วันอังคารที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560

ทำไมพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส) พระอาจารย์ของพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม จึงต้องไปสืบปฏิปทาหลวงพ่อวัดปากน้ำในทางลับ


ทำไมพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส) พระอาจารย์ของพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม จึงต้องไปสืบปฏิปทาหลวงพ่อวัดปากน้ำในทางลับ
(ในรูปนั่งแถวหน้าจากซ้าย พระเทพสิทธาจารย์ (จันทร์ เขมิโย) วัดศรีเทพประดิษฐาราม จ.สกลฯ พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) วัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรฯ พระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส) วัดเขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น
แถวที่สองจากซ้าย หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร หลวงปู่กว่า สุมโน วัดป่ากลางโนนกู่ จ.สกลฯ พระครูอุดมธรรมคุณ (ทองสุข สุจิตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลฯ หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลฯ
แถวหลังจากซ้าย พระราชธรรมเจติยาจารย์ (วิริยังค์ สิรินฺธโร) วัดธรรมมงคล จ.กรุงเทพฯ หลวงปู่บัว สิริปุณโณ วัดป่าหนองแซง จ.อุดรฯ พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงปู่มหาบัว ญาณสัมปันโน) วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรฯ)
คณะสงฆ์ทั้งฝ่ายมหานิกายและคณะธรรมยุติได้ส่งสายมาสืบปฏิปทาหลวงพ่อวัดปากน้ำในทางลับ เมื่อคำว่า “ธรรมกาย” แพร่หลายออกไป ถึงกับเข้าหูท่านผู้เป็นนักปราชญ์มหาบัณฑิต ทำความฉงนสนเท่ห์ให้เกิดในคณะสงฆ์ บางท่านปลงใจว่าหลวงพ่อมีความรู้และปฏิบัติธรรมเกินธง ถึงกับมีประชุมลับกันในพระเถระผู้ใหญ่และผู้เชี่ยวชาญกรรมฐาน ส่วนมากลงความเห็นหนักไปทางการละเมิดพระวินัย เข้าขั้นอวดอุตริมนุสธรรม ยกโทษสูงถึงเพียงนั้น ท่วงทีก็หาทางเพื่อจะคว่ำบาตรหลวงพ่อ
สงฆ์คณะมหานิกาย มีพระเถระรูปหนึ่งได้รับเกียรติเข้าประชุมอยู่ด้วย ท่านผู้นี้พูดว่าอันอุตริมนุส ธรรมนี้เป็นคำที่แปลว่า เป็นธรรมของมนุษย์อันยอดยิ่ง คือเป็นธรรมสูงสุดของมนุษย์ทางพระพุทธศาสนา เมื่อใครผู้ใดเข้าถึงแล้วย่อมข้ามพ้นโอฆะทั้งมวลถึงฝั่งพระนิพพานอันไม่มีภพชาติสืบต่อไป แต่ผู้ที่จะเข้าถึงอุตริมนุสธรรมต้องเป็นคนที่มีบารมีสูง มีความเพียรมาก งามทั้งปริยัติ งามทั้งปฏิบัติ งามทั้งศีลาจารวัตร์ ต้องมีสัจจะประจำสันดาน ไม่ใช่วิสัยคนพอดีพอร้าย ต้องเป็นคนใจกล้า เสียสละ มีเมตตาสูง
