ประวัติหลวงปู่พิบูลย์ วัดพระแท่น (บ้านแดง) อ.พิบูลย์รักษ์ จังหวัดอุดรธานี
หลวงปู่พิบูลย์ นามเดิมชื่อ พิบูลย์ แซ่ตัน
เกิดที่บ้านพระเจ้า ตำบลมะอึ อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด
บิดาชื่อ สา มารดาชื่อ โสภา นามสกุลแซ่ตัน
บิดาเป็นคนจีน มารดาเป็นคนจังหวัดร้อยเอ็ด
มีอาชีพทำร่ทำนาและค้าขายจนมีฐานะมั่นคง
ตามปกติหลวงปู่มีอุปนิสัยชอบทำบุญบำเพ็ญทานแก่พระภิกษุและคนทุกข์คนจนผู้ตกทุกข์ได้ยากเพราะหลวงปู่เห็นว่า
ผลบุญกุศลที่ได้ทำแล้วจะทำให้เกิดบุญกุศลเกิดความสุขในภพนี้ และภพหน้า
บุญกุศลเป็นความดีและเป็นเครื่องห้ามกั้นไม่ให้ไปสู่อบาย
หลวงปู่เอาใจใส่ทั้งการบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญเมตตา
ต่อมาได้แต่งงานกับหญิงชาวบ้านพระเจ้า แต่ไม่ทราบชื่อ
อยู่ด้วยกันมาหลายปีไม่มีบุตร ส่วนภรรยาต้องการบุตรมาสืบสกุล
จึงได้ปรึกษากับหลวงปู่พิบูลย์
จึงได้ตกลงกันไปขอบุตรของนางจันทีเพราะนางจันทีมีลูกหลายคน
นางจันทีก็ยินดียกให้เป็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณ ๕ ปี หลวงปู่พิบูลย์จึงได้นำมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม
หลวงปู่พิบูลย์ได้อบรมสั่งสอนให้เป็นคนมีอุปนิสัยดี ขยัน
ซื่อสัตย์ ว่านอนสอนง่าย เป็นที่รักของหลวงปู่พิบูลย์และภรรยา
พอเจริญวัยขึ้นมาอายุได้ประมาณ 16 ปี หลวงปู่พิบูลย์ได้ให้เครื่องประดับ เป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงามคนหนึ่งเป็นที่ชอบของหนุ่ม ๆ ต่อมาอายุได้ ๑๙ ปี
หลวงปู่พิบูลย์จึงได้ให้แต่งงาน
พอเห็นว่าบุตรสาวของตนได้แต่งงานกับบุคคลผู้มีนิสัยดี
พอที่จะไว้เนื้อเชื่อใจได้
หลวงปู่พิบูลย์จึงบอกกล่าวกับลูกสาวและลูกเขยว่า '' พ่อขอยกทรัพย์สมบัติทั้งปวงนี้ให้แก่พวกเจ้าเป็นผู้ดูแลกรักษา ส่วนพ่อจะขอลาออกบวช "
ส่วนภรรยาเมื่อได้ยินหลวงปู่พิบูลย์กล่าวอย่างนั้น
ก็ออกปากว่าจะออกบวชชีหนีไปคนละทางตลอดชีวิต
ส่วนหลวงปู่พิบูลย์เมื่อตัดสินใจแล้ว
จึงได้ไปปรึกษากับพ่อจารย์ฮวดชักชวนให้ออกบวช
พอพ่อจารย์ฮวดได้ยินคำชักชวนของหลวงปู่พิบูลย์ก็ยินดีจะออกบวชด้วย
วันต่อมาจึงได้ปรึกษากับพระอุปัชฒฌาย์เรื่อจะบวง
