข้าไปจึงทำให้ร่างกายเปลี่ยนจากร่างทิพย์กลายเป็นร่างกายหยาบขึ้นมาจนไม่สามารถเหาะกลับขึ้นไปอีกได้ เลยต้องมาอยู่บนโลกเป็นมนุษย์ในยุคแรกของโลก หลังจากนั้นต่อมาพรหมพวกนี้จึงเกิดความพึงพอใจในกันและกันอวัยวะเพศชายหญิงจึงเกิดมีขึ้นมา
ประเด็นมันอยู่ตรงที่พวกเรานั้นมีบรรพบุรุษเป็นพรหม ซึ่งพวกพรหมนั้นก็คือพวกที่ไม่มีเพศคือไม่มีการแบ่งเพศชายเพศหญิงเพราะไม่มีอวัยวะเพศ เพราะผู้ที่จะไปเป็นพรหมได้คือพวกที่ไม่มีความสนใจทางเพศ (ถือพรหมจรรย์) ผิดกับพวกเทวดาที่ยังมีเทพบุตรและเทพธิดา เทวดายังมีการเสพกามแบบละเอียด พรหมจึงเป็นผู้ที่มีคุณธรรมสูงกว่าเทวดา อายุก็มากกว่า อยู่ชั้นสูงกว่า ละเอียดกว่า รัศมีก็สว่างกว่าเทวดา เราจึงต้องเตือนตัวเองไว้เสมอว่าเรานั้นมาจากพรหมซึ่งไม่มีเพศ แล้วทำไมเราจึงต้องไปสนใจเรื่องกามกิเลสทางเพศด้วยเล่า เราจะตัดความต้องการทางเพศเพื่อกลับไปเป็นพรหมเหมือนกับที่เราเคยเป็น ผู้สำเร็จหรือศาสดาในทุกศาสนาต่างก็ถือพรหมจรรย์ด้วยกันทั้งนั้น
ขั้นต่อไปก็ให้พิจารณาว่าคนเรามันสวยมันงามตรงไหน อ๋อ...เพราะมันถูกตาต้องใจเรานี่เอง มันสวยหล่อตรงสเปคของเรา แต่แท้จริงแล้วมันก็สวยหล่อแค่ที่ผิวหนังเท่านั้น ลองลอกผิวหนังออกดูจะเห็นว่ามันก็เป็นแค่ก้อนเนื้อและเลือดเท่านั้น ที่เดินไปเดินมาอยู่นั้นก็แค่ก้อนเนื้อแดงๆ แทบจำกันไม่ได้ว่าใครเป็นใคร ลองเอาคนที่สวยที่สุดมาลอกผิวหนังออกดูแล้วเรายังจะเห็นว่าสวยอยู่อีกไหม ต่อไปถ้าเราเห็นใครว่าสวยว่างาม ผมจับลอกผิวหนังออกหมดแหละ เออ...ไม่มีใครสวยอีกเลย มันก็แค่ก้อนเนื้อที่ห่ออวัยวะน้อยใหญ่ไว้เหมือนกันหมด ความกำหนัดทางเพศก็แทบจะหมดไปในทันที
ขั้นสุดท้ายที่เราต้องต่อสู้กับกามกิเลสก็คือเจ้าตัวสัญญาความจำ เพราะมันจะมาตอนที่เราเผลอสติ ความสวยความงามและความต้องการทางกามกิเลสนั้นมันมาจากความจำได้หมายรู้ที่ผ่านๆ มา เพราะเจ้าตัวกามกิเลสนี้มันอยู่กับเรามานาน เรายังติดตราตรึงใจในรสสัมผัสของมัน พอเห็นใครถูกตาต้องใจแล้วเราก็มักจะเกิดความชอบใจพอใจในสิ่งที่เราเห็น มันเกิดความพอใจเพราะเราจดจำมันได้ เราจึงอยากได้ความสัมผัสนั้นอีก ขั้นนี้ซิยาก....เราจะลบความจำได้หมายรู้นั้นออกไปได้อย่างไร มันลบไม่ออกหรอกครับ เพราะเราสั่งสมกามสัมผัสนี้มานานนับภพนับชาติไม่ถ้วน เราต้องสู้กับมันด้วยปัญญา (วิชา) ด้วยการพิจารณาทำความเข้าใจและสอนตัวเองว่าผู้หญิงหรือผู้ชายมันก็เป็นแค่ก้อนเนื้อเหมือนกัน มีหัว ผม ตา จมูก แขน ขา อวัยวะภายในเหมือนกันทุกอย่าง ผู้หญิงหรือผู้ชายก็เหมือนๆ กัน ที่แตกต่างกันก็แค่อวัยวะเพศ เพราะโลกนี้มันต้องมีการสืบต่อเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ มันต้องมีลูกมีหลานเพื่อสร้างคนรุ่นต่อๆ ไปเท่านั้น ไม่ใช่เอาอวัยวะนี้มาใช้เพื่อความบันเทิง เราต้องหมั่นไตร่ตรองพิจารณาเพื่อตัดกามกิเลสนี้ ไม่นานหรอกครับ มันก็เหมือนกับการหุงข้าว กว่าที่ข้าวสารจะถูกหุงจนเป็นข้าวสวยมันต้องใช้เวลาในการหุง ก็แค่ตั้งข้าวไว้แล้วหมั่นเติมเชื้อฟืนอย่าให้ไฟมอด พอถึงที่ถึงเวลาข้าวมันก็จะสุกของมันเอง
นี่จึงเป็นวิธีคิดที่ผมหมั่นเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ความต้องการทางเพศไม่ใช่ความปรารถนาของผม ผมไม่ต้องการและไม่สนใจในเรื่องเพศ ผมต้องการกลับไปเป็นพรหมเหมือนกับที่ผมเคยเป็นมา ผมไม่อยากกลับมาเกิดมาตายอีกแล้ว...มันเบื่อและสงสารตัวเองครับ