เจ้าคุณวัดปากน้ำเป็นคณาจารย์กล้าพูดกล้าสอน ไม่มีความครั่นคร้ามต่อใครผู้ใด เมื่อเห็นดีอย่างไร ก็ปฏิบัติไปตามความเห็น น่าจะมีความบริสุทธิ์ใจตามความรู้ความเห็น แม้แต่พระพุทธเจ้าเมื่อจะทรงประกาศสัจจะธรรมก็ตรัสแก่เบญจวัคคีย์ว่า เมื่อญาณทัศนะยังไม่บริสุทธิ์ตราบใด เราก็ไม่สามารถปฏิญาณความเป็นพระสัมพุทธะแก่สมณพราหมณ์ ประชาชน แก่เทวดา และมนุษย์โลก มารโลก พรหมโลกได้ ที่พระองค์กล้าปฏิญาณได้ ก็เพราะได้ญาณทัศนะ รู้ความจริงแล้ว นี่เป็นข้อความที่จำต้องคำนึงถึงเป็นบทมาติกาก่อน
เจ้าคุณวัดปากน้ำตามเสียงพูดกันมีเมตตาธรรมสูง ให้การศึกษาทั้งปริยัติ ทั้งการปฏิบัติแก่ภิกษุสามเณรวัดปากน้ำไม่น้อยกว่า ๓๐๐ รูป สอบนักธรรมและบาลีในสนามหลวงได้จำนวนตั้ง ๑๐๐ ลองตรึกตรองดูบ้างว่า ในประเทศไทยวัดไหนทำประโยชน์ศาสนาถึงขนาดนี้ ถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระภิกษุสามเณรทุกวัน ทุกเวลา เป็นจำนวนตั้ง ๓๐๐ ถึง ๔๐๐ องค์ ใครทำได้อย่างนี้
เจ้าคุณวัดปากน้ำจะเข้าขั้นไหนเราไม่ทราบ แต่ควรคิดไว้ก่อนว่า สำนักวัดปากน้ำสอนมานานพูดมานานแล้ว ธรรมวัดปากน้ำยังไม่เสื่อม มีแต่เพิ่มผู้ปฏิบัติยิ่งขึ้น ท่านยังตั้งเจตนาจะรับพระภิกษุสามเณรให้เข้ารับการศึกษาถึง ๕๐๐ องค์ เฉพาะวัดปากน้ำ ลักษณะนี้น่าจะมีอะไรดีอยู่มาก ถ้าเป็นเจตนาลวงโลกคงอยู่ไม่ได้ถึงเพียงนี้ เท่าที่พบมาพระอาจารย์ลามกอยู่ได้ ๕ – ๖ ปีก็สาบสูญไป แต่วัดปากน้ำสู้หน้าโลกโดยไม่ตกต่ำ ก็น่าจะมีอะไรดีเป็นหลักประกันอยู่มาก
พวกเราที่มาพิจารณาโทษวัดปากน้ำทั้งหมดนี้ ความจริงก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางพระกรรมฐานมากนัก รู้พอรักษาตัวรอดได้ ความรู้ทางธรรมปฏิบัติก็มีความลุ่มลึกสุขุมแตกต่างกัน แม้พระอรหันต์ก็ยังต่างกันโดยคุณสมบัติ อุตริมนุสธรรมนั้นผู้ปฏิบัติพึงรู้พึงถึง ต้องสามารถดำเนินปฏิปทาทางจิต มีวิริยะอย่างอุกฤษฏ์ พวกเรายังปฏิบัติไม่เข้าขั้นเช่นนี้ จะไปลงโทษผู้เชี่ยวชาญกรรมฐานได้อย่างไร เอาความรู้อะไรไปลงโทษเขา ที่ประชุมยอมรับความเห็นนั้น และให้พระเถระรูปนี้มาสอบสวนเป็นทางลับ และท่านมาในฐานะเป็นผู้สนใจในการปฏิบัติธรรม ในที่สุดเรื่องร้ายไม่เกิดขึ้น และไม่ถูกสงสัยในแง่อุตริมนุสธรรมอีกต่อไป”