อุปัชฌาย์ก็ยินดีอนุโมทนาด้วย พออุปัชฌาย์ตกลงแล้ว
ก็ได้โกนหัวอุปสมบทในวันนั้นทั้งหลวงปู่พิบูลย์และอาจารย์ฮวด
แต่ไม่ปรากฎนามฉายาของหลวงปู่พิบูลย์
พอออกบวชแล้วอยู่ร่วมจำพรรษากับพระอุปัชาฌาย์และเหล่าภิกษุสามเณรวัดนั้นจนกระทั่ง
ถึงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม
หลวงปู่พิบูลย์จึงมีความประสงค์จะออกเดินรุกมูลเจริญกัมมัฏฐานในป่า
จึงได้ไปลาอุปัชฌาย์อาจารย์และเรียนกัมมัฏฐาน-ฐานอันเป็นข้อปฏิบัติ
และได้บอกกล่าวลาอุบาสก
อุบสิกาที่มีอยู่ในหมู่บ้านญาติโยมก็อนุโมทนาสาธุพร้อมด้วยเตรียมเครื่องอัฐบริขารที่จำเป็นส่วนตัว
ก็เดินทางออกจากวัดมุ่งสู่ทิศตะวันออกโดยไม่ม่ใครติดตาม
ไปเฉพาะลำพังรูปเดียว ค่ำที่ไหนก็นอนที่นั่นพอเดินทางมาถึงริมแม่น้ำโขง
ก็มีญาติโยมเอาเรือนำส่งไปถึงฝั่งประเทศลาว
หลวงปู่พิบูลย์ได้ไปอาศัยถ้ำเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมถ้ำนั้นอยู่ที่ " ภูอาก" ไม่ใกล้ไม่ไกลจากหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง
พอลงมาบิณฑบาตรได้ประมาณ 200 ร้อยเส้น พอถึงเดือนแปดหลวงปู่พิบูลย์ก็จำพรรษา
ณ ที่นั้น พออกพรรษาแล้วหลวงปู่พิบูลย์ก็บอกลาญาติโยมหมู่บ้านเล็ก ๆ
แห่งนั้นว่า ถ้ามีโอกาสก็จะกลับมาแวะอีก
และหลวงปู่พิบูลย์ได้แนะนำสั่งสอนญาติโยมให้ทำบุญบำเพ็ญทานจะมีบุญกุศลนำช่วยเมื่อตาย
และหลวงปู่พิบูลย์ก็เดินทางออกจากภูอากมุ่งหน้าสู้ถ้ำแถบภูเขาควายประเทศลาว
ต่อมาได้ไปพบกับอาจารย์ไม้เท้าหนักหมื่น( 12 กิโลกรัม) ได้ไปศึกษาและปฏิบัติธรรมร่วมกับลูกศิษย์อีก 7 รูป
เป็นเวลาหลายปีจนอาจารย์เห็นว่าลูกศิษย์แต่ละรูปประพฤติปฏิบัติในธรรมอย่างเคร่งครัด
เห็นว่าได้บรรลุธรรมเป็นส่วนมากแล้ว
อาจารย์จึงได้เรียกลูกศิษย์ทั้งเจ็ดออกมา แล้วเอาลูกสมอให้คนละหนึ่งลูก
ให้เคี้ยวลูกสมอนั้นให้แตก
ปรากฎว่าหลวงปู่พิบูลย์ของเราเคี้ยวลูกสมอแตกละเอียดพร้อมทั้งอีก 5 รูป ส่วนอีก 2 รูปนั้นไม่แตกแม้กระทั่งเปลือก
อาจารย์ก็รู้แล้วว่าผู้ใดบรรลุธรรม และไม่บรรลุธรรมแตกต่างกันอย่างไร
ผู้ไม่บรรลุธรรมให้ปฏิบัติธรรมต่อไป
ส่วนหลวงปู่พิบูลย์อาจารย์แนะนำให้ไปสร้างวัดอยู่เขตอำเภอหนองหาน เมื่อหลวงปู่พิบูลย์มาถึงเขตอำเภอกุมภวาปีแล้ว ก็ได้สร้างวัดเกาะแก้วเกาะเกศอยู่ติดกับลำน้ำปาวอยู่ที่นั่นหลายปี
