วันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2560
โทษของการประพฤติผิดในกาม
#อมตวัชรวจีหลวงป๋า
#โทษของการประพฤติผิดในกาม
เราลองมาพิจารณาถึงโทษ ทุกข์ จากการหมกมุ่นอยู่ในกิเลสกาม จนถึงขั้นประพฤติผิดในกามดูบ้าง ก็จะเห็นว่า ได้รับผลตรงกันข้ามกับที่เป็นคุณจากการรักษาศีลนั่นเอง
เป็นต้นว่า มันเป็นเหตุให้ได้คู่ครองที่ไม่ดี ไม่ซื่อสัตย์ หรือมีความรักที่ไม่มั่นคง ครอบครัวมักเดือดร้อน ไม่อบอุ่น เป็นทางให้เกิดการแตกแยก ขาดสันติสุข
และ หากจะเจริญภาวนาก็เกิดสมาธิและปัญญาได้ยาก และประการที่สำคัญที่สุดก็คือ เป็นเหตุให้เกิดโทษ ทุกข์ ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น
ที่ว่าจะเป็นเหตุให้เกิดโทษ ทุกข์ แก่ตนเองนั้น ผู้ที่ยังมีใจหมกมุ่นอยู่ในกิเลสมากๆ มักจะมองไม่เห็นความจริงข้อนี้ คือ จะเห็นแต่ความสุขจากการเสพกามเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน ผู้ที่หลงจมอยู่ในกิเลสกาม จนถึงขั้นเห็นการประพฤติผิดในกามเป็นสิ่งธรรมดา จนหมดยางอาย และกล้าแสดงออกซึ่งกามารมณ์อย่างเปิดเผย มากขึ้นทุกทีด้วยอาการต่างๆ ก็จะยิ่งมองไม่เห็นโทษหรือทุกข์ ที่จะติดตามให้ผลแก่ตนเองเลย
โทษหรือทุกข์ ที่พอจะสามารถมองเห็นได้ง่ายสักหน่อย สำหรับการประพฤติผิดในกามก็คือ การที่ต้องเสียเวลาและทรัพย์สินเงินทอง ไปในทางที่หาสารประโยชน์อันใดมิได้ เพียงเพื่อให้ได้บำบัดความใคร่เป็นการชั่วคราว แล้วก็เกิดตัณหาราคะต่อๆไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด แทนที่จะใช้เวลาและทรัพย์สินเงินทองเหล่านั้น ไปในทางที่จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง แก่ตนเอง แก่ครอบครัว หรือแก่สังคม ประเทศชาติ
ผู้ที่มีรายได้หรือทรัพย์สินน้อย ครอบครัวก็จะพลอยได้รับความกระทบกระเทือนฐานะทางเศรษฐกิจ จากพ่อบ้านหรือแม่เรือนที่ทุศีล
ผู้ที่มีทรัพย์มาก ก็ไม่วายที่จะประสบความยุ่งยาก เดือดร้อน ในปัญหาต่างๆที่ตามมาไม่หยุดหย่อน เป็นต้นว่า การทะเลาะเบาะแว้ง หึงหวง ไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน บ้างก็ประทุษร้ายกัน เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ซับทุกซ้อนต่อๆไปอีก ดังท่านผู้ฟังจะได้ยินข่าวจากสื่อมวลชนอยู่เสมอๆ แปลว่า ถึงอย่างไรก็หาความสงบสุขที่แท้จริงไม่ได้ เข้าตำรา "รักสนุกก็ทุกข์สนัด(ถนัด)" นั้นแหละ
นอกจากนี้ การประพฤติผิดในกาม ยังเป็นทางให้เสื่อมเสียเกียรติยศชื่อเสียง นับเป็นความอัปมงคลอย่างยิ่ง และถ้าจะสังเกตดูให้ดีจะเห็นว่า ฐานะทางด้านกิจการงานก็มักพลอยเสื่อมโทรม ไม่ก้าวหน้า เพราะความอัปมงคลดังกล่าวอีกด้วย