(สมเด็จพระสังฆราชปุ่นครั้งมีสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระวันรัต, ๒๕๒๙, ประวัติพระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อวัดปากน้ำ)และอนุภาพธรรมกาย ใน พระมงคลเทพมุนี ประวัติหลวงพ่อ และคู่มือสมภาร. วัดปากน้ำ, ภาษีเจริญ, และสมาคมศิษย์หลวงพ่อวัดปากน้ำ, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ ไทยวัฒนาพานิช จำกัด, หน้า๑๐๖)
สงฆ์คณะธรรมยุต ท่านเจ้าคุณพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส) วัดเขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น หรือฤาษีสันตจิต ท่านเป็นศิษย์รุ่นแรกของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ท่านเป็นอาจารย์ของพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม แม่ทัพธรรมสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญในวิชชาทิพยอำนาจ เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ท่านได้มีโอกาสเข้ามาในพระนคร ได้ยินเสียงโจษจันกันถึงเรื่องที่ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ได้พบเห็นเฝ้าแหนพระพุทธเจ้าและแสดงปาฏิหาริย์ให้คนเห็นพระพุทธเจ้าด้วย มีพระเถระชั้นผู้ใหญ่สงสัย และได้ปรึกษาเรื่องนี้กับท่าน ท่านแนะนำว่าควรไปสืบดูก่อน อย่าด่วนโต้แย้งคัดค้าน
เมื่อท่านไปพบหลวงพ่อแล้ว ท่านจึงเข้าใจหลวงพ่อด้วยดี ในกรณีของหลวงพ่อ แสดงปาฏิหาริย์ในเรื่องพระพุทธเจ้านั้น เข้าใจว่าท่านมุ่งต่อต้าน ปรับปวาท (คือวาทะของผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อพระพุทธศาสนา) ซึ่งกำลังมีอิทธิพลและได้รับความสนับสนุนอย่างดีในระยะกาลนั้นเป็นประมาณ ไม่ได้มุ่งอวดอ้างเพื่อลาภสักการะยศศักดิ์แต่ประการใด ท่านจึงได้อนุโมทนาและได้ช่วยยับยั้งพระเถระผู้ใหญ่ มิให้แสดงปฏิกริยาเป็นปฏิปักษ์ต่อหลวงพ่อ ดังใจความที่คัดจากหนังสืออิทธิปาฏิหาริย์ เกจิอาจารย์ ของดวงธรรม โชนเชิดประทีป, ๒๕๐๗, กรุงเทพฯ: บรรณาคาร, หน้า ๓ –๖ มีความว่าดังนี้ :
“เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ข้าพเจ้า (พระอริยคุณาธาร เส็ง ปุสฺโส) ได้มีโอกาสเข้าไปในพระนคร ได้ยินเสียงโจษจันกันถึงเรื่องที่ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ได้พบเห็นเฝ้าแหนพระพุทธเจ้าและแสดงปาฏิหาริย์ให้คนเห็นพระพุทธเจ้าด้วย มีผู้สงสัยกันมาก พระเถระชั้นผู้ใหญ่ก็สงสัย บางท่านทำทีจะโต้แย้งคัดค้าน และได้ปรึกษาเรื่องนี้กะข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าแนะนำว่าควรจะสืบสวนให้รู้ถ่องแท้ก่อน อย่าด่วนโต้แย้งคัดค้าน เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรู้ลึกซึ้ง อันยากแก่การพิสูจน์อิทธิวิสัย เป็นเรื่องที่คิดไม่ถึง และอภิญญาเป็นวิชชาชั้นสูงในพระพุทธศาสนา ถ้าเรารู้ไม่ถึงแล้วด่วนคัดค้านโต้แย้ง อาจได้รับความอับอายภายหลัง ท่านผู้นั้นขอร้องข้าพเจ้าให้เป็นผู้สืบสวน ข้าพเจ้ารับภาระนั้นด้วยเห็นแก่ความสวัสดีของพระพุทธศาสนา
