ลป.ขาว พุทธรักขิโต วัดป่าคูณคำวิปัสสนา
บ้านกลาง ต.กุดให อ.กุดบาก ที่วัดมีรูปปั้นลป.ใหญ่เท่าองค์จริงซึ่งมีปาฏิหาริย์มาก ท่านอายุ 31 ปี (ปี 42) ได้เคยพบลป
.เทพโลกอุดร 2 ครั้ง ครั้งแรกตอนเป็นเณร อายุ 12 ปี เข้าป่าไปกับเพื่อนเณรเพื่อเที่ยวเล่นหลงป่าออกไม่ได้ พบพระ
ชรารูปหนึ่งนั่งอยู่ ผิวขาวออกชมพู ผมสีขาว บอกทางออกให้ ครั้งที่ 2 ท่านไปที่ฝั่งลาวตอนอายุ 16 ปี โดนทหารเวียด
นามล้อมไว้นึกว่าท่านเป็นสายลับ ท่านนั่งสมาธิอยู่ด้วยความกลัว ปรากฏว่าลป.เทพโลกอุดรมาสะกิดท่านถามว่าจะให้
ช่วยออกจากวงล้อมไหม ถ้าจะให้ช่วยก็ให้หลับตาลง พอหลับตาหลวงปู่ก็จับข้อมือท่านแล้วก็มีลมมาปะทะหูก็อื้อเหมือน
จะเป็นลม
เมื่อลืมตาก็เห็นพระพุทธรูป 3 องค์ ถามท่านว่าเป็นที่ไหน ท่านว่าอยู่บนภูเขาควาย ท่านจึงอยู่ปฏิบัติธรรมที่นั่น ทุกเช้า
ก็จะมีคนมาใส่บาตรให้ แต่เมื่อตามไปดูก็ไม่พบว่ามีบ้านคนอยู่แถบนั้นเลย วันหนึ่งจึงคิดลองถามชาวบ้านคนนั้นดู
พอจะถามเขาก็ชิงพูดก่อนเลยว่าไม่ต้องถาม ถ้าถามจะอดฉันข้าว
ทุกคืนท่านจะได้ยินเสียงพระมาสอนธรรมะเรื่องสติปัฏฐานและอสุภกรรมฐานให้ เมื่อท่านปฏิบัติไปนานจะครบ 3
เดือนเข้าเรื่องที่คิดจะสึกก็เลิกคิด และพูดเปรยออกมาว่าจะไม่สึกแล้ว พอพูดจบลป.เทพโลกอุดรก็ปรากฏกายขึ้นทันที
ท่านเล่าว่าท่านเป็นพระสมัยพุทธกาล เป็นลศ.ของพระมหากัสสปะ ท่านตั้งใจอยู่เพื่อรักษาพระพุทธศาสนาให้ครบ 5,000
ปี ท่านจึงไม่มีบ้าน ไม่มีพี่น้อง จะคอยช่วยเหลือพระที่อยู่ในป่าและได้รับอันตรายหรือติดขัดทางธรรมะ ท่านไม่มีชื่อ
แต่ลศ.ของท่านคือ "วังหน้า" (สมัยร.1) เรียกท่านว่า "พระครูเทพโลกอุดร" และสร้างพระให้ท่านปลุกเสกให้ส่วนพระที่ไม่
ใช่กรุวังหน้านั้นท่านไม่ได้ปลุกเสก แต่ผู้ที่นับถือท่านสร้างถวายไว้ด้วยความเคารพ ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าลป.เทพโลก
อุดรปลุกเสกพระกรุวังหน้าเพียงชุดเดียวเท่านั้น
ลป.เทพโลกอุดรขอให้ท่านสร้างโบสถ์ที่วัดนี้ แต่ท่านบอกสร้างไม่ได้หรอกเพราะไม่มีเงิน ลป.บอกไม่เป็นไรพรุ่งนี้จะ
มีผู้มาถวายเงิน 700,000 บาท พอวันรุ่งขึ้นก็มีคนมาถวายจริงๆ จึงได้เริ่มสร้าง ปัจจุบันใกล้จะเสร็จแล้ว ท่าน (ลป
.ขาว) ไม่ฉันเนื้อวัว
ท่านเล่าว่าลป.เทพโลกอุดรมีผิวกายสีดำแดง แต่ดูออกผิวขาวเนื่องจากผิวของท่านใส (ละเอียดและมีรัศมี) เกศาสีขาว
เส้นละเอียดไม่สั้นไม่ยาวเกินไปดูเหมือนปุยนุ่น นัยตาสีดำ ห่มจีวรสีเหลืองไม่เข้มนักเกือบเป็นสีกรัก ท่านสอนเน้น