ในลำน้ำปาวนั้นเขที่วัดอยู่มีจระเข้ยักษ์ตัวหนึ่งเที่ยวกินวัวควายของชาวบ้าน
ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนจึงได้ไปปรึกษากับหลวงปู่
หลวงปู่ได้แนะนำให้นำดอกไม้ธูปเทียนขันห้าขันแปด
เทียนเวียนรอบหัวและยาวเท่าลำตัวให้นำมาจากทุกหลังคาเรือน
พอมาถึงหลวงปู่ก็ฉันอาหารเช้าเสร็จ ก็เริ่มนั่งบริกรรมแล้ว
หลวงปู่ก็นุ่งสบงจีวรรัดอกจุดเทียนคู่หนึ่งถือไว้ในกำมือ
แล้วก็เดินลงสู่ลำน้ำปาว ประมาณสองชั่วโมง น้ำเริ่มขุ่นขึ้นมา
ชาวบ้านจ้องดูตามริมฝั่งทั้สองฟากพอประมาณ
แล้วหลวงปู่ก็ขึ้นมาพร้อมกับไม้เรียวและเทียน
ข้อนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งเพราะสบงจีวรหลวงปู่ไม่เปียก
และเทียนที่จุดก็ไม่ดับและไม่สั้นลงไปอีก หลวงปู่จึงบอกกับชาวบ้านว่า " ไอ้จระเข้มันยอมแพ้แล้วมันจะหนีภายใน 7 วัน " หลวงปู่ถามชาวบ้านว่า
" อยากเห็นมันบ่พ่ออก แม่ออก อาตมาจะเอิ่นมันมาให้เบิ่ง
(อยากจะเห็นหน้าไอ้จระเข้ไหม จะเรียกมันมาให้ดู)
ญาติโยมเหล่านั้นบอกว่าอยากจะเห็น
หลวงปู่จึงเรียกไอ้จระเข้ใหญ่ขึ้นมาจากน้ำอยู่ที่ริมฝั่ง
ขณะนั้นหลวงปู่ถามชาวบ้านว่า " ญาติโยมกลัวไอ้จระเข้ไหม" ญาติโยมบอกว่ากลัวมาก ๆ เลยหลวงปู่ หลวงปู่บอกว่า " ไม่ต้องกลัวเพราะมันยอมเราแล้ว" หลวงปู่จึงเอามือตบหัวไอ้จระเข้และเอามือล้วงเข้าไปในปากของไอ้จระเข้ มันก็ไม่ทำอะไรหลวงปู่ แล้วหลวงปู่ก็บอกให้มันกลับลงสู่น้ำ ต่อมาภายหลังชาวบ้านเห็นจระเข้อยู่ในป่า จึงได้นำเหล็กแหลมๆ ทั้งสองข้างเอาริ้วหนังติดกับไม้ยื่นไปหาไอ้จระเข้ๆ จึงอ้าปากขึ้น ชาวบ้านจึงเอาเหล็กยัดเข้าไปในปากไอ้จระเข้ในทางตั้ง พอไอ้จระเข้งับปากลงเหล็กก็แทงปากจระเข้ทั้งด้านและด้านล่าง (ช่วงนั้นหลวงปู่ไม่อยู่แล้ว)
ขณะนั้นหลวงปู่ถามชาวบ้านว่า " ญาติโยมกลัวไอ้จระเข้ไหม" ญาติโยมบอกว่ากลัวมาก ๆ เลยหลวงปู่ หลวงปู่บอกว่า " ไม่ต้องกลัวเพราะมันยอมเราแล้ว" หลวงปู่จึงเอามือตบหัวไอ้จระเข้และเอามือล้วงเข้าไปในปากของไอ้จระเข้ มันก็ไม่ทำอะไรหลวงปู่ แล้วหลวงปู่ก็บอกให้มันกลับลงสู่น้ำ ต่อมาภายหลังชาวบ้านเห็นจระเข้อยู่ในป่า จึงได้นำเหล็กแหลมๆ ทั้งสองข้างเอาริ้วหนังติดกับไม้ยื่นไปหาไอ้จระเข้ๆ จึงอ้าปากขึ้น ชาวบ้านจึงเอาเหล็กยัดเข้าไปในปากไอ้จระเข้ในทางตั้ง พอไอ้จระเข้งับปากลงเหล็กก็แทงปากจระเข้ทั้งด้านและด้านล่าง (ช่วงนั้นหลวงปู่ไม่อยู่แล้ว)