โทษ ทุกข์ อีกประการหนึ่ง สำหรับผู้ที่ประกอบอกุศลกรรมข้อกาเมสุมิจฉาจารนี้ เป็นต้นว่า การฉุดคร่า อนาจารต่างๆ ล่อลวง ข่มขืน หรือล่วงประเวณี เหล่านี้ มักจะไม่พ้นเวรกรรมติดตามสนองแก่ตนเองและครอบครัว หรือบุตรภรรยาอันเป็นที่รักของตนเอง ในทำนองโรคติดต่ออีกด้วย
และประการสำคัญที่สุด ของผู้ประพฤติผิดในกาม หรือหมกมุ่นอยู่แต่ในกิเลสกาม จนเกินขอบเขต ยอมเป็นเหตุให้จิตใจเศร้าหมองไม่ผ่องใส ด้วยกามกิเลสหรือตัณหาราคะ เมื่อกายเนื้อแตกทำลายไป จิตที่ทำหน้าที่สืบต่อ ก็จะพกเอาเวรกาเมสุมิจฉาจารนั้นติดไปด้วย เป็นผลให้ไปเกิดในทุคติภูมิ คือ ที่ไม่สบาย เช่น สัตว์นรก หรือ สัตว์ดิรัจฉาน เป็นต้น
#ดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า
"จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคติ ปาฏิกงฺขา"
แปลความว่า
"เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ย่อมมีทุคติเป็นที่หวัง"
ซึ่งต่อไปนี้
#จะขอยกตัวอย่างประสบการณ์จากการเจริญภาวนาธรรม สู่ท่านผู้ฟัง พอเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ดังต่อไปนี้ คือ...
ในหมู่ผู้ปฏิบัติภาวนาธรรมที่สูงๆ ที่มีอภิญญาหรือวิชชา ที่สามารถจะระลึกชาติของตนเองและผู้อื่นได้ และสามารถจะรู้จุติหรือกำเนิดของสัตว์ได้ เท่าที่ได้ยินได้ฟังมา ท่านเหล่านั้นมักจะตรวจพบด้วยญาณว่า ผู้ที่หมกมุ่นอยู่แต่ในกิเลสกาม หรือผิดศีลข้อกาเมสุมิจฉาจารนั้น เมื่อตายไป มักจะได้กำเนิดเป็นสัตว์นรก หรือสัตว์ดิรัจฉาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ เป็นสุนัข มากต่อมาก เรียกว่าแทบทุกรายทีเดียว
และกว่าจะพ้นเวรจากนรก หรือจากการที่ต้องเกิดเป็นสุนัข
ก็กินเวลานาน หลายภพหลายชาติทีเดียว เมื่อพ้นเวรจากทุคตินี้แล้ว
แม้ได้เกิดเป็นมนุษย์อีก ก็ยังไม่หมดเวรเสียทีเดียว
ยังจะต้องมาเกิดเป็นหญิงโสเภณีอีกหลายภพหลายชาติ
เมื่อระดับจิตสูงขึ้น พอจะพ้นเวรอย่างกลางๆนั้นแล้ว ยังจะต้องได้มาเกิดเป็นกระเทยอีกหลายชาติเหมือนกัน
เมื่อระดับจิตสูงขึ้น พอจะพ้นเวรที่เบาบางนี้แล้ว จึงจะได้บังเกิดเป็นหญิงธรรมดา และเป็นเพศชายต่อไปอีกตามลำดับ
และในระหว่างที่ยังได้รับผลกรรมจากเวรกาเมอยู่นั้น หากระดับจิตต่ำลงไปอีกในช่วงใด แทนที่จะได้พัฒนาสูงขึ้นมา ก็กลับตกต่ำลงไปอีก วนเวียนอยู่ในกิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์ และ วิบากวัฏฏ์ อยู่อย่างนั้นแหละ
#บัณฑิตเขาจึงกลัว"#ความไม่รู้" หรือที่เรียกว่า"#อวิชชา"กันนัก และมุ่งเจริญภาวนาเพื่อให้เกิด"#วิชชา" และปัญญารู้แจ้ง ให้มากที่สุด