เรื่องสติคือให้มีสติในทุกเมื่อและไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น (ไม่ให้มีห่วง) ชาวบ้านแถบนั้นเคารพลป.ขาวมากและเรียกท่านว่า
หลวงปู่ตั้งแต่ท่านยังเป็นเณร โดยเรียกว่า "หลวงปู่เณร" ท่านว่าชาติก่อนท่านเป็นคนลาว แม้ทุกวันนี้ก็ยังรู้เรื่องของ
เมืองลาวมาก
วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2559
ลพ.บุญเดช ญาณเตโช วัดถ้ำแสงธรรม ต.บึงโขงหลง อ.บึงโขงหลง ภูลังกา จ.บึงกาฬ
ลพ.บุญเดช ญาณเตโช วัดถ้ำแสงธรรม ต.บึงโขงหลง อ.บึงโขงหลง ภูลังกา จ.บึงกาฬ โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 17 ธ.ค. 2559
หลวงพ่อองค์นี้คือพระที่ลต.มหาบัวบอกว่าท่านจะเป็นที่พึ่งของพระศาสนาต่อไป ท่านเกิดเมื่อ 24 กพ. 2506 อายุ 53 ปี (ปี 2559) เป็นลูกศิษย์ของลพ.สมชาย ฐิตวิริโย วัดเขาสุกิม และลพ.พุธ ฐานิโย
ลพ.บุญเดชเคยไปเมืองพญานาคด้วยกายเนื้อมาแล้ว โดยอยู่ที่นั่นถึง 28 วัน และยังได้เก็บจีวรผืนที่ใช้ลงไปเมืองพญานาคไว้เป็นที่ระลึกจนถึงทุกวันนี้ น้ำที่ซักผ้าจีวรนี้ปรากฏว่ามีเกล็ดประกายสีทองปนอยู่ในน้ำเต็มไปหมด และท่านยังได้นำลูกแก้วของเมืองบาดาลมาด้วย
ท่านฝึกสมาธิอย่างจริงจังโดยเฉพาะในแนวมหาสติปัฏฐาน 4 คือมีสติทุกเวลาทุกลมหายใจเข้าออก ทั้งเวลาตื่นและเวลาหลับจนกระทั่งสามารถกำหนดเวลาตื่นได้ ท่านชอบฝึกการอดอาหารและอดนอนต่อเนื่องกันครั้งละหลายๆ วันจนกระทั่งได้บรรลุธรรมขั้นต่างๆ บางครั้งเมื่อท่านเดินจงกลม ก็มีผู้เห็นว่าท่านเดินจงกลมอยู่บนอากาศหรือยืนอยู่เหนือยอดไม้ (ยืนยันได้โดยคุณศักดิ์ พันธุ์ศิลา 380 หมู่ 11 บ้านโนนสว่างเหนือ ต.บึงโขงหลง อ.บึงโขงหลง จ.หนองคาย 43220 เคยไปแอบดูตอนท่านเดินจงกลม)
เมื่อหลายปีก่อนท่านมีความสงสัยว่าลป.เทพโลกอุดรมีจริงหรือไม่ ท่านจึงแก้สงสัยโดยอธิษฐานจิตว่า "หากลป.เทพโลกอุดรมีจริง ขอให้ท่านได้พบเห็นในวันนี้ จะเป็นกายเนื้อหรือกายทิพย์ก็ดี หากแม้นไม่พบเห็นในวันนี้คืนนี้ต่อไปจะไม่เชื่อว่าลป.เทพโลกอุดรมีจริง" เมื่อท่านอธิษฐานเสร็จก็ก้มลงกราบพระ ขณะที่ท่านหันหลังกลับมาเพื่อเตรียมตัวนั่งสมาธิ ทันใดนั้นสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาทำให้ท่านต้องตะลึง เพราะท่านเห็นพระภิกษุวัยกลางคนรูปร่างค่อนข้างสูง ผิวผ่องเป็นสีชมพู ผมขาว ใบหูใหญ่ หน้าตาคม จมูกโต ครองจีวรสีแก่นขนุน กำลังเดินตรงเข้ามาหาท่าน พร้อมกับเสือโคร่งขนาดใหญ่และสิงโต