ต่อมาทีหลังได้นำกระดูกจระเข้มาทำเป็นตีนธัมมาสก์
ในสมัยก่อนวัดเกาะแก้วแห่งนี้มีอาถรรพ์มากคนไม่กล้าเข้าไปอยู่เพราะเป็นวัดร้าง
ท่านหลวงปู่พาสร้างแล้วชาวบ้านก็อยู่เย็นเป็นสุข
หลวงปู่จึงกลับมากราบอาจารย์ไม้เท้าหนักหมื่น อาจารย์เลยบอกว่า "
วัดที่หลวงปู่ไปสร้างนั้นไม่ใช่วัดเดิมของหลวงปู่ที่บอกไปสร้างนั้นอยู่ทางทิศเหนือของอำเภอหนองหาน
ซึ่งอยู่ติดริมห้วยหลวง " หลวงปู่ได้อยู่พักกับอาจารย์ตามสมควร
แล้วก็ได้ลาอาจารย์กลับมายังฝั่งไทยและได้พักอยู่วัดเกาะแก้วเกาะเกศอีก
ส่วลูกศิษย์คนอื่น ๆ นั้นอาจารย์ก็บอกให้ไปทางภาคเหนือ-ภาคใต้
ส่วนหลวงปู่เราให้อยู่ในภาคอีสาน
ต่อมาหลวงปู่ก็ได้ลาญาติโยมชาววัดเกาะแก้วเกาะเกศ มุ่งหน้าสู่ทิศเหนือของอำเภอหนองหาน พอมาถึงบ้านเชียงงามก็เลยไปพักอยู่ที่วัดร้าง
(วัดไม่มีพระจำพรรษาอยู่)
พ่อเวียงได้เห็นหลวงปู่เข้ามาอยู่ที่วัดจึงได้แต่งขันหมากขันพลู
บุหรี่ออกไปหาหลวงปู่ที่วัด
เมื่อถวายท่านแล้วก็ถามถึงที่มาที่ไปของหลวงปู่ว่ามาจากที่ไหน
จะไปไหนหลวงปู่บอกว่า " จะไปบ้านไทย (บ้านแดงในปัจจุบัน)"
ทีอยู่ติดกับริมห้วยหลวง หลวงปู่เลยถามโยมเวียงว่า "
ยังอีกไกลไหมกว่าจะถึงบ้านไทย " โยมเวียงบอกว่ายังอีกไกลอยู่ "
เพราะถึงวันเข้าพรรษาแล้ว ข้าน้อย(กระผม)
ขอนิมนต์ปู่อยู่จำพรรษาที่วัดนี้ก่อน
หลวงปู่ก็รับปาก
หลวงปู่เลยถามว่า " มีผู้เอาอะไรมาฝากไว้กับโยมหรือไม่เมื่อหลายปีก่อน"
โยมเวียงบอกว่า " มีตาปะขาวคนหนึ่งได้นำอะไรไม่ทราบมาฝากผมไว้ ยาวประมาณ 4ศอก
แต่เอาผ้าข่าวห่อไว้ไม่ให้ผมเห็นและไม่ให้บอกใคร
จนกว่าเจ้าของจะมาถามเอา " หลวงปู่เลยบอกว่า " ไม้เท้าหลวงปู่เอง "
พอค่ำโยมเวียงก็นิมนต์หลวงปู่เข้าไปดูแล้วโยมเวียงก็นำมาถวาย หลวงปู่คลี่ผ้าขาวออกก็เห็นเป็นไม้เท้า
และภายในตัวไม้เท้ามีหนังสือธรรมเขียนไว้บนไม้เท้าว่า " หลวงปู่พิบูลย์ "
ลักษณะไม้เท้านี้ปลายแหลมข้างล่างเป็นเหล็กง่ามสองแฉก
