วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

การเร่งปฏิบัติธรรม ยิ่งเร่งยิ่งได้ธรรมะเร็วจริงไหม


การเร่งปฏิบัติธรรม ยิ่งเร่งยิ่งได้ธรรมะเร็วจริงไหม โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 28 พ.ย. 2559
ตอนผมหนุ่มๆ ผมได้ไปวัดแห่งหนึ่งที่เขาเปิดโครงการปฏิบัติธรรม โดยให้ความคิดมาว่าใครได้เข้าร่วมโครงการนี้จะได้เห็นธรรมกายเร็วกว่า เพราะหลักสูตรการปฏิบัติธรรมของเขาจะใช้การนั่งสมาธิให้มาก เอาแบบวิกฤติชนิดเอาเป็นเอาตาย นั่งและเดินปฏิบัติธรรมกันวันละ 14-16 ชั่วโมง มีเวลาพักกินข้าวและนอนเพียงไม่กี่ชั่วโมง โดยมีการให้ข้อมูลมาว่าปกติคนทั่วไปนั่งสมาธิกันวันละ 1 ชั่วโมง ใช้เวลา 3-5 ปี กว่าจะเห็นธรรมกาย ถ้าเราใช้เวลามากกว่านั้น 10-15 เท่าในแต่ละวันก็จะได้ธรรมกายเร็วขึ้น 10-15 เท่าเช่นเดียวกัน
ผมยังเป็นเด็กเมื่อได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย เชื่อว่าน่าจะเป็นไปได้ เรายิ่งนั่งสมาธิมากและนานกว่าคนอื่นเราย่อมได้ธรรมะเร็วกว่าคนอื่น เหมือนการคิดเลขโดยการคูณ 2 คูณ 3 จะได้ผลลัพธ์ตามตัวเลขที่คูณออกมา......
เรื่องจริงมันไม่เป็นอย่างนั้นครับ ในโครงการนั้นแท้จริงแล้วก็มีผู้ได้ธรรมกายเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ส่วนใหญ่ผ่านไปแค่ 7-8 วันก็ป่วยกัน โดยเฉพาะอาการปวดหัวมึนตึ๊บแทบระเบิด เพราะเราไปเพ่งไปบังคับกดดันจิตและสมองมากเกินไป เหมือนเราขับรถที่ใช้รอบเครื่องยนต์สูงๆ นานเกินไปเครื่องยนต์มันย่อมทนไม่ไหว เครื่องพังครับ เวลาผ่านไปแค่ 10 วันคนที่เข้าอบรมหายไป 40-50%
เพราะแท้จริงแล้วการได้ธรรมะหรือสมาธิมันก็เหมือนกับการหุงข้าว มันต้องใช้เวลาในการหุงโดยให้ความร้อนไปเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ เมื่อเวลาผ่านไป 30-40 นาทีข้าวมันจะสุกเองเพราะผ่านการให้ความร้อนมาอย่างพอเพียง ไม่ใช่นึกจะให้ข้าวสุกเร็วก็ใช้ไฟความร้อนสูงๆ นอกจากข้าวจะไหม้แล้วหม้อหุงข้าวก็จะพังไปด้วย
พระบางองค์ท่านจึงให้คำแนะนำในการปฏิบัติธรรมว่า การปฏิบัติธรรมก็ทำให้เหมือนกับการไปโรงเรียน เราต้องไปเรียนหนังสือทุกวัน อยากไปบ้างไม่อยากไปบ้างแต่เราก็ต้องไปโรงเรียน บางวันก็เรียนรู้เรื่องดีบางวันก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่เมื่อเรียนไปจนครบกำหนดเราก็จบออกมาได้ เรียนสำเร็จการศึกษาเป็นขั้นๆ ไปจนจบปริญญา
เราจะไปเอาอย่างผู้ที่เขาฝึกมานานจนใกล้สำเร็จอยู่แล้วไม่ได้ ท่านพวกนี้มีกำลังใจสูงมาก พอท่านเร่งโดยตั้งสัจจะว่าถ้าไม่ได้ธรรมะก็จะไม่ลุกไปไหน ท่านก็สามารถทำได้เพราะต้นทุนของท่านมีมากอยู่แล้ว คนธรรมดาอย่าริอ่านไปทำตามท่านเพราะนอกจากจะไม่ได้ธรรมะแล้วพาลจะเลิกปฏิบัติธรรมไปเลย
ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ผม (อู๋) นั่งสมาธิมากวันหนึ่งนั่งสมาธิ 6-7 รอบ รอบละประมาณ 1 ชั่วโมง ผมนั่งจนก้นเป็นฝีปีหนึ่ง 4-5 ครั้งทุกปีจนก้นมีลายดำเพราะแผลจากฝีเต็มไปหมดแล้ว นั่งจนฝีแตกแล้วแตกอีกก็ยังไม่ได้ธรรมกาย ช่วงปีนี้เลยแผ่วความขยันลงมาจิตกลับนิ่งขึ้น เห็นอะไรชัดขึ้น ผมเขียนเรื่องนี้มาเพื่อเล่าให้เพื่อนๆ ฟังว่าการนั่งสมาธินั้นอย่าไปเร่งจนเครื่องพัง ค่อยๆ ทำไปตามกำลังแต่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอเหมือนการหุงข้าว เพราะแท้จริงแล้วการนั่งสมาธิที่ถูกต้องและสมาธิของเราจะก้าวหน้าไปก็ด้วยการทำจิตให้สงบสบาย-นิ่งนุ่มเบาต่างหาก ไม่ใช่การไปบังคับกดดันจิต ส่วนคนที่นั่งสมาธิน้อยอยู่แล้วผมคงไม่มีคำแนะนำอะไรให้ครับ