พระภิกษุรูปนั้นเอ่ยขึ้นว่า "เธอต้องการพบเราไม่ใช่หรือ" หลังจากนั้นท่านจึงได้บอกกับลพ.บุญเดชว่า "เราคือหลวงปู่เทพโลกอุดร" และท่านได้เมตตาเล่าเรื่องที่น่ารู้ต่างๆ พร้อมทั้งสอนธรรมะและการปฏิบัติแก่ลพ.บุญเดชอยู่ราว 2 ชั่วโมง แล้วท่านก็เดินกลับหายตัวลับไปต่อหน้าต่อตา ท่านจึงหมดความสงสัยและยืนยันว่าลป.เทพโลกอุดรมีอยู่จริง ท่านยังได้ปั้นรูปเสือและสิงโตไว้เป็นอนุสรณ์ที่ปากทางขึ้นบนลานพระใหญ่ของวัดถ้ำแสงธรรมอีกด้วย
เมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา ผม (อู๋) กับเพื่อนๆ ได้เดินทางไปหาท่านที่ภูลังกา โดยผมตั้งใจจะนำเหล็กไหล "หลวงปู่สิงห์" ซึ่งเป็นเหล็กไหลน้ำหนึ่งสีปีกแมลงทับถวายแก่ท่าน (เหล็กไหลก้อนนี้เป็นเหล็กไหลจากภูเขาควายที่ยังไม่ตายยังนิ่มอยู่เหมือนตังเม) แต่ผมก็รู้ตัวอยู่ว่าตอนนี้ร่างกายของผมไม่สามารถที่จะปีนขึ้นเขาภูลังกาได้เพราะทางขึ้นเขาชันและสูงมาก ขึ้นไปแล้วก็ยังไม่ถึงวัดต้องเดินผ่านป่าเขาลำธารไปอีกไกล ผมเคยขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งตอนที่ร่างกายยังแข็งแรง ตอนนั้นกว่าจะไปถึงวัดก็แทบหมดแรงนอนหมดสภาพเลยทีเดียว ครั้งนี้ผมตั้งใจจะถวายท่านโดยกำหนดจิตบอกไปในตอนนั่งสมาธิ แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าเมื่อไปถึงทางขึ้นแล้วจะทำอย่างไรต่อไป เพื่อนๆ ผมเขาก็ถามว่าเมื่อไปถึงแล้วจะเอาอย่างไร ผมก็บอกว่า "ไม่รู้" ถามผม 2-3 ครั้ง ผมก็ตอบเหมือนเดิมคือ "ไม่รู้"
แต่เชื่อไหมครับ พอพวกผมไปถึงตีนเขาทางขึ้นภูลังกา ก็เห็นหลวงพ่อบุญเดชท่านกำลังนั่งพักเหนื่อยอยู่พอดี ท่านเพิ่งลงมาจากภูลังกาเพื่อจะไปธุระในเมือง ลงมาถึงก็เจอกับพวกผมเลยอะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น หากพวกผมถึงช้าไปหรือเร็วไปแค่ 15 นาทีก็ไม่มีทางได้พบท่านแล้ว เพราะในปีหนึ่งหลวงพ่อท่านจะลงมาจากภูลังกาแค่ 1-2 ครั้งเท่านั้น ผมจึงได้นำเหล็กไหลน้ำหนึ่งชนิดที่ไม่มีใครจะได้มาครอบครองถวายท่านไปเพื่อเอาบุญติดตัว ท่านรับไปแล้วก็ยิ้มด้วยความยินดีโดยหันหน้าไปทางภูเขาควาย (ท่านคงใช้ญาณตรวจดูแล้ว)
หลวงพ่อองค์นี้คือพระที่ลต.มหาบัวบอกว่าท่านจะเป็นที่พึ่งของพระศาสนาต่อไป ท่านเกิดเมื่อ 24 กพ. 2506 อายุ 53 ปี (ปี 2559) เป็นลูกศิษย์ของลพ.สมชาย ฐิตวิริโย วัดเขาสุกิม และลพ.พุธ ฐานิโย
ลพ.บุญเดชเคยไปเมืองพญานาคด้วยกายเนื้อมาแล้ว โดยอยู่ที่นั่นถึง 28 วัน และยังได้เก็บจีวรผืนที่ใช้ลงไปเมืองพญานาคไว้เป็นที่ระลึกจนถึงทุกวันนี้ น้ำที่ซักผ้าจีวรนี้ปรากฏว่ามีเกล็ดประกายสีทองปนอยู่ในน้ำเต็มไปหมด และท่านยังได้นำลูกแก้วของเมืองบาดาลมาด้วย