และตัวไม้เท้าเป็นปล้อง ๆ จะว่าเป็นเหล็กก็ไม่ใช่ เป็นไม้ก็ไม่เชิง
ส่วนผ้าที่ห่อไม้เท้านั้นโยมเวียงได้ขอเอาเป็นอนุสรณ์
ผู้ที่ฝากของไว้พอฝากก็หายตัวไปเลย
โยมเวียงไม่รู้จักจึงได้ถามหลวงปู่ว่าเป็นใคร หลวงปู่บอกว่าเป็นเทพบุตร
พอสนทนากับโยมเวียงพอสมควรแล้วหลวงปู่ก็กลับมาพักที่วัด
และจำพรรษาที่วัดบ้านเชียงงาม ตลอดพรรษานั้น
ช่วงระยะกลางพรรษามีไอ้หนุ่มเกเรคนหนึ่งชื่อ
" นายเถิก" เรียนเดรัจฉานวิชา
ตอนกลางคืนออกเที่ยวตอนกลางวันมาพักที่วัดแห่งนี้
หลวงปู่เห็นอยู่หลายวันจึงได้ว่ากล่าวตักเตือนว่า "
ทำไมจึงได้มานอนอยู่ที่นี่ เป็นคนเกียจคร้านหลีกการงานจากพ่อแม่
หาที่ซ่อนตัวไม่อยากทำงานช่วยพ่อแม่ใช่ไหม กลับไปทำงานช่วยพ่อแมีเถอะ "
เมื่อนายเถิกได้ยินหลวงปู่ว่าให้อย่างนั้น
จึงเดินหนีด้วยกิริยาอาการที่โกรธมาก พอประมาณตีสองของคืนนั้น
นายเถิก็ได้ปล่อยวัวธนูหมายจะทำร้ายหลวงปู่ให้ตาย
วัวธนูก็ได้มาบินวนอยู่ที่กุฏิหลวงปู่ถึงสามรอบ เสียงดังเหมือนฟ้าร้อง
และลงไปวิ่งวนรอบตัวหลวงปู่หวังจะทำร้าย แต่เข้าไม่ถึงตัวหลวงปู่ ๆ
เลยเอากระโถนหรือเงี่ยงน้ำหมากครอบตัววัวธนูนั้นไว้ทันที
ต่อมาอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง
ได้ยินเสียงชาวบ้านร้องให้วิ่งแตกตื่นกันไปดูว่านายเถิกไหลตาย
จนกระทั่งรุ่งเช้าหลวงปู่ออกเดินบิณฑบาตรเห็นชาวบ้านกำลังทำไม้มงคลอยู่
(ไม้หีบศพ) หลวงปู่เลยถามว่า " ญาติโยมพากันทำอะไร " ชาวบ้านบอกว่า "
ทำไม้หีบศพนายเถิก มันไหลตายเมื่อตอนตีสองของเมื่อคืนนี้ "
หลวงปู่เลยบอกว่า " ไม่ต้องทำหรอก คนสันดานไม่ดี(ขี้ดื้อ) "
ชาวบ้านเลยถามว่า " ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรดีหลวงปู่ " หลวงปู่เลยบอกว่า "
เอาน้ำมนต์ของหลวงปู่กินเดี๋ยวมันก็ฟื้นขึ้นมา "
โยมเหล่านั้นก็กุลีกุจอรีบไปตักน้ำมาให้หลวงปู่ทำน้ำมนต์
หลวงปู่บอกว่า " ยังทำไม่ได้เพราะบิณฑบาตรอยู่
ให้หลวงปู่และฉันภัตาหารเช้าเสร็จก่อน "
พอหลวงปู่เสร็จกิจแล้วโยมได้นำดอกไม้ธูปเทียน
และขันน้ำมนต์เข้าไปถวายหลวงปู่เพื่อทำน้ำมนต์
หลวงปู่ก็ทำให้เสร็จแล้วก็บอกว่า "
เอาไปล้างหน้าและให้หยอดเข้าปากไม่นานก็จะฟื้นขึ้นมา "
ชาวบ้านได้ทำตามนั้นไม่นานนายเถิกก็ฟื้น