วันหนึ่งข้าพเจ้ามีโอกาสดี ให้คนไปพบปะสนทนากับหลวงพ่อ ท่านนัด ๑๖. ๐๐ น. ข้าพเจ้าไปวัดปากน้ำตามเวลานัด ขณะนั้นหลวงพ่อยังอยู่ในที่ฝึกภาวนาแก่ภิกษุสามเณร อุบาสก-อุบาสิกา ข้าพเจ้ารอคอยอยู่ที่รับแขกราวครึ่งชั่วโมง มีคนไปบอกหลวงพ่อ ท่านออกมาปฏิสันถารเมื่อรู้ว่าเป็นบุคคลที่นัดไว้ จึงนำไปที่กุฏิของท่าน เพื่อมีโอกาสสนทนาโดยเฉพาะ เมื่อผ่านการปราศัยไต่ถามชื่อเสียงเรียงนามตำแหน่งแห่งที่พอรู้เรื่องแล้ว หลวงพ่อพูดถึงแนวการปฏิบัติและแนวการสอนของท่าน พร้อมกับเล่าเรื่องไปเฝ้าพระพุทธเจ้าให้ฟัง
ข้าพเจ้าสอบถามพระพุทธลักษณะกับหลวงพ่อเล็กน้อย ท่านชี้ให้ดูพระพุทธรูปว่ามีลักษณะอย่างนั้น และมีพระเกตุมาลายอดแหลม เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า หลวงพ่อให้หนังสือ “ธรรมกาย” แก่ข้าพเจ้า ๑ เล่ม ส่วนข้าพเจ้าได้ตอบแทนท่านด้วยหนังสือ “สีลวัต” ๑ เล่ม
จากคุณ : ธารณธรรม
พระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส) พระเกจิสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ก็เคยกล่าวเกี่ยวกับพระธรรมกายใว้ในหนังสือทิพยอำนาจ ดังนี้
พระธรรมกาย
ได้แก่พระกายอันบริสุทธิ์ ไม่สาธารณะทั่วไปแก่เทวดาและมนุษย์ หมายถึง พระจิตที่พ้นจากอาสวะแล้ว เป็นพระจิตที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง มีพระรัศมีแจ่มจ้า เปรียบเหมือนดวงอาทิตย์อุทัยใขแสง ในนภากาศฉะนั้น พระธรรมกายนี้ เป็นพระพุทธเจ้าที่จริงแท้ เป็นพระกายที่พ้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย และทุกข์โศกทั้งหลายได้จริง เป็นพระกายที่เที่ยงแท้ ถาวรไม่สูญสลาย เป็นอยู่ชั่วนิรันดร์ เป็นที่รวมแห่งธรรมทั้งปวง
คือความเป็นพระอรหันต์ไม่สูญ
ความเป็นพระอรหันต์นี้ ท่านจัดเป็นอินทรีย์ชนิดหนึ่งเรียกว่า อัญญินทรีย์ เป็นสภาพที่คล้ายคลึงวิสุทธาพรหมในสุทธาวาสชั้นสูง เป็นแต่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าเท่านั้น เมื่อมีอินทรีย์อยู่ก็ย่อมจะบำเพ็ญประโยชน์ได้ แต่ผู้จะรับประโยชน์จากท่านได้ ก็จะต้องมีอินทรีย์ผ่องแผ้วเพียงพอที่จะรับรู้รับเห็นได้ เพราะอินทรีย์ของพระอรหันต์ ประณีตสุขุมที่สุด เป็นอินทรีย์แก้ว ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจของท่านเป็นแก้ว คือใสบริสุทธิ์ดุจแก้วมณีโชติ ผู้บรรลุถึงภูมิแก้วแล้ว ย่อมสามารถพบเห็นพระแก้ว คือพระอรหันต์ที่นิพพานแล้วได้