ที่ได้ยกตัวอย่างมานี้ ท่านผู้ฟังไม่จำเป็นต้องเชื่อหรือไม่เชื่อในทันที ขอเพียงแต่ว่า หากท่านประสงค์จะทราบความจริงในข้อเหล่านี้ ก็จงตั้งใจปฏิบัติธรรม โดยการรักษาศีลให้บริสุทธิ์ หมั่นเจริญภาวนา ให้ใจหยุดใจนิ่งเป็นสมาธิแนบแน่นดี ด้วยวิธีการที่เหมาะสมแล้ว ก็จะสามารถรู้เห็นข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ ได้ด้วยตัวของท่านเอง
นี่แหละท่านผู้ฟังทั้งหลาย ถ้าหากกระทำกาย-วาจา-ใจ ให้บริสุทธิ์ ด้วยการรักษาศีล เจริญสมาธิและปัญญา ตามวิธีที่ถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว ก็จะสามารถเห็นโทษภัยของกามกิเลสได้ชัดแจ้ง ตามระดับคุณธรรมที่ปฏิบัติได้
ฉะนั้น จึงขอให้ท่านสาธุชนที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่แล้ว จงหมั่นรักษาความดีหรือบุญกุศลนั้นตลอดไป และขออนุโมทนาด้วย ส่วนท่านที่เผลอจิตเผลอใจไปแล้ว ก็ไม่สายที่จะกลับตัวกลับใจประพฤติดีประพฤติชอบ เป็นการตั้งต้นชีวิตใหม่ด้วยกายวาจาและใจ ที่ใสสะอาดบริสุทธิ์กว่าเก่า เมื่อหมั่นประกอบกรรมดี ด้วยการเจริญภาวนาและรักษาศีลมากๆเข้า จนบุญนำหน้าบาปอกุศลแล้ว กุศลกรรมก็จะให้ผลก่อน ก็จะได้รับผลเป็นความร่มเย็นเป็นสุข ด้วยความสงบต่อไป.
_________________
เทศนาธรรมจาก
พระเทพญาณมงคล
หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
อ.ดำเนินสะดวก
จ.ราชบุรี
_________________
ที่มา
บางตอนจากหนังสือ
"ธรรมสู่สันติ เล่ม ๒"
_________________
เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า
ขอบคุณภาพประกอบธรรมะ.
ภาค ๖.. ความรู้เกี่ยวกับ พระพุทธเจ้า
558...หลวงปู่ทองทิพย์ พุทธปัญโญ
ภาค ๖.. ความรู้เกี่ยวกับ พระพุทธเจ้า
......เป็นคำสอนของหลวงปู่ทองทิพย์ ที่เล่าให้ลูกศิษย์ฟัง ...เป็นความรู้
อจิณไตย..อย่างยิ่ง ข้าพเจ้าชอบอ่านบทนี้มาก…
.
*** ปฐมบท ..อนาคตวงค์พุทธเจ้า ๑๐ พระองค์...*
...พระสุมังคละพุทธเจ้า องค์ ๑๐ ในอนาคตวงค์ ... โอ้ มันก็ยังอยู่ ๑๐ ขั้น ๙ ขั้น (เรียงลำดับจากพระศรีย์)
: เออ ขั้นพระพุทธเจ้าน่ะ ถ้าแผ่นดินสูงขึ้น ๔๐๐ เส้นน่ะ มาอีกองค์หนึ่ง นั้นน่ะ องค์สอง มาตรัสอีกล่ะ ปรินิพพานล้างศาสนาไปอีก ไว้ให้กับมนุษย์หรือเทวดาประพฤติปฏิบัติ แล้วก็องค์นั้นมาตรัสอีก องค์ที่สาม ตรัสต่อ แผ่นดินในโลกมนุษย์จะสูงขึ้นองค์ละ โยชน์ (โยชน์หนึ่งมี ๔๐๐ เส้น)
.....แต่ในภัทรกัปนี้นั้นก็หมด มันก็กลับมาใหม่ เป็นโลกใหม่ ตั้งแผ่นฟ้าแผ่นดินใหม่ เพราะแผ่นไฟมันไหม้ จนจะมาตั้งกัปใหม่นั่นแหละ รามะพุทโธ ลงมาจึงมาตั้งแผ่นดิน