ท่านฝึกสมาธิอย่างจริงจังโดยเฉพาะในแนวมหาสติปัฏฐาน 4 คือมีสติทุกเวลาทุกลมหายใจเข้าออก ทั้งเวลาตื่นและเวลาหลับจนกระทั่งสามารถกำหนดเวลาตื่นได้ ท่านชอบฝึกการอดอาหารและอดนอนต่อเนื่องกันครั้งละหลายๆ วันจนกระทั่งได้บรรลุธรรมขั้นต่างๆ บางครั้งเมื่อท่านเดินจงกลม ก็มีผู้เห็นว่าท่านเดินจงกลมอยู่บนอากาศหรือยืนอยู่เหนือยอดไม้ (ยืนยันได้โดยคุณศักดิ์ พันธุ์ศิลา 380 หมู่ 11 บ้านโนนสว่างเหนือ ต.บึงโขงหลง อ.บึงโขงหลง จ.หนองคาย 43220 เคยไปแอบดูตอนท่านเดินจงกลม)
เมื่อหลายปีก่อนท่านมีความสงสัยว่าลป.เทพโลกอุดรมีจริงหรือไม่ ท่านจึงแก้สงสัยโดยอธิษฐานจิตว่า "หากลป.เทพโลกอุดรมีจริง ขอให้ท่านได้พบเห็นในวันนี้ จะเป็นกายเนื้อหรือกายทิพย์ก็ดี หากแม้นไม่พบเห็นในวันนี้คืนนี้ต่อไปจะไม่เชื่อว่าลป.เทพโลกอุดรมีจริง" เมื่อท่านอธิษฐานเสร็จก็ก้มลงกราบพระ ขณะที่ท่านหันหลังกลับมาเพื่อเตรียมตัวนั่งสมาธิ ทันใดนั้นสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาทำให้ท่านต้องตะลึง เพราะท่านเห็นพระภิกษุวัยกลางคนรูปร่างค่อนข้างสูง ผิวผ่องเป็นสีชมพู ผมขาว ใบหูใหญ่ หน้าตาคม จมูกโต ครองจีวรสีแก่นขนุน กำลังเดินตรงเข้ามาหาท่าน พร้อมกับเสือโคร่งขนาดใหญ่และสิงโต
พระภิกษุรูปนั้นเอ่ยขึ้นว่า "เธอต้องการพบเราไม่ใช่หรือ" หลังจากนั้นท่านจึงได้บอกกับลพ.บุญเดชว่า "เราคือหลวงปู่เทพโลกอุดร" และท่านได้เมตตาเล่าเรื่องที่น่ารู้ต่างๆ พร้อมทั้งสอนธรรมะและการปฏิบัติแก่ลพ.บุญเดชอยู่ราว 2 ชั่วโมง แล้วท่านก็เดินกลับหายตัวลับไปต่อหน้าต่อตา ท่านจึงหมดความสงสัยและยืนยันว่าลป.เทพโลกอุดรมีอยู่จริง ท่านยังได้ปั้นรูปเสือและสิงโตไว้เป็นอนุสรณ์ที่ปากทางขึ้นบนลานพระใหญ่ของวัดถ้ำแสงธรรมอีกด้วย
เมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา ผม (อู๋) กับเพื่อนๆ ได้เดินทางไปหาท่านที่ภูลังกา โดยผมตั้งใจจะนำเหล็กไหล "หลวงปู่สิงห์" ซึ่งเป็นเหล็กไหลน้ำหนึ่งสีปีกแมลงทับถวายแก่ท่าน (เหล็กไหลก้อนนี้เป็นเหล็กไหลจากภูเขาควายที่ยังไม่ตายยังนิ่มอยู่เหมือนตังเม) แต่ผมก็รู้ตัวอยู่ว่าตอนนี้ร่างกายของผมไม่สามารถที่จะปีนขึ้นเขาภูลังกาได้เพราะทางขึ้นเขาชันและสูงมาก ขึ้นไปแล้วก็ยังไม่ถึงวัดต้องเดินผ่านป่าเขาลำธารไปอีกไกล ผมเคยขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งตอนที่ร่างกายยังแข็งแรง