ความรู้เรื่องนี้เป็นความรู้ลับในธรรมวินัย ผู้สนใจพึงศึกษาค้นคว้าต่อไป ถ้ารู้ไม่ถึงอย่าพึงค้าน อย่าพึงอนุโมทนา เป็นแต่จดจำเอาใว้ เมื่อใดเหตุผลลงกันจึงอนุโมทนา ถ้ารู้ไม่ถึงแล้วด่วนวิพากษ์วิจารณ์ ติเตียน จะเป็นไปเพื่อบอดตาบอดญาณตัวเอง
ข้าพเจ้านำเรื่องนี้มาพูดใว้ ด้วยมีความประสงค์จะให้นักศึกษาพระพุทธศาสนา ช่วยกันค้นคว้าความรู้ ส่วนลึกลับของพระพุทธศาสนาต่อไป
ที่มา......หนังสือ ทิพยอำนาจ
หน้า......509-512
เรียบเรียงโดย....พระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส)

ทำดีกันไว้มากๆ นะครับ เวลาในโลกมนุษย์นั้นไม่นานเลย




ทำดีกันไว้มากๆ นะครับ เวลาในโลกมนุษย์นั้นไม่นานเลย โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 20 มี.ค. 2560
ตอนนี้อ่านข่าวแล้วรู้สึกว่าทำไมคนมันดุกันจัง ไม่พอใจกันก็ถึงกับต้องฆ่ากันเลย สังคมสมัยนี้อยู่ยากนะครับ เราทำความดีไว้คนอื่นไม่รู้แต่เทพเทวาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านรู้ ครูบาอาจารย์ท่านรู้ ทำความดีเราจะท้อไม่ได้ บางคนทำความดีนิดๆ หน่อยๆ ก็ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย ประเภททำร้อยแต่ขอเป็นล้าน สงสัยแกล้งขอไปก่อนเผื่อจะได้ แต่ผมก็เชื่อว่าคนอย่างพวกเราคงไม่ทำอย่างนั้นกัน
ถ้าเรามั่นคงในการทำความดีด้วย ทาน ศีล ภาวนา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านก็จะมาช่วยคุ้มครองเราเอง เพราะมันเป็นธรรมชาติที่ธาตุธรรมเดียวกันจะดึงดูดกันเองเป็นธรรมชาติ ผมเองกล้ามาพูดเรื่องนี้ก็เพราะได้ผ่านสิ่งต่างๆ เหล่านั้นมาด้วยตัวเองแล้ว ทำดีไปเรื่อยๆ วันหนึ่งก็จะเห็นผลเอง ผมเคยไปพบกับอาจารย์ท่านหนึ่งชื่ออาจารย์รังษีญานเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ท่านอยู่แถวถนนราษฎร์บูรณะ (ตอนนี้ท่านย้ายไปแล้ว) เพราะได้ยินกิตติศัพท์ว่าท่านเก่งมีญานพิเศษตรวจเรื่องราวต่างๆ ได้ แต่ผมเป็นคนที่เชื่ออะไรยากดังนั้นเมื่อผมไปพบท่านก็ต้องขอทดสอบดูก่อน โดยผมได้พกรูปพระองค์หนึ่งติดตัวไว้เสมอ ผมก็เอามือบังรูปแล้วคว่ำรูปนั้นลงบนโต๊ะให้เห็นแต่กระดาษขาวๆ แล้วขอให้ท่านอาจารย์รังษีญานเอามือมาแตะที่กระดาษแล้วบอกผมว่าคืออะไร