.....มี ๒ องค์ มัณฑกัป คือพระธรรมราช พระเจ้าปเสนทิโกศล น่ะ ที่จะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้า หรืออุปัฏฐากพระพุทธเจ้า หรือฟังธรรมพระพุทธเจ้า
.......องค์ที่ ๔ นั้นก็ พระยามาร ที่มาลองพระพุทธเจ้า วสวัตดีมาร นั้นน่ะ ที่ขี่ช้างนาฬาคีรีน่ะ มันเป็นโต(ตัว) น่ะ ฮ่า ๆ นั่นแหละ จะมาเป็นองค์ที่ ๔ น่ะ…..พระยาวสวัตดีมาร น่ะ เมื่อเขาหมดมารน่ะ เขาสร้างบารมีไว้แล้ว ค่อยจะมาตรัสในเวลานั้น สารกัปมีองค์เดียว
: จากนั้นแล้วก็ยังมี อีกสาม ก่อนนั้นมีสามมีสี่ นับแต่ อสุรินทราหูน่ะ พระนารทะสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ที่ ๕ อายุ ๒ แสนปี เท่าพระราม
....สุมังคละ นี่ก็ องค์สุดท้าย(องค์ที่ ๑๐)เนี่ย... ๒ แสนปีเหมือนกัน นอกจากนั้น ๘ หมื่นปี..มันเป็นอย่างเนี้ยหนา
++..สมัยพระพุทธเจ้าของเรา เป็นพระเจ้าชั้นตรี ชั้นจัตวาเนี่ยอายุ ๘๐ ปี ...คนเป็นอายุ ๑๐๐ ปี, ๑๕๐ ปี พระพุทธเจ้าลงมาตรัส ถ้า ๕๐ ปี ไม่ตรัสน่ะ พระพุทธเจ้าของเรา ศรีศากยมุนีโคดม นี่ ๘๐ ปี เป็นพระเจ้าชั้นตรี พระองค์ไม่เอามาก สร้างบารมีนั้นคือ ปัญญาบารมี แต่มีฤทธิ์มากเหมือนกัน อย่างเนี้ย อยู่ในชั้นตรีเนี่ย
+++..องค์ชั้น ๒ แสนปี ที่เช่นพระวิปัสสี เนี่ย ยังสู้ อาฬวกยักษ์ไม่ได้ โปรดไม่ได้ ฤทธิ์สู้ยักษ์ไม่ไหว ยักษ์ตัวนั้นมิจฉาทิฐิมาก พระพุทธเจ้าชั้นตรี คือพระศรีศากยมุนีโคดมเราเนี่ย สู้ได้ เออ ! มันมีในบทพาหุงเนี่ย
“มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง
โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง” เนี่ย
** ยุคที่มีพระพุทธเจ้าที่ ทำให้อายุมนุษย์จะยืนยาวสูงสุด ไม่เกิน ๒ แสนปี สูงสุดได้แค่นั้น เพราะถ้ามากกว่านั้น ก็ไม่ลงมาตรัส มนุษย์อายุ: ๒ แสนปี, ๘ หมื่นปี ,๖ หมื่นปี พระพุทธเจ้าลงตรัส ส่วนอายุ ๔ หมื่นปี ๓ หมื่นปี ๒ หมื่นปีไม่มา เพราะโลก คนในโลกมันสอนยาก ๕๐ ปีก็ไม่ ไม่ลงมา มนุษย์สอนยาก
… เพราะบุญกุศลเขาไม่มี เขาไม่ฟังความใครล่ะ เขาว่าเขารู้ เขาเด่น เขาเก่ง คนติดอยู่ในวิทยาศาสตร์เนี่ย….พวกวิทยาศาสตร์นี่เขาเป็นยักษ์นะเนี่ย ยักษ์มันกินคน กินเศรษฐกิจ เชื่อวิทยาศาสตร์ทั้งหมด มันเป็นยังเงี้ย พระพุทธเจ้าก็ยังไม่มาตรัส แต่ว่าเกิดขึ้นอยู่ แต่มาทรมานมันนั่นแหละ นั่นก็ไปมาเป็นพวกโพธิสัตว์ มาทรมานพวกที่อยู่ ให้เรียนรู้ทุกข์ สร้างบารมี
...พระพุทธเจ้าท่านไม่ลงมาตรัส แต่ท่านลงมาเกิด..(ไม่ใช่ลงมาเพื่อตรัสรู้ในชาตินั้น) ลงมาเกิดอยู่ ลงมายกย่องพระพุทธศาสนาเนี่ย
ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า เป็นโพธิ์สัตว์ จะมายกย่องศาสนาเฉยๆ เนี่ย...