ตอนนั้นกว่าจะไปถึงวัดก็แทบหมดแรงนอนหมดสภาพเลยทีเดียว ครั้งนี้ผมตั้งใจจะถวายท่านโดยกำหนดจิตบอกไปในตอนนั่งสมาธิ แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าเมื่อไปถึงทางขึ้นแล้วจะทำอย่างไรต่อไป เพื่อนๆ ผมเขาก็ถามว่าเมื่อไปถึงแล้วจะเอาอย่างไร ผมก็บอกว่า "ไม่รู้" ถามผม 2-3 ครั้ง ผมก็ตอบเหมือนเดิมคือ "ไม่รู้"
แต่เชื่อไหมครับ พอพวกผมไปถึงตีนเขาทางขึ้นภูลังกา ก็เห็นหลวงพ่อบุญเดชท่านกำลังนั่งพักเหนื่อยอยู่พอดี ท่านเพิ่งลงมาจากภูลังกาเพื่อจะไปธุระในเมือง ลงมาถึงก็เจอกับพวกผมเลยอะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น หากพวกผมถึงช้าไปหรือเร็วไปแค่ 15 นาทีก็ไม่มีทางได้พบท่านแล้ว เพราะในปีหนึ่งหลวงพ่อท่านจะลงมาจากภูลังกาแค่ 1-2 ครั้งเท่านั้น ผมจึงได้นำเหล็กไหลน้ำหนึ่งชนิดที่ไม่มีใครจะได้มาครอบครองถวายท่านไปเพื่อเอาบุญติดตัว ท่านรับไปแล้วก็ยิ้มด้วยความยินดีโดยหันหน้าไปทางภูเขาควาย (ท่านคงใช้ญาณตรวจดูแล้ว)
ลป.ทองทิพย์ รัตนโคตร (มรณะ 7 มีค 2544) วัดป่าสีดาพระรามลักษณ์รัตนโคตร ต.สีกา อ.เมือง จ.หนองคาย
ลป.ทองทิพย์ รัตนโคตร (มรณะ 7 มีค 2544) วัดป่าสีดาพระรามลักษณ์รัตนโคตร ต.สีกา อ.เมือง จ.หนองคาย โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 16 ธ.ค. 2559
ภาพถ่ายของท่านมีแสงวิ่งเป็นรูปกวางทองและมงกุฎติดที่ศีรษะของท่าน เชื่อกันว่าท่านเป็นน้องในอดีตชาติของลป.เทพโลกอุดร ตามแขนของท่านจะมีนาฬิกาใส่ไว้หลายเรือน ตามนิ้วท่านก็มีแหวนใส่อยู่หลายวงซึ่งลักษณะแบบนี้มีท่านเพียงองค์เดียวเท่านั้นที่ทำได้อย่างนี้ เนื่องจากลูกศิษย์ถวายแหวนและนาฬิกาให้ท่านด้วยความศรัทธา โดยบางคนทิ้งไว้กับท่านเมื่อครบเดือนก็มาขอคืนเพื่อนำไปใช้โดยเชื่อว่าท่านได้เสกให้แล้ว แต่บางคนก็ถวายให้ท่านเลยเพื่อเอาบุญ ท่านมักจะนั่งอยู่กับที่ตลอดวันตลอดคืนโดยไม่ลุกไปไหน
เคยมีคนไม่ชอบใจที่เห็นท่านสวมแหวนและนาฬิกา จึงนำเรื่องไปฟ้องหน่วยราชการให้มาสึกท่าน เจ้าหน้าที่ก็มาที่วัดเพื่อตามหาท่าน แต่ปรากฏว่าเมื่อเข้ามาในเขตวัดเจ้าหน้าที่ท่านนั้นเกิดอาการ "ขี้แตก" คืออุจจาระแตกต้องวิ่งเข้าห้องน้ำอย่างกระทันหันทันทีทันใด เข้าห้องน้ำไปนานสองนานพอแแกมาจากห้องน้ำได้ก็รีบเดินทางออกนอกวัดกลับไปทันที แล้วเจ้าหน้าที่ก็ไม่เคยกลับมาที่วัดอีกเลย