เรื่องปลอบใจ...พระท่านบอกมาว่าบางครั้งการได้ธรรมะเร็วหรือช้ามันก็เหมือนกับประเภทของต้นไม้ ต้นไม้ที่ปลูกแล้วโตเร็วมันก็มักจะมีอายุสั้น ต้นไม่สูง เนื้อไม้ไม่แข็งแกร่ง แต่ต้นไม้ที่โตช้ามักจะเป็นต้นไม้ที่มีอายุยืนนับร้อยๆ ปี มีขนาดต้นสูงใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปมาก เป็นที่อยู่อาศัยของนกกาและสัตว์ต่างๆ ต้นไม้เนื้อแข็งสามารถนำมาสร้างบ้านทำประโยชน์ได้ดีกว่าไม้เนื้ออ่อน เมื่อเทียบกันแล้วต้นไม้ยืนต้นย่อมสูงด้วยคุณค่าและราคามากกว่าต้นไม้เนื้ออ่อน....พวกเราเป็นต้นไม้ชนิดไหนครับ

ทำไมเปรตจึงชอบอยู่ตามวัด


ทำไมเปรตจึงชอบอยู่ตามวัด โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 26 พ.ย. 2559
ตามวัดต่างๆ โดยเฉพาะวัดที่สร้างมานานมักจะมีเปรตอยู่มากมาย พวกนี้ไปไหนไม่ได้เพราะต้องชดใช้กรรมโดยเกิดเป็นเปรต บางตัวอายุหลายร้อยปี เปรตพวกนี้ส่วนใหญ่ก็มีทั้งพระที่เป็นทั้งอดีตเจ้าอาวาส พระลูกวัด และฆราวาสที่มาอาสาทำงานให้วัด แต่เขาพวกนี้ไม่กลัวบาปแอบขโมยสมบัติของวัดไปใช้ส่วนตัว เอาไปขายบ้าง เอาไปให้ลูกหลานบ้าง บางคนก็มาสร้างเรื่องหลอกลวงต้มตุ๋นพระ เพราะคิดว่าพระท่านไม่รู้เรื่องของทางโลก ตามพวกเขาไม่ทัน และพระท่านมักชอบมองคนในแง่ดี คนพวกนี้จึงชอบมาหลอกลวงพระเป็นพิเศษ
คนพวกนี้ไม่ใช่ไม่รู้ว่าเป็นบาป เพราะพระท่านก็คอยสอนคอนเตือนว่าการขโมยของวัดเป็นบาป เขารู้แต่เขาก็ทำเพราะคนพวกนี้มีความอยากได้อยากมีมากกว่ากลัวบาป ดูตามข่าวหนังสือพิมพ์ซิครับ พวกหัวขโมยนั้นต่างล้วนรู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นการทำผิดกฎหมาย ถ้าถูกจับได้จะต้องติดคุกถูกลงโทษ แต่คนพวกนี้เขาก็ยังทำทั้งๆ ที่รู้ใช่ไหมครับ หลายคนชอบคิดว่าทำไมพระท่านไม่ไล่คนพวกนี้ออกไปจากวัด ผมว่าพระท่านก็ไล่ออกไปหลายคนแล้ว แต่คนพวกนี้เขาออกไปแล้วเขาก็แอบกลับเข้ามาอีก บางคนก็เป็นอันธพาลขู่ทำร้ายพระเสียอีก
ดังนั้นพระที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านจึงวางอุเบกขา...ปล่อยให้เป็นไปตามกรรมของสัตว์โลก มันอยากจะไปเป็นเปรต เป็นสัตว์นรก ก็ต้องปล่อยมันไป เพราะแม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ยังไม่สามารถโปรดคนทุกคนได้ มันยังไม่ถึงเวลาสำหรับคนพวกนี้ ต้องปล่อยให้เขาเรียนรู้ด้วยตัวเองไปก่อน เมื่อมีบารมีมากขึ้นเขาก็จะดีขึ้นมาเอง วัดกับเปรตจึงอยู่คู่กันมาเสมอ
ยกเว้นบางวัดจะมีเปรตอยู่น้อยหรือไม่มีเลย ทั้งนี้เพราะในวัดนั้นเกิดมีพระดีที่ท่านเก่งเรื่องสมาธิกรรมฐาน โดยเฉพาะกรรมฐานที่เกี่ยวเนื่องด้วยกสิณแสงสว่าง (อาโลกสิณ) อย่างเช่นวิชาธรรมกายที่วัดหลวงพ่อสดที่ใช้การเพ่งดวงแก้วและแสงสว่าง เพราะในการทำวิชาท่านมักจะขยายดวงกสิณให้ครอบคลุมพื้นที่วัดทั้งหมด เพื่อให้ส่วนละเอียดของวัดเกิดความบริสุทธิ์สว่างไสว พวกเปรตเมื่อเจอแสงสว่างจากอาโลกสิณนี้ก็จะแสบตาจนทนอยู่ไม่ได้ ต้องวิ่งจู๊ดหนีออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา เปรตพวกนี้เจอแสงจากกสิณแสงสว่างนี้ไม่กี่ทีก็เข็ดไม่กล้าเข้ามาอยู่ในวัดนั้นแล้ว...ของมันแพ้ทางกันครับ

การทำบุญไม่ใช่แค่ทำด้วยเงินเพียงอย่างเดียว


การทำบุญไม่ใช่แค่ทำด้วยเงินเพียงอย่างเดียว โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 25 พ.ย. 2559
หลายคนเขาไม่รู้วิธีหาบุญ (สร้างบุญ) เคยได้ยินแต่คนบ่นกันว่าอยากทำบุญแต่ไม่ค่อยมีเงิน เห็นคนอื่นได้ทำบุญมากๆ บ่อยๆ ก็นึกน้อยใจในบุญวาสนาของตัวเอง คนพวกนี้เขาไม่เคยศึกษาหรือขาดผู้ชี้แนะวิธีหาบุญ เพราะแท้จริงแล้วการทำบุญด้วยเงินนั้นมันเป็นเพียงแค่ 1 ใน 10 อย่างเท่านั้นเอง เรายังหาบุญเข้าตัวได้อีกตั้ง 9 อย่าง
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าการทำบุญมี ๑๐ อย่างด้วยกัน คือบุญกิริยาวัตถุ 10
๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ทาน (เงิน อาหาร สิ่งของ เครื่องใช้ สถานที่ ฯลฯ)
๒. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล (ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227)
๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการภาวนา นั่งสมาธิทำใจให้หยุดให้นิ่งเป็นหนึ่งเดียว (เอกัคคตารมณ์) วิปัสสนาพิจารณามรณานุสสติ พิจารณาพระไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) พิจารณาอริยสัจ 4 ฯลฯ
๔. อปจายนมัย บุญสำเร็จด้วยการนอบน้อมถ่อมตนต่อคนอื่น คนอื่นเขาเห็นก็เย็นตาเย็นใจ เกิดความเอ็นดูรักใคร่เมตตา เราทำให้เกิดความเมตตาในใจคนอื่นเขา ตัวเราก็เลยมีส่วนในบุญนั้นด้วย
๕. เวยยาวัจจมัย บุญสำเร็จด้วยการช่วยเหลืองานบุญคนอื่นเขา บอกบุญเป็นสะพานบุญ ไปวัดก็ไปปัดกวาดลานวัด เก็บขยะทำความสะอาดรอบโบสถ์วิหาร ล้างห้องน้ำ ช่วยพระท่านจัดสถานที่ยกโต๊ะเก้าอี้ ถือบาตรหรือสิ่งของต่างๆ ยกอาหารประเคนพระ ปูอาสนะให้พระนั่ง ฯลฯ
๖. ปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการอุทิศส่วนกุศลให้คนอื่นเขา กำหนดจิตแบ่งบุญกุศลให้บิดามารดาท่านผู้มีพระคุณ ครูบาอาจารย์ ญาติพี่น้อง เจ้ากรรมนายเวร กายสิทธิ์ต่างๆ เทวดารักษาตัว เทวดาประจำองค์พระ เจ้าที่ รุกขเทวดา วิญญาณเร่ร่อน (สัมภเวสี) เปรต อสุรกาย สัตว์นรก พระอินทร์ ท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 มีท้าวเวสสุวรรณเป็นต้น ฯลฯ ยิ่งแผ่ไปมากเราก็ยิ่งได้บุญสะท้อนกลับมามาก ยิ่งมีสิ่งคุ้มครองตัวเรามากขึ้น
๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการยินดีในผลบุญที่คนอื่นเขากระทำ ใครทำบุญมาเราทราบก็ร่วมอนุโมทนาบุญกับเขา (ยินดีด้วย) ได้บุญฟรีๆ 50-60% อันนี้เป็นการหาบุญที่ง่ายที่สุดและเปลืองทรัพยากรน้อยที่สุด เพราะบุญเกิดที่ใจเมื่อใจเราไปยินดีในบุญที่คนอื่นทำเราจึงได้บุญนั้นไปด้วย การอนุโมทนาบุญบ่อยๆ ก็จะเป็นวิธีการกำจัดตัวริษยาในใจของเราได้เป็นอย่างดี
๘. ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม แล้วนำไปปฏิบัติ
๙. ธัมมเทสนามัย หลังจากที่ปฏิบัติได้แล้ว นำไปสอนเขาต่อก็เป็นบุญ บอกธรรมะแก่ผู้อื่นเป็นการชี้ทางสว่าง เปลี่ยนทิฐิ (ความเห็น) เปลี่ยนชีวิตให้คนอื่นให้ดีขึ้น
๑๐. ทิฏฐชุกัมม์ ทำความเห็นให้ถูกต้อง (สัมมาทิฐิ) เป็นบุญที่สำคัญมากเหมือนกับการตั้งเข็มทิศในการเดินทาง ถ้าเราไปในทิศทางที่ถูกต้องเราก็ไม่หลงทางไปสู่จุดหมายได้สำเร็จ ความเข้าใจในเรื่อง บาป บุญ คุณ โทษ สิ่งที่เป็นแก่นสารสาระหรือที่ไม่ใช่แก่นสารสาระ ทางเจริญทางเสื่อม สิ่งใดอันควรประพฤติสิ่งใดอันควรละเว้น สำหรับผมแล้วคิดว่าข้อนี้แหละที่เราต้องทำให้เกิดขึ้นให้ได้
การทำบุญจึงไม่ใช่แค่ต้องทำด้วยเงินเท่านั้นนะครับ....อยู่บ้านเปิดคอมอ่านเฟซงานบุญอนุโมทนาบุญไปกับเขา ไม่มีเงินก็ทำบุญได้

ธรรมสภา ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาควาย


ธรรมสภา ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาควาย โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 29 พ.ย. 2559
ผม (อู๋) ขอบอกไว้ก่อนว่าเดิมเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่คิดว่าจะเล่าให้ใครฟัง แต่มีน้องที่รักและเพื่อนบางคนมาขอให้ผมเล่าเอาไว้เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ที่กำลังสร้างบารมีเติมบุญกันอยู่ในขณะนี้ ว่าครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้ทอดทิ้งพวกเราไปไหน ท่านยังอยู่ดูแลรักษาพวกเราด้วยกายพิเศษของท่าน
ธรรมสภานี้เป็นเรื่องลึกลับที่ไม่เคยมีใครพูดถึงมาก่อน อาจเพราะเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ซ่อนอยู่แบบภพซ้อนภพ คือต่อให้เราเดินทางไปถึงที่แห่งนั้นเราก็มองไม่เห็นเข้าไปไม่ได้นั่นเอง ถ้าพระท่านไม่อนุญาตเราก็ไม่มีทางเข้าไปได้ เป็นเรื่องของบุญวาสนาของแต่ละคน ใครไม่ได้ทำบุญทางด้านฤทธิ์อภิญญามาจะมีโอกาสเข้าไปได้อย่างไร แม้แต่ชื่อสถานที่ก็ยังถูกปิดไว้ไม่ให้รู้เลย