ถ้าอาจารย์รังษีญานไม่เก่งจริงก็คงจะโวยวายไปแล้ว แต่ท่านก็เฉยๆ ยอมเอามือมาแตะที่กระดาษเปล่าพักเดียวท่านก็พูดขึ้นว่า "นี่คือรูปของพระอรหันต์ผู้ไม่ตาย ท่านคือหลวงปู่เทพโลกอุดรซึ่งก็คือผู้ที่ส่งญานมาคุ้มครองคุณอยู่นั่นเอง" ผมได้ยินดังนั้นก็รู้สึกทึ่งกับญานทัศนะอันแม่นยำของท่านจริงๆ นี่ขนาดแค่เอามือแตะรูปที่มองไม่เห็นยังพูดออกมาได้อย่างถูกต้อง เพราะในสมัยนั้นผมต้องพกรูปของหลวงปู่เทพโลกอุดรไว้ในกระเป๋าเสื้อตลอดเวลา พกทุกวัน ไม่รู้พกทำไมเพราะเป็นแค่รูปถ่ายของท่าน แต่เพราะผมเคารพในองค์หลวงปู่เทพโลกอุดรมากก็เลยต้องพกรูปท่านติดตัวไว้ตลอดเวลา
แต่ที่ผมรู้สึกแปลกใจก็ตรงคำพูดของท่านอาจารย์รังษีญานที่บอกว่าหลวงปู่เทพโลกอุดรส่งญานมาคุ้มครองผม เพราะผมไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าท่านส่งญานไปคุ้มครองใคร ครูบาอาจารย์ที่เคารพในองค์หลวงปู่ก็ไม่เคยมีใครกล่าวถึงเรื่องนี้ ผมก็เลยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ต่อมาผมได้มีโอกาสไปกราบพระท่านหนึ่งแถวๆ จังหวัดสิงห์บุรีที่ลูกศิษยืของท่านมักเรียกท่านว่า "หลวงเตี่ย" พระท่านนี้ก็คือพระที่สร้างวัดต่างๆ ให้แก่หลวงปู่บุดดาพระอรหันต์ผู้เป็นที่เคารพอย่างสูงของหลวงปู่ดู่นั่นเอง วันนั้นผมไปกับเพื่อนคนหนึ่งขณะที่กำลังคุยกับท่าน อยู่ๆ ท่านก็หยิบวัตถุก้อนสีดำๆ ก้อนหนึ่งขึ้นมาแล้วพูดว่า "หลวงปู่เทพโลกอุดรฝากแม่ชีท่านหนึ่งที่มาจากภูเขาควายเอามาถวายให้ คุณช่วยดูให้หน่อยซิว่าเป็นอะไร ดีไหม"
อ้าว...อยู่ๆ ท่านก็เอาอะไรมาให้ผมช่วยดู ท่านคิดอย่างไรจึงเอาของมาให้ผมช่วยดู แต่เมื่อท่านขอร้องมา...เอาก็เอา ผมยื่นมือไปรับของสิ่งนั้นมากำไว้ในมือ หลับตาเพื่อกำหนดจิตดูแล้วก็ตอบท่านกลับไปว่า "นี่คงจะเป็นก้อนเหล็กไหลนะครับ แต่ไม่ใช่เหล็กไหลธรรมดาเพราะเป็นเหล็กไหลที่มีพลังเย็น" หลวงเตี่ยได้ยินที่ผมตอบก็หัวเราะชอบใจ แล้วก็พูดในสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง "คุณนี่ใช้ญานของหลวงปู่เทพโลกอุดรตรวจของเลยหรือ" ผมก็เลยแกล้งพูดตอบท่านไปว่า "หลวงเตี่ยทราบได้อย่างไรครับ" ท่านหัวเราะ "ทำไมข้าจะไม่รู้" นี่ก็เป็นท่านที่สองแล้วที่พูดกับผมแบบนี้
ผมเองก็เก็บความลับนี้ไว้กับตัวไม่กล้าบอกใคร เพราะเป็นเรื่องของครูบาอาจารย์ที่ท่านมีเมตตาต่อผมเป็นกรณีพิเศษ แต่ยิ่งเรารู้ว่าท่านส่งญานมาอยู่กับเรา ผมยิ่งไม่กล้าทำอะไรผิดเลย แค่คิดก็ยังไม่กล้าคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถือศีลผมยิ่งไม่กล้าละเมิดศีลเลยเพราะกลัวว่าท่านจะรู้เห็นว่าเราผิดศีล แต่ก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะยิ่งเรารักษาศีลให้บริสุทธิ์เพียงใดก็เป็นผลดีกับเราเท่านั้น เหมือนท่านติดกล้องทีวีวงจรปิดคอยดูเราตลอดเวลา 555