ผู้ปฏิบัติธรรมที่มาจากภูเขาควายเกือบทุกคน จะต้องแวะมากราบท่านที่วัดเสมอ เข้าใจว่าครูบาอาจารย์ที่ภูเขาควายคงจะแนะนำให้มากราบท่านกันเพราะท่านอยู่ที่ภูเขาควายมานานถือว่าเป็นศิษย์รุ่นพี่ ที่วัดท่านสมัยนั้นไม่มีโทรศัพท์ใช้ ท่านมาอยู่ที่วัดแห่งนี้นานร่วม 30-40 ปีแล้วโดยไม่ได้ไปไหนเพราะหลวงปู่เทพโลกอุดรเป็นผู้พาท่านมาจากภูเขาควาย แล้วนิมนต์ให้ท่านอยู่ประจำเพื่อรักษาอาณาเขตบริเวณนี้เอาไว้
ท่านรู้เรื่องเหล็กไหลไพรดำเป็นอย่างดี (ภูเขาควายอุดมไปด้วยเหล็กไหลหลายชนิด) จนท่านสามารถสร้างพระ "จันทรคราส" ด้วยเหล็กไหลได้ พระของท่านนับว่ามีอานุภาพสูงมากยากที่พระรุ่นไหนๆ จะมาเทียบได้ ท่านสร้างพระของท่านเองโดยปิดวิธีสร้างไว้เป็นความลับ แม้แต่ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดก็ยังไม่ทราบว่าท่านสร้างพระ "จันทรคราส" ด้วยวิธีใด เพราะท่านทำของท่านเองที่วัด เวลาท่านทำท่านก็นั่งหันหลังไม่ยอมให้ใครเห็น
ในระยะ 4-5 ปีก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ท่านได้ให้ความเมตตาแก่พระมหาเสริมชัย ชยมังคโล (หลวงป๋า) เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสด อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี เป็นพิเศษ โดยท่านชมหลวงป๋าว่าในยุคนี้ก็เห็นมีแต่ท่านเสริมชัยนี้แหละที่สร้างบารมีได้มาก หลวงป๋าท่านเคารพหลวงปู่ทองทิพย์มากเพราะท่านเป็นผู้มีญาณหยั่งรู้รวดเร็วและแม่นยำ เมื่อมีโอกาสจึงมักจะแวะขึ้นไปกราบท่านอยู่เสมอ ครั้งหนึ่งหลวงป๋าท่านตั้งใจจะนำพระเครื่องที่ท่านสร้างจากเหล็กไหลซึ่งเชื่อว่าเป็นพระที่มีอภินิหาริย์มากองค์หนึ่งเป็นพระสีเงินยวงไปถวายหลวงปู่ทองทิพย์ ขณะที่กำลังจะถวายหลวงปู่ทองทิพย์กลับเอ่ยขึ้นมาว่า "แล้วพระเหล็กไหลสีน้ำเงินปีกแมลงทับที่เอามาด้วยจะไม่ถวายหรือ" หลวงป๋าถึงกับอึ้งไปเลย เพราะความจริงหลวงป๋านำพระติดตัวมา 2 องค์จริงๆ คือพระสีเงินยวงและพระสีน้ำเงินปีกแมลงทับ แต่ยังรู้สึกเสียดายพระสีปีกแมลงทับซึ่งสวยงามกว่าจึงได้ซ่อนเอาไว้ในกระเป๋าอังสะ ไม่คิดว่าหลวงปู่ทองทิพย์ท่านจะรู้ หลวงป๋าจึงต้องยอมล้วงพระเหล็กไหลสีปีกแมลงทับออกมาถวายท่านอีกองค์หนึ่ง หลวงป๋าท่านเล่าให้ผม (อู๋) ฟังเอง ท่านเล่าไปก็หัวเราะไปอย่างอารมณ์ดี