ผมรู้จักกับหลวงพี่ท่านหนึ่งที่อยู่ที่วัดหลวงพ่อสด อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ท่านเป็นพระที่ได้ธรรมกายมานานพอสมควรแล้ว โดยท่านมาได้ธรรมกายกับหลวงป๋าท่านเลยเคารพและช่วยงานหลวงป๋ามาโดยตลอด แต่ด้วยนิสัยที่ไม่ชอบคนหมู่มากท่านเลยช่วยหลวงป๋าอย่างเงียบๆ แบบปิดทองหลังพระ ผมรักและเคารพท่านเหมือนกับพี่ชายของผมคนหนึ่ง นิสัยของท่านออกไปในทางกล้าได้กล้าเสีย พูดจริงทำจริง ไม่เกรงกลัวภัยอันตรายใดๆ เพราะท่านก็มีดีพอตัว
วันหนึ่งท่านรู้สึกอยากออกธุดงค์เพื่อท่องเที่ยวไปในโลกกว้างและแสวงหาความรู้ใหม่ๆ ท่านไปของท่านองค์เดียวเลย ธุดงค์จากราชบุรีไปภาคเหนือทะลุไปพม่าจนได้พบกับครูบาบุญชุ่มที่วัดพระธาตุดอนเรืองพูดคุยกันถูกคอจึงเกิดความสนิทสนมกัน ท่านจึงได้ทราบว่าในประเทศลาวนั้นมีดินแดนพิเศษศักดิ์สิทธิ์ เป็นแหล่งตักศิลาของผู้ที่ต้องการเรียนวิชาต่างๆ ดินแดนแห่งนั้นตั้งอยู่ในป่าลึกของภูเขาควาย (ภูควาย)
เมื่อท่านธุดงค์กลับมาที่เชียงรายในฝั่งไทยแล้วก็ยังไม่อยากกลับวัด ความคิดเรื่องภูเขาควายยังคงวิ่งแล่นอยู่ในสมองตลอดเวลา ท่านจึงตัดสินใจเดินทางวกเข้าไปในประเทศลาว ผ่านเวียงจันทน์ขึ้นไปทางเหนือแล้ววกไปทางทิศตะวันออกที่จะไปทางประเทศเวียดนาม โดยท่านได้รับความช่วยเหลือจากทหารลาวขับรถพาท่านไปจนถึงเขตป่าทึบที่แม้แต่รถยนต์ไม่สามารถเข้าไปได้อีก เพราะเป็นป่าทึบภูเขาสูงชัน ดินแดนแถบนี้แหละที่เป็นทางเข้าไปสู่ภูเขาควายอันเรื่องชื่อ แม้แต่คนลาวเองก็ยังไม่กล้าเข้าไปเพราะเป็นดินแดนอาถรรพ์ที่มีอันตรายรอบด้านและสัตว์ป่าชุกชุม
หลวงพี่ท่านไม่กลัว ท่านออกเดินธุดงค์มุ่งหน้าเข้าป่าทึบข้ามเขาลูกแล้วลูกเล่าไปทางประเทศเวียดนาม ท่านบอกว่าเขตภูเขาควายนี้มันกว้างใหญ่มากมีภูเขาและหน้าผาสูงชันหลายลูก ท่านเดินป่าอยู่ราว 3 วันยังไม่พบใครเลย จนท่านเองก็เริ่มอ่อนแรงก็ได้มาพบกับหนองน้ำแห่งหนึ่ง มองเห็นน้ำในบ่อใสแจ๋ว เมื่อมองสำรวจดูก็ตกตะลึงเพราะเห็นเป็นก้อนทองคำมากมายกองอยู่ที่ก้นบ่อนั้น ดูแล้วบ่อน้ำนี้ก็ไม่ลึกมาก ท่านเกิดความคิดขึ้นมาว่าเราธุดงค์เดินป่ามาก็นานมากแล้วยังไม่ได้อะไรเลย ถ้าหากเราเอาทองคำนี้สักก้อนสองก้อนกลับไปที่วัดเพื่อขายเอาเงินไปช่วยหลวงป๋าสร้างวัดก็น่าจะดี ท่านเลยตัดสินใจกระโดดลงบ่อเพื่อดำน้ำไปเอาทองคำ ขณะที่กำลังจะเอามือคว้าก้อนทองคำก็เกิดรู้สึกว่าถูกไฟฟ้าช็อตเข้าอย่างแรงจนหมดสติไป
ท่านนอนสลบไปไม่รู้ว่านานเท่าใดก็ตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย มองดูที่รอบๆ ตัวก็ไม่เห็นว่ามีบ่อน้ำและก้อนทองคำแต่อย่างใด แต่เป็นที่ดินธรรมดาแต่มันไม่ธรรมดาก็เพราะมีกองกระดูกมากมายพร้อมกับบาตรพระ อ้าวนี่ท่านโดนอาถรรพ์ของป่าเข้าไปอย่างจังเลยไม่ตายก็ดีแล้ว พระธุดงค์หลายท่านต้องมาตายที่ตรงนี้ก็เพราะความโลภอยากได้ก้อนทองคำนี่เอง ดีแต่ท่านมีใจคิดว่าจะนำก้อนทองนี้เพื่อเอาไปทำบุญสร้างวัดไม่ได้คิดว่าจะนำไปใช้ส่วนตัว ถ้าท่านคิดโลภจะเอาไปใช้ส่วนตัวท่านก็คงไม่รอดต้องตายเป็นกระดูกกองทบเพิ่มเข้าไปอีกเป็นแน่
ขณะที่กำลังงัวเงียลุกขึ้น พลันท่านก็ได้ยินเสียงถามขึ้นมาว่า “เป็นอย่างไรบ้างล่ะ หิวข้าวไหม” หลวงพี่หันไปมองหาที่มาของเสียงนั้น ท่านก็เห็นว่าบนโขดหินมีผู้ชายชรารูปร่างผอมๆ ผมและหนวดเครายาว ห่มผ้าสีขาวมอๆ ขาดกระรุ่งกระริ่งนั่งอยู่ หลวงพี่จึงตอบกลับไปว่า “หิวมากเลยครับเพราะไม่ได้ฉันข้าวมาหลายวันแล้ว ท่านเป็นพระหรือเป็นคนครับ”
ชายชรา “พระหรือคนเขาดูกันที่สีผ้าหรือดูกันที่ใจล่ะ”
หลวงพี่ “ดูกันที่ใจครับ”
ชายชรา “แล้วมาถามทำไม เอ้า...ถ้าหิวก็ตามมาทางนี้”