เป็นพระยาธรรมค้ำชูศาสนา ก็อาจจะรวมกันกับฝูงที่ว่า พระโพธิสัตว์ หรือเชื้ออรหันต์ พระโพธิสัตว์เหล่านั้นแหละ...
ลูกนามมะโน ผู้น้อยด้อยปัญญา ขอกราบขอขมา ขอกราบโมทนาในมหาบารมีรวมหลวงปู่ทองทิพย์ พุทธปัญโญ ทุกภพชาติ ตลอดอนันตกาล สาธุ สาธุ สาธุ...
ภาค ๖.. ความรู้เกี่ยวกับ พระพุทธเจ้า
......เป็นคำสอนของหลวงปู่ทองทิพย์ ที่เล่าให้ลูกศิษย์ฟัง ...เป็นความรู้
อจิณไตย..อย่างยิ่ง ข้าพเจ้าชอบอ่านบทนี้มาก…
.
*** ปฐมบท ..อนาคตวงค์พุทธเจ้า ๑๐ พระองค์...*
...พระสุมังคละพุทธเจ้า องค์ ๑๐ ในอนาคตวงค์ ... โอ้ มันก็ยังอยู่ ๑๐ ขั้น ๙ ขั้น (เรียงลำดับจากพระศรีย์)
: เออ ขั้นพระพุทธเจ้าน่ะ ถ้าแผ่นดินสูงขึ้น ๔๐๐ เส้นน่ะ มาอีกองค์หนึ่ง นั้นน่ะ องค์สอง มาตรัสอีกล่ะ ปรินิพพานล้างศาสนาไปอีก ไว้ให้กับมนุษย์หรือเทวดาประพฤติปฏิบัติ แล้วก็องค์นั้นมาตรัสอีก องค์ที่สาม ตรัสต่อ แผ่นดินในโลกมนุษย์จะสูงขึ้นองค์ละ โยชน์ (โยชน์หนึ่งมี ๔๐๐ เส้น)
.....แต่ในภัทรกัปนี้นั้นก็หมด มันก็กลับมาใหม่ เป็นโลกใหม่ ตั้งแผ่นฟ้าแผ่นดินใหม่ เพราะแผ่นไฟมันไหม้ จนจะมาตั้งกัปใหม่นั่นแหละ รามะพุทโธ ลงมาจึงมาตั้งแผ่นดิน
.....มี ๒ องค์ มัณฑกัป คือพระธรรมราช พระเจ้าปเสนทิโกศล น่ะ ที่จะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้า หรืออุปัฏฐากพระพุทธเจ้า หรือฟังธรรมพระพุทธเจ้า
.......องค์ที่ ๔ นั้นก็ พระยามาร ที่มาลองพระพุทธเจ้า วสวัตดีมาร นั้นน่ะ ที่ขี่ช้างนาฬาคีรีน่ะ มันเป็นโต(ตัว) น่ะ ฮ่า ๆ นั่นแหละ จะมาเป็นองค์ที่ ๔ น่ะ…..พระยาวสวัตดีมาร น่ะ เมื่อเขาหมดมารน่ะ เขาสร้างบารมีไว้แล้ว ค่อยจะมาตรัสในเวลานั้น สารกัปมีองค์เดียว
: จากนั้นแล้วก็ยังมี อีกสาม ก่อนนั้นมีสามมีสี่ นับแต่ อสุรินทราหูน่ะ พระนารทะสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ที่ ๕ อายุ ๒ แสนปี เท่าพระราม
....สุมังคละ นี่ก็ องค์สุดท้าย(องค์ที่ ๑๐)เนี่ย... ๒ แสนปีเหมือนกัน นอกจากนั้น ๘ หมื่นปี..มันเป็นอย่างเนี้ยหนา