หลวงปู่ทองทิพย์ท่านเล่าว่าพระพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลกมีชื่อว่า "พระปฐม" ทรงประสูติจากดอกบัว (อุบล) คือมีดอกบัวเป็นแม่ ดังนั้นเวลาจะไหว้พระรัตนตรัยจึงนิยมใช้ดอกบัวตั้งแต่อดีตกาล หลังจากยุคนั้นก็มีพระพุทธเจ้าต่อๆ กันมาอีกหลายพระองค์ รวมแล้วมากกว่าก้อนหินเม็ดทรายเสียอีก พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปที่จะมาตรัสรู้คือพระศรีอาริย์ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าชั้นพิเศษ (มีบารมีมาก) จะมีอายุยืนถึง 80,000 ปี คนในยุคนั้นก็มีอายุ 80,000 ปีเช่นกัน พระพุทธเจ้าที่มีอายุยืนมากกว่านี้ก็มีคือพระวิปัสสีพุทธเจ้า ยุคนั้นผู้คนมีอายุถึง 200,000 ปี
ทุกคนในยุคพระศรีอาริย์จะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันหมด พ่อกับลูก แม่กับลูกจะดูไม่ออกเลยว่าใครเป็นพ่อเป็นลูก คือไม่รู้ว่าใครแก่กว่ากัน และพระศรีอาริย์จะสามารถพาคนเข้าพระนิพพานได้ถึง 3 ส่วน เหลือไว้เพียง 1 ส่วน ส่วนพระสมณโคดมนั้นท่านขนคนไปได้เพียง 1 ส่วน เหลือไว้ถึง 3 ส่วน เพราะบารมีน้อยกว่า และพระกกุสันโธขนคนไปได้ 2 ส่วน เหลือไว้ 2 ส่วน
ท่านเล่าว่าสมัยโบราณอาวุธที่ดีที่สุดเรียกว่า "ดาบศรีคันชัย" ซึ่งเป็นดาบที่สร้างจากเหล็กกายสิทธิ์มีฤทธิ์เดชอานุภาพที่สุด สามารถตัดของได้ทุกสิ่งเรียกได้ว่าเป็นของวิเศษ ดังนั้นจึงมักจะเปรียบเทียบปัญญาของคนที่ฉลาดๆ ว่าเหมือนดาบศรีคันชัย เพราะสามารถใช้ปัญญาตัดกิเลสได้ ยักษ์ในสมัยก่อนนั้นชอบจับคนไปกิน แต่ยักษ์ในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปเป็นผู้เอาเปรียบ (สูบเลือดสูบเนื้อ) คน ซึ่งก็คือพวกนักวิทยาศาสตร์นั่นเอง
เมื่อผมทราบว่าหลวงปู่ละสังขาร ผม (อู๋) และเพื่อนได้ขึ้นไปกราบร่างของท่านเมื่อวันที่ 10 มีค. 2544 หรือ 4 วันหลังจากท่านสิ้น ปรากฏว่าร่างของท่านไม่เน่า ไม่บวม ไม่มีน้ำเหลืองไหลจากหู-จมูก ทั้งที่ไม่มีการฉีดยารักษาสภาพศพแต่อย่างใด เพราะท่านได้สั่งกำชับไว้ว่าห้ามฉีดยาฟอร์มารีนอย่างเด็ดขาด
หลังจากท่านได้ละสังขารแล้วปรากฏว่าได้เกิดฝนตกทั่วประเทศไทยถึง 7 วัน 7 คืน คือฝนเริ่มตกตั้งแต่วันที่ 8 มีค. 2544 จนถึง 14 มีค. 2544 อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คือตกทั้งกลางวันและกลางคืนไม่หยุดเลย ผม( อู๋) ขอเป็นพยานว่าเป็นเรื่องจริง เพราะตอนที่ผมและเพื่อนขับรถขึ้นไปเพื่อกราบร่างท่านก็ยังต้องขับรถฝ่าสายฝนไปตลอดทาง เหมือนเหล่าเทวดาทำเครื่องหมายให้โลกรู้ว่าผู้มีบารมีใหญ่ได้ละสังขารจากโลกมนุษย์แล้ว เรื่องที่ฝนจะตกแบบนี้หลวงปู่ท่านก็ได้บอกแก่ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดก่อนแล้วว่า "พวกแกคอยดูนะ เมื่อข้าสิ้น ฝนจะตก 7 วัน 7 คืนไม่หยุดเลย"
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)