ว่าแล้วพระชราท่านก็พาเดินลัดเลาะไปตามทางแคบๆ ของป่าทึบ เดินไปนานพอสมควรจนถึงปากทางเข้าถ้ำแห่งหนึ่ง ท่านก็บอกให้หลวงพี่นั่งรออยู่ก่อนท่านจะไปนำอาหารมาให้ แล้วท่านก็เข้าไปในถ้ำสักครู่หนึ่งก็ออกมาพร้อมกับยื่นชามใบเล็กใส่ข้าวต้มปลามาให้ หลวงพี่ท่านหิวจนตาลายรีบฉันข้าวต้มปลากลิ่นหอมฉุยไปจนอิ่ม แต่ก็แปลกที่ฉันไปตั้งมากแล้วข้าวต้มปลาก็ยังไม่หมดชามสักที พระชราจึงถามว่าอิ่มแล้วหรือ ถ้าอิ่มแล้วต่อไปจะทำอะไรเพราะท่านอุตส่าห์ธุดงค์มาจนถึงที่แห่งนี้แล้วอยากเรียนรู้อะไรบ้างไหม หลวงพี่นึกอยู่แป๊บหนึ่งก็ตอบไปว่า “กระผมอยากเรียนวิชาอักษรขอม จะได้นำเอาไปใช้ประโยชน์แก่พระศาสนาครับ” พระชราท่านก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นก็ให้ตามท่านเข้าไปในถ้ำ หลวงพี่ลุกขึ้นเพื่อจะเดินตามท่านไป แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นชามข้าวที่ท่านเพิ่งฉันอิ่มไป ในชามข้าวนั้นเห็นมีแต่น้ำกับใบไม้เท่านั้น
ทางเข้าถ้ำนี้ค่อนข้างเล็ก แต่เมื่อเข้าไปในถ้ำก็เห็นว่าข้างในนั้นมีห้องเล็กห้องน้อยอยู่หลายห้อง เป็นถ้ำที่สลับซับซ้อน จนเมื่อท่านเข้าไปถึงห้องหนึ่งก็ต้องตกตะลึงเพราะเป็นห้องโถงใหญ่ที่สามารถจุคนได้เป็นร้อย ตรงกลางห้องมีก้อนหินตั้งอยู่มองดูเหมือนแท่นตั้งใบเสมา รอบๆ ผนังห้องนี้ก็เป็นหลืบมีแท่นหินที่คนสามารถขึ้นไปนั่งได้ มองดูแล้วเป็นเหมือนห้องประชุมใหญ่ พระชราท่านนั้นจึงบอกว่าที่แห่งนี้เรียกว่า “ธรรมสภา” ใช้เป็นที่ประชุมพระผู้ใหญ่ที่ทำหน้าที่ดูแลรักษาพระศาสนา จะมีการประชุมกันทุกวันพระ แล้วท่านก็พาหลวงพี่เข้าไปในห้องๆ หนึ่งที่เป็นที่เก็บใบลานตำราต่างๆ กองซ้อนกันอยู่ในห้องนั้น แล้วพระชราท่านก็หยิบผูกใบลานขึ้นมาปึกหนึ่งแล้วส่งให้หลวงพี่ “เอ้านี่เป็นตำราภาษาขอม เอาไปเรียนเอาเอง” ว่าแล้วท่านก็พาหลวงพี่เดินออกมาเพื่อเข้าไปในอีกห้องหนึ่งที่ใช้เป็นห้องเรียน “เธอเรียนวิชาภาษาขอมในห้องนี้นะ” ว่าแล้วท่านก็เดินออกไปทิ้งให้หลวงพี่อยู่ในห้องเพียงลำพัง
มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก เพราะเมื่อท่านเริ่มเปิดดูใบลานผูกนั้นก็ปรากฏว่าตัวหนังสือในใบลานได้วิ่งไปปรากฏที่ผนังถ้ำเห็นตัวหนังสือเหล่านั้นสว่างเหมือนแสงนีออน เมื่อตัวหนังสือใดปรากฏก็จะมีเสียงอ่านให้ทราบว่านี้คือตัวอักษรอะไรอ่านว่าอย่างไร เหมือนกับการเรียนในสมัยใหม่ที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ฉายออกทางหน้าจอโปรเจคเตอร์ตามห้องประชุมสมัยใหม่เลย ฉายตัวหนังสือไปพร้อมกับมีเสียงอ่านสอนไปด้วย มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์เหลือเชื่อจริงๆ
การเรียนการสอนจึงเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว หลวงพี่บอกว่าเรียนภาษาขอมใช้เวลาเพียงไม่กี่วันท่านก็เรียนจบแล้ว สมองมันจำได้หมดเลย ท่านก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมท่านจึงจำได้ มันไม่เหมือนกับการเรียนการสอนที่เคยเรียนมาที่กว่าจะจดจำอะไรได้ก็ต้องใช้การท่องจำ แต่ในที่แห่งนี้เมื่อเรียนไปก็จะจดจำได้ในทันที อาจเป็นเพราะสถานที่นี้ไม่เหมือนกับโลกภายนอก เพราะที่แห่งนี้เป็นที่พิเศษของเหล่าพระอภิญญาท่าน เป็นที่ๆ ฝ่ายมารไม่สามารถส่งอิทธิฤทธิ์ของฝ่ายเขาเข้ามาบดบังห่อหุ้มจิตใจเราได้ เราจึงสมารถเรียนรู้และเข้าใจวิชาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ในเวลาที่เหลือหลวงพี่ก็ยังขอเรียนวิชาอื่นๆ เพิ่มเติมอีก แต่ท่านไม่ยอมบอกว่าท่านได้เรียนวิชาอะไรมาบ้าง
ในระหว่างนั้นเมื่อถึงวันพระ ในห้องธรรมสภาก็จะมีพระที่ทำหน้าที่ดูแลรักษาพระศาสนามาร่วมประชุมกัน พระที่มาร่วมประชุมมีมากมายทั้งที่ท่านรู้จัก (เคยอ่าน-เคยเห็น) ก็มี พระที่ท่านไม่รู้จักก็มาก พระที่ยังมีชีวิตและที่ท่านละสังขารไปแล้วก็มา ไม่รู้ว่าท่านมาได้อย่างไร หรือท่านสามารถอธิษฐานปรุงกายเนื้อขึ้นมาใหม่ได้ (กายพิเศษ) เนื้อตัวท่านก็เหมือนกับคนธรรมดา จับดูก็จับได้มีเนื้อมีหนังเช่นเดียวกับคนธรรมดานี่เอง นี่แหละที่เขาเรียกกันว่าพระอภิญญา คือท่านสามารถทำในสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเรา ทำในสิ่งที่เป็นเรื่องอจินไตยคาดเดาไม่ได้ หลวงพี่ท่านได้เห็นหลวงพ่อสดและหลวงปู่เทพโลกอุดร ทั้ง 2 ท่านนี้ประชุมทำงานด้วยกันอย่างใกล้ชิด เราไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าหลวงพ่อสดและหลวงปู่เทพโลกอุดรท่านรู้จักกัน เพราะไม่เคยมีใครบอกไม่เคยมีคนพูด แต่สำหรับตัวผม (อู๋) นั้นไม่แปลกใจเลยเพราะท่านทั้งสองคือครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพรักอย่างสูง มีแต่ท่านทั้ง 2 องค์นี้แหละที่มาคอยช่วยเหลือเมื่อผมมีปัญหา ผมจึงเชื่อมานานแล้วว่าท่านทั้ง 2 มีความสนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
ไม่ใช่มีแต่เพียงหลวงพ่อสดและปลวงปู่เทพโลกอุดรเท่านั้น หลวงพี่ท่านเห็นหลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี หลวงปู่ทองทิพย์ (ตอนนั้นยังไม่ละสังขาร) หลวงปู่สรวง (ตอนนั้นยังไม่ละสังขาร) หลวงปู่สุภา (ตอนนั้นยังไม่ละสังขาร) ฯลฯ นอกจากพระแล้วก็ยังมีพระฤๅษีอีกมาก ที่จริงแล้วพวกเราชอบแยกพระและพระฤๅษีออกจากกัน แต่ตามจริงแล้วพระในป่านั้นเขาไม่ได้แยกกัน เขานับถือกันที่คุณธรรม ดังนั้นพระกับพระฤๅษีจึงไม่ได้แตกต่างกันอย่างที่เราคิด ในการประชุมนั้นหลวงพี่ท่านไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย แต่ก็เห็นว่ามีพระมาร่วมประชุมมากมาย บางท่านก็นั่งอยู่ที่พื้นห้อง บางท่านก็นั่งอยู่ตามหลืบผนังถ้ำ ลดหลั่นกันไปตามบารมีของแต่ละท่านเพราะท่านไม่ได้นับอาวุโสกันแล้ว แต่นับถือแบ่งลำดับกันตามบารมีที่ได้สร้างกันมา
เมื่อหลวงพี่ว่างจากการเรียนท่านก็ได้มีโอกาสเดินสำรวจถ้ำ ท่านเล่าว่าเมื่อเดินไปถึงมุมหนึ่งที่หลวงพ่อสดท่านนั่งอยู่ประจำนั้น ปรากฏว่าที่ผนังถ้ำนั้นมีเหมือนยางดำเหนียวๆ แปะอยู่ เมื่อกำหนดจิตดูก็ทราบในทันทีว่าเป็นเหล็กไหลชั้นหนึ่ง เนื้อของเหล็กไหลนี้มองดูเผินๆ จะเห็นเป็นสีดำแต่แท้จริงแล้วเป็นสีเขียวเข้มปีกแมลงทับ เหล็กไหลองค์นี้เป็นเหล็กไหลที่ยังเป็นอยู่ ยังไม่ตาย (ถ้าตายแล้วเขาจะแข็งตัว) หลวงพี่ก็เคยคิดไว้ในใจว่าเมื่อถึงวันกลับออกไปจะมาแงะเอาเหล็กไหลองค์นี้กลับไปด้วย
ธรรมสภาแห่งนี้เราจะอยู่นานไม่ได้ เพราะไม่สะดวกที่จะหาอาหารและขับถ่ายในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ ผู้ที่จะอยู่ได้คือผู้ที่สำเร็จแล้ว ไม่ต้องกิน ไม่ต้องถ่ายของเสีย ไม่ต้องนอน หมดกิเลสแล้ว นึกจะไปนึกจะมาก็ทำได้เพียงแค่ลัดนิ้วมือ ใครทำได้ก็ไปอยู่ได้ พอถึงวันกลับหลวงพี่จึงได้เดินไปที่เหล็กไหลองค์นั้น พอท่านเอื้มมือเข้าไปเพื่อจะเด็ดเหล็กไหลก็ได้ยินเสียงดังเตือนเข้ามา “อย่าเอามือแตะเหล็กไหลนะ อันตรายมาก เอามือออกมาเดี๋ยวนี้” เสียงที่เตือนเข้ามายืนอยู่ที่ด้านหลังท่านก็คือหลวงพ่อสดวัดปากน้ำนั่นเอง ไม่รู้ว่าท่านมายืนตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วหลวงพ่อสดท่านก็ถามว่า “อยากได้จริงๆ หรือ” พูดจบท่านก็เอามือไปปลิดเหล็กไหลองค์นั้นออกมาได้จำนวนหนึ่ง แล้วก็ถามว่ามีอะไรเตรียมมาใส่หรือเปล่า หลวงพี่จึงนำตลับออกมาจากย่ามส่งไปให้หลวงพ่อสดเพื่อใส่เหล็กไหลองค์นั้นลงไป แล้วหลวงพ่อสดก็สั่งว่า “เอาไปให้ครูของเธอด้วยนะ” ท่านหมายถึงว่าให้เอาไปแบ่งให้หลวงป๋าได้ใช้ด้วยนั่นเอง (เหล็กไหลองค์นี้ต่อมาจึงทราบว่าท่านชื่อหลวงปู่สิงห์พระฤๅษีอภิญญาแห่งธรรมสภา ตามที่ท่านมาบอกผมในนิมิต)
เรื่องนี้ผมทราบมานานนับ 10 ปีแล้วแต่เพิ่งนำมาเล่าให้ฟังกัน เพื่อจะได้เป็นกำลังใจให้แก่เพื่อนๆ ที่ได้อ่านให้ได้พากันสร้างบุญบารมีกันยิ่งๆ ขึ้นไป อย่าท้อแท้กับการสร้างบุญบารมี เพราะในโลกใบนี้ไม่มีใครสร้างบุญบารมีโดยที่ไม่มีอุปสรรค เราทุกคนเกิดมาไม่นานก็ต้องตาย ก่อนตายขอให้รีบสร้างบุญบารมีกันนะครับ ผมยังไม่ได้ขออนุญาตหลวงพี่ เพราะถ้าผมขออนุญาตท่านก็คงไม่อนุญาตอยู่แล้วครับ...