++..สมัยพระพุทธเจ้าของเรา เป็นพระเจ้าชั้นตรี ชั้นจัตวาเนี่ยอายุ ๘๐ ปี ...คนเป็นอายุ ๑๐๐ ปี, ๑๕๐ ปี พระพุทธเจ้าลงมาตรัส ถ้า ๕๐ ปี ไม่ตรัสน่ะ พระพุทธเจ้าของเรา ศรีศากยมุนีโคดม นี่ ๘๐ ปี เป็นพระเจ้าชั้นตรี พระองค์ไม่เอามาก สร้างบารมีนั้นคือ ปัญญาบารมี แต่มีฤทธิ์มากเหมือนกัน อย่างเนี้ย อยู่ในชั้นตรีเนี่ย
+++..องค์ชั้น ๒ แสนปี ที่เช่นพระวิปัสสี เนี่ย ยังสู้ อาฬวกยักษ์ไม่ได้ โปรดไม่ได้ ฤทธิ์สู้ยักษ์ไม่ไหว ยักษ์ตัวนั้นมิจฉาทิฐิมาก พระพุทธเจ้าชั้นตรี คือพระศรีศากยมุนีโคดมเราเนี่ย สู้ได้ เออ ! มันมีในบทพาหุงเนี่ย
“มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง
โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง” เนี่ย
** ยุคที่มีพระพุทธเจ้าที่ ทำให้อายุมนุษย์จะยืนยาวสูงสุด ไม่เกิน ๒ แสนปี สูงสุดได้แค่นั้น เพราะถ้ามากกว่านั้น ก็ไม่ลงมาตรัส มนุษย์อายุ: ๒ แสนปี, ๘ หมื่นปี ,๖ หมื่นปี พระพุทธเจ้าลงตรัส ส่วนอายุ ๔ หมื่นปี ๓ หมื่นปี ๒ หมื่นปีไม่มา เพราะโลก คนในโลกมันสอนยาก ๕๐ ปีก็ไม่ ไม่ลงมา มนุษย์สอนยาก
… เพราะบุญกุศลเขาไม่มี เขาไม่ฟังความใครล่ะ เขาว่าเขารู้ เขาเด่น เขาเก่ง คนติดอยู่ในวิทยาศาสตร์เนี่ย….พวกวิทยาศาสตร์นี่เขาเป็นยักษ์นะเนี่ย ยักษ์มันกินคน กินเศรษฐกิจ เชื่อวิทยาศาสตร์ทั้งหมด มันเป็นยังเงี้ย พระพุทธเจ้าก็ยังไม่มาตรัส แต่ว่าเกิดขึ้นอยู่ แต่มาทรมานมันนั่นแหละ นั่นก็ไปมาเป็นพวกโพธิสัตว์ มาทรมานพวกที่อยู่ ให้เรียนรู้ทุกข์ สร้างบารมี
...พระพุทธเจ้าท่านไม่ลงมาตรัส แต่ท่านลงมาเกิด..(ไม่ใช่ลงมาเพื่อตรัสรู้ในชาตินั้น) ลงมาเกิดอยู่ ลงมายกย่องพระพุทธศาสนาเนี่ย
ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า เป็นโพธิ์สัตว์ จะมายกย่องศาสนาเฉยๆ เนี่ย...
เป็นพระยาธรรมค้ำชูศาสนา ก็อาจจะรวมกันกับฝูงที่ว่า พระโพธิสัตว์ หรือเชื้ออรหันต์ พระโพธิสัตว์เหล่านั้นแหละ...
ลูกนามมะโน ผู้น้อยด้อยปัญญา ขอกราบขอขมา ขอกราบโมทนาในมหาบารมีรวมหลวงปู่ทองทิพย์ พุทธปัญโญ ทุกภพชาติ ตลอดอนันตกาล สาธุ สาธุ สาธุ...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)