ต่อมาเมื่อผมมีโอกาสทำการตรวจพลังอานุภาพของพระเครื่องให้กับหลวงป๋าวัดหลวงพ่อสด หลวงป๋าท่านชอบมาทดสอบให้ผมตรวจดูพระเครื่องต่างๆ วันหนึ่งขณะที่ผมกำลังตรวจเพลินๆ หลวงป๋าท่านก็พูดขึ้นมาว่า "อู๋ เธอใช้ญานของหลวงปู่เทพโลกอุดรตรวจดูพระเครื่องหรือ" ผมก็สะดุ้งซิครับเพราะผมก็ไม่เคยบอกหลวงป๋าเรื่องนี้ ใครๆ ผมก็ไม่บอกเพราะเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะมีใครมีแบบผม ผมก็เลยยิ้มๆ ตอบท่านไปว่า "ครับ" หลวงป๋าท่านพูดไปแล้วพอนานๆ ไปท่านก็คงจะลืมเรื่องนี้ ภายหลังขณะที่อยู่ท่ามกลางลูกศิษย์ที่มาทำบุญกับท่าน ท่านเกิดสงสัยในพระเครื่ององค์หนึ่ง ท่านก็เลยส่งมาให้ผมแล้วบอกว่าให้ตรวจดูให้หน่อยซิ ขณะที่ผมหยิบพระองค์นั้นมาไว้ในมือเพื่อกำหนดจิต หลวงป๋าก็พูดเสียงดังขึ้นมาว่า "เอ๊ะ...เธอนี่ใช้ญานของหลวงปู่เทพโลกอุดรอยู่หรือ" ท่านพูดออกมาซะเสียงดังได้ยินกันหมดเลย ที่จริงผมก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้ในเรื่องนี้ แต่หลวงป๋าท่านพูดออกมาเพราะท่านรู้สึกประหลาดใจ (ท่านลืมไปว่าเคยบอกผมมาแล้ว)
ผมมีเพื่อนรุ่นน้องท่านหนึ่งที่ผมรักเหมือนน้องเหมือนลูก (ในอดีตชาติ) น้องท่านนี้เขาได้ธรรมกายชั้นสูงแล้ว ชอบตรวจโน่นตรวจนี่และทดสอบวิชาเรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ ทางจิต แกชอบมาคอยสอดญานดูผมว่านั่งสมาธิไปถึงไหนแล้ว ชอบมาคุยกับเจ้าที่ของบ้านผมบ่อยๆ วันหนึ่งแกโทรมาบอกผมว่า "พี่อู๋ ผมเห็นบนศีษะของพี่อู๋มีพระโบราณอยู่ด้วยนะ แปลกมากเลย ทำไมพี่อู๋มีพระโบราณมาอยู่บนหัวด้วย สูงขึ้นไปประมาณ 1 ศอก" ผมก็เลยบอกไปว่า "ท่านก็คือหลวงปู่เทพโลกอุดรไงล่ะ (น้องคนนี้ไม่รู้จักหลวงปู่เทพโลกอุดร) ท่านมาอยู่กับพี่อู๋เป็นสิบปีแล้ว ขนาดผมไปถ่ายรูปด้วยกล้องแสงออร่าก็ยังเห็นเป็นดาวสว่างอยู่บนหัวของพี่อู๋เลย"
ผมเล่าเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นหลักฐานพยานว่า การทำความดีนั้นเราอย่าท้อ อย่าคิดว่าไม่มีใครรู้ อย่าทำน้อยแล้วขอมาก ให้ทำไปเรื่อยๆ ตั้งใจทำความดีเรื่อยไป แล้ววันหนึ่งเทพเทวาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านจะมาอยู่ด้วยกับเรา จะมาคุ้มครองเราเอง ไม่ต้องร้องขอใดๆ ความดีที่เราทำนั้นจะดึงดูดสิ่งดีๆ มาอยู่กับเราเอง