ทำบุญแล้วเมื่อไหร่บุญจะส่งผลเสียที


ทำบุญแล้วเมื่อไหร่บุญจะส่งผลเสียที โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 30 พ.ย. 2559
ผม (อู๋) ต้องเขียนเรื่องนี้เพื่อให้คนเข้าใจกันเสียที เพราะถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องผลกรรมเราจะไม่มีความสุขกับการทำบุญเลย คนเราอยากจะพบความสุขสมหวังในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น ผมยังไม่เคยเห็นว่าจะมีใครอยากมีความทุกข์ความผิดหวังตลอดชีวิตเลย
ผมจำเป็นต้องพูดความจริงให้พวกเราทราบไว้ มันอาจไม่ถูกใจเราแต่มันเป็นความจริงที่เราต้องยอมรับ การทำบุญในชาตินี้ผลบุญมันจะไปส่งในชาติหน้าครับ คำว่าชาติหน้าก็คือชาติต่อไปของเราเมื่อเราจากโลกนี้ไปแล้ว ตอนนี้เราเป็นมนุษย์ เราได้ทำบุญทำกรรมอะไรไว้บ้าง มากบ้างน้อยบ้าง เล็กบ้างใหญ่บ้าง เมื่อถึงตอนเราตายมันจะบวกลบคูณหารสรุปยอดบัญชีกันทีเดียว ผลบุญมากก็ไปรับบุญในสวรรค์หรือกลับมาเกิดเป็นคนอีก บาปมากก็ไปนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน คำว่าชาติหน้าไม่ได้หมายถึงต้องมาเกิดเป็นคนอีกครั้ง แต่คือชาติต่อไปของเราเอง ชัดเจนไหมครับ
สวรรค์จึงเป็นที่สำหรับใช้บุญ ส่วนนรกคือที่สำหรับชดใช้บาป เมื่อได้ชดใช้กันไปเป็นส่วนใหญ่แล้วจึงอาจกลับมาเกิดเป็นคนอีกครั้งแล้วก็ยังมีเศษกรรมที่เหลือติดตามตัวมา (กรรมมีทั้งบุญทั้งบาป) แต่เนื่องจากเรื่องกรรมมันเป็นเรื่องซับซ้อนเพราะเราไม่ได้เพิ่งเกิดกันมาเพียงชาติ 2 ชาติ แต่เกิดกันมาเป็นล้านๆๆๆ ชาติ ทั้งบุญทั้งบาปมันมีมากมายละเอียดยิบรอเวลาส่งผล แล้วการส่งผลในแต่ละช่วงเวลาก็ยังมาจากผลกรรมที่ซ้อนๆ กันอยู่ ทั้งดีทั้งร้ายให้ผลด้วยกันทั้งหมด
ดังนั้น ได้โปรดเลิกรอผลบุญที่ทำในชาตินี้ว่าจะให้ผลตอบแทนแบบทันทีทันใดได้เลย มันไม่ได้รวดเร็วเหมือนกินบะหมี่สำเร็จรูป ยกเว้นแต่คุณไปได้ทำบุญกับพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติเท่านั้น บุญจึงจะส่งผลทันทีภายใน 7 วัน เพราะได้ไปทำบุญกับหน่วยพลังงานที่มีคุณมหาศาลอเนกอนันต์ แต่คนที่เขาจะมีโอกาสอย่างนั้นได้ก็เพราะว่าเขาเคยทำบุญเนื่องกันมา เคยอุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์พระองค์นั้นมาก่อน คนอื่นที่ไม่เคยเนื่องกันมาก็อย่าได้คาดหวังที่จะมีโอกาสแบบนั้น สรุปว่ามันก็คือผลบุญที่เราเคยทำกันมาให้ผลนั่นเอง
ช่วงที่ผ่านมา 1-2 ปีมานี้ ผมได้ยินคนรอบข้างบ่นให้ฟังเรื่อยๆ ว่าเศรษฐกิจมันแย่เอามากๆ เมื่อก่อนเคยจับเงินหมื่นเงินแสน แต่เดี๋ยวนี้ได้แต่จับเงินหลักร้อย ทำไมเป็นอย่างนั้น บุญก็พยายามทำมาโดยตลอดไม่เคยเว้น ก็บอกแล้วไงว่าบุญของชาตินี้ก็ไปรับเอาในชาติหน้า อยากได้รับบุญเร็วๆ ก็ต้องรีบตายซิครับ
ความทุกข์ของคนแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน บางคนใช้ชีวิตไม่หรูหราฟุ่มเฟือยพอมีพอใช้เขาก็มีความสุข บางคนมีรถมีบ้านขับรถเก๋งติดแอร์แต่บ่นว่าไม่มีความสุขเลยในชีวิต ผมเจอคนมามากโดยเฉพาะคนที่มีฐานะดีพวกเจ้าของโรงงาน เจ้าของบริษัท มีเงินนับร้อยล้านพันล้าน แต่เขาเหล่านั้นก็มีหน้าตาเคร่งเครียดบ่นว่าชีวิตไม่มีความสุขเลย การทำงานในระดับสูงกำไรมากก็ต้องยอมรับกับความเสี่ยงมาก การตัดสินใจผิดพลาดไปเพียงครั้งเดียวอาจส่งผลถึงความหายนะของบริษัทนั้นเลยก็ได้ แต่พวกลูกน้องในบริษัทที่ได้รับเงินเดือนไม่มากเขาก็ไม่ต้องรับผิดชอบมาก ตัดสินใจถูกบ้างผิดบ้างก็ไม่ทำให้บริษัทเสียหายมาก ผมอธิบายมาพอให้เข้าใจนะครับว่าความทุกข์มันเกิดกับทุกคน
โลกเราหมุนเดินไปตลอดเวลาไม่เคยหยุด พระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็ตก สว่างแล้วก็มืด เวลาก็เดินไปเรื่อยๆ คนเราก็โตขึ้นแก่ตัวแล้วก็ตายไป เขาเรียกการเดินไปเรื่อยๆ หมุนรอบตัวเปลี่ยนแปลงนี้ว่าวัฏจักร ในเมื่อโลกยังหมุนไปมีมืดมีสว่าง ดังนั้นชีวิตของคนเราก็ไม่มีใครจะมีความสุขตลอดไปชั่วชีวิต มันก็ต้องหมุนตามโลกสุขบ้างทุกข์บ้าง เหมือนดวงชะตาของคนเราในแต่ละราศีก็ต้องเจอปีชงบ้างไม่ชงบ้างสลับกันไปทุกปี เช่นเดียวกับพลังงานไฟฟ้าจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมี + มี - ไซเคิลวิ่งขึ้นในแดน + แล้ววิ่งตกลงไปในแดน - จึงก่อเกิดกระแสไฟฟ้า ถ้ามันไม่วิ่งขึ้นวิ่งลงไฟฟ้าก็ดับไป ช่วยหาคนมาเป็นตัวอย่างซักคนซิครับว่าเขามีแต่ความสุขตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย หามาได้บอกผมด้วยนะครับ ผมจะได้ไม่ต้องพยายามปฏิบัติธรรมหนีทุกข์เหมือนทุกวันนี้
อย่าท้อแท้ในการทำบุญ เพราะเราหมั่นทำบุญกันแค่ไม่เกิน 100 ปี แต่เราจะได้ไปใช้บุญกันในชาติหน้าบนสวรรค์กันอีกนับร้อยๆ ปีมนุษย์ (400-500 ปี) ยิ่งพวกเราปฏิบัติธรรมกันจนติดเป็นนิสัย เมื่อไปเป็นเทวดาก็ยังไปปฏิบัติธรรมกันต่อบนสวรรค์ เราอาจไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์กันอีกแล้วก็ได้ ไปบรรลุธรรมเข้านิพพานกันบนนั้นเลย...ถ้าไม่มัวแต่ไปหลงเพลิดเพลินมัวเมาแต่กับกามสุขบนสวรรค์ก็แล้วกัน
หมายเหตุ ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมาตามคำขอของน้องคนหนึ่ง ที่กำลังเพลียกับชีวิต

กรรมคืออะไร


กรรมคืออะไร โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 1 ธ.ค. 2559
กรรมคือผลของการกระทำที่เราไปทำให้เกิด "ผลกระทบ" กับทั้งตัวเองและคนอื่น ผลกระทบนั้นทำให้เกิดความสุข-ทุกข์ พอใจ-ไม่พอใจ (โกรธ) ดีใจ-เสียใจ รัก-เกลียด ถ้าเกิดผลกระทบมากก็จะทำให้รักมาก ชอบมาก โกรธมากไปจนถึงแค้น พยาบาท อาฆาต ฝังลึกเข้าไปในจิตส่งผลไปถึงชาตินี้และชาติต่อๆ ไป
เรื่องของกรรมและเจ้ากรรมนายเวรมันเกี่ยวข้องกันอย่างมาก เจ้ากรรมนายเวรก็คือผู้ที่ได้รับผลกระทบอันเกิดจากเรานั่นเอง อย่างเช่นมือปืนรับงานให้ไปฆ่าเจ้าของร้านขายของที่เป็นคู่แข่ง มือปืนก็ไปฆ่าเจ้าของร้านจนตาย เจ้าของร้านก่อนตายจดจำใบหน้าของมือปืนได้ ตายไปก็อาฆาตเคียดแค้นมือปืน...อ้าว แทนที่คนตายจะไปแค้นคนสั่งฆ่าดันไปแค้นมือปืน คอยติดตามเอาคืนกับมือปืนทั้งชาตินี้และชาติหน้า เป็นเจ้ากรรมนายเวรของมือปืน
เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนี้ ก็เพราะคนตายไม่รู้ว่าใครสั่งฆ่าเลยไม่คิดจะไปทำร้าย แต่คนตายโดนมือปืนยิงตายและจดจำได้ดีว่าเขาตายและต้องพลัดพรากจากลูกเมียก็เพราะมือปืน เขาเลยไม่อาฆาตคนสั่งฆ่าแต่ไปอาฆาตมือปืน แต่ทั้งคนสั่งฆ่าและมือปืนเองก็มีกรรมติดตัวที่จะต้องชดใช้จากการกระทำนั้นทั้ง 2 คน เพียงแต่มือปืนต้องชดใช้กรรมแล้วก็มีเจ้ากรรมนายเวรติดตามด้วย
นี่เองจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมทหารที่ออกรบจึงมีกรรมมากแถมมีเจ้ากรรมนายเวรอีก เวลามาเจอกันก็ทำให้รู้สึกโกรธแค้นไม่ชอบขี้หน้า แต่ถ้าวิญญาณของเจ้ากรรมนายเวรเขายังไม่ไปเกิดมาเจอกัน เขาก็จำได้ทันทีว่าคนนี้เป็นคนฆ่าเขา เขาจึงติดตามคอยเอาคืนเมื่อมีโอกาส ทหารที่ตายในสนามรบเขาไม่ได้รู้สึกโกรธอาฆาตต่อแม่ทัพของศัตรูเพราะตอนตายแม่ทัพไม่ได้อยู่ด้วยเพียงแต่เป็นคนสั่งให้รบเท่านั้น
หรืออย่างเวลาที่คุณนายเจ้าของบ้าน สั่งให้คนใช้ไปจ่ายกับข้าวแล้วมาปรุงเป็นอาหารคาวหวานเพื่อใส่บาตร คุณนายตื่นไม่ทันเพราะไปงานเลี้ยงสังสรรค์จนดึกดื่น เลยให้คนใช้ทำการใส่บาตรแทน คนใช้ก็ทำอาหารใส่บาตรทุกวันด้วยความเต็มใจเพราะทำตามคำสั่งตามหน้าที่และชอบใจที่จะได้ใส่บาตร สรุปคนใช้ได้บุญมากกว่าคุณนายเสียอีก เวลาไปสวรรค์คุณนายไปเจอคนใช้อยู่วิมานที่ใหญ่กว่าสวยกว่า คุณนายก็เลยไม่เข้าใจเพราะเป็นคนสั่งให้ใส่บาตรแถมยังเป็นคนออกเงินด้วย แต่คุณนายลืมคิดไปว่าคนใช้เป็นคนออกแรงกายแรงใจไปจ่ายกับข้าว ตื่นแต่เช้ามาทำอาหาร ยืนรอพระเพื่อใส่บาตร รับพรจากพระ กรวดน้ำ .....
แล้วทำกรรมกับตัวเองก็เป็นกรรมด้วยหรือ ใช่ครับ เราทำอะไรกับตัวเราเองก็เกิดผลกระทบกับตัวเราเอง เช่นเราฆ่าตัวตายก็เป็นบาปในการฆ่าสัตว์ การกินเหล้าเสพยาเสพติดก็ทำให้ร่างกายขาดสติทำให้กายละเอียดมัวหมองก็เป็นบาป หรือการถือศีลปฏิบัติธรรมก็เกิดผลกระทบทำให้เรามีสติกายละเอียดสว่างผ่องใสเกิดเป็นบุญ
ประเด็นสำคัญของกรรมจึงเป็นเรื่องของ "ผลกระทบ" ที่คนหนึ่งทำไว้กับอีกคนหนึ่งหรือทำกับตัวเราเอง แล้วคนนั้นได้รับผลกระทบเกิดความพอใจ-ไม่พอใจขึ้นมานั่นเอง
แต่เรื่องของกรรมมันก็ยังมีเงื่อนไขอื่นๆ อีก กรรมเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เช่น กรรมที่ไปทำกับคนไม่เท่ากับทำกับสัตว์ สัตว์เล็กไม่เท่ากับสัตว์ใหญ่ คนธรรมดากับพระ พระธรรมดากับพระโพธิสัตว์-พระพุทธเจ้า ฯลฯ ขึ้นอยู่กับผลกระทบนั้นมันไปกระทบกับผู้มีคุณธรรมบุญบารมีติดตัวมาแค่ไหน ถ้าไปเผลอทำกรรมเข้ากับ "โรงไฟฟ้านิวเคลียร์" ก็ซวยละครับ ขอพูดเตือนฝากไปถึงผู้ที่กำลังทำกรรมไม่ดีเอาไว้ โดยเฉพาะกับท่านพระโพธิสัตว์ครับ