ลืมตาขึ้นร้องขอความช่วยเหลือจากพ่อแม่ว่าหลวงปู่ผูกมัดไว้ตั้งแต่เมื่อคืนนี้
พอนายเถิกตั้งสติได้พ่อแม่ก็นำมาคาระวะหลวงปู่
พร้อมชาวบ้านแห่ตื่นกันออกมา
หลวงปู่จึงแนะนำให้นายเถิกไปบวชกับพระอุปัฌชา
และมาเป็นผู้อุปฐากหลวงปู่อยู่ที่นั้น
นายหลอดเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนายหลอดแล้วก็กลัวตาย
จึงได้นำวิชาวัวธนูที่ไปเรียนมากับนายเถิกเอากลับไปคืนอาจารย์แล้วก็บวชพร้อมกับนายเถิก
ชาวบ้านจึงเริ่มเห็นอภินิหารของหลวงปู่
กล่าวถึงบ้านเชียงงามก่อนสมัยที่หลวงปู่จะเข้าไปจำพรรษา พระจะอยู่ไม่ได้เพราะมีเปรตร้ายอยู่ที่นั้น ถ้าพระไปนอนจะถูกเปรตลากขาและหลอกหลอนตลอดทั้งคืน จึงเป็นวัดที่น่ากลัวในสมัยนั้นหาผู้ไปอยู่ไม่ได้ พ่อเวียงได้แจ้งให้หลวงปู่ฟังตลอด และปรึกษาหารือกับหลวงปู่ว่าจะทำอย่างไร หลวงปู่แนะนำพ่อเวียงว่า " แต่ก่อนเปรตพวกนั้นมันทำบาปไว้มากมันเอาเนื้อควายมาย่างที่วัด และเอาไม้ศาลาวัดมาก่อย่างควาย " หลวงปู่บอกว่า " ให้บอกลูกบอกหลานพร้อมทั้งผู้เฒ่าผู้แก่บ้านเราให้ทำข้าวร้อยพา ( ข้าว100 ถาด) แล้วนำไปไว้สี่ทิศ ๆ 25 พา (ถาด) ทำอย่างนี้มันจะได้ไปเกิด " ตั้งแต่นั้นมาชาวบ้านเชียงงามก็อยู่เย็นเป็นสุขมาตลอด
กล่าวถึงบ้านเชียงงามก่อนสมัยที่หลวงปู่จะเข้าไปจำพรรษา พระจะอยู่ไม่ได้เพราะมีเปรตร้ายอยู่ที่นั้น ถ้าพระไปนอนจะถูกเปรตลากขาและหลอกหลอนตลอดทั้งคืน จึงเป็นวัดที่น่ากลัวในสมัยนั้นหาผู้ไปอยู่ไม่ได้ พ่อเวียงได้แจ้งให้หลวงปู่ฟังตลอด และปรึกษาหารือกับหลวงปู่ว่าจะทำอย่างไร หลวงปู่แนะนำพ่อเวียงว่า " แต่ก่อนเปรตพวกนั้นมันทำบาปไว้มากมันเอาเนื้อควายมาย่างที่วัด และเอาไม้ศาลาวัดมาก่อย่างควาย " หลวงปู่บอกว่า " ให้บอกลูกบอกหลานพร้อมทั้งผู้เฒ่าผู้แก่บ้านเราให้ทำข้าวร้อยพา ( ข้าว100 ถาด) แล้วนำไปไว้สี่ทิศ ๆ 25 พา (ถาด) ทำอย่างนี้มันจะได้ไปเกิด " ตั้งแต่นั้นมาชาวบ้านเชียงงามก็อยู่เย็นเป็นสุขมาตลอด
เมื่อออกพรรษาแล้ว
หลวงปู่อยู่กับญาติโยมชาวบ้านเชียงงามถึงเดือน ๔ หลวงปู่จึงบอกลาญาติโยม
มีพ่อเวียงเป็ฯต้น
ว่าจะไปจำพรรษาข้างหน้าและโปรดสัตว์ต่อไปคือจะไปที่บ้านไท
(บ้านแดงในปัจจุบัน)
ญาติโยมเหล่านั้นเคารพและศรัทธาในตัวหลวงปู่เป็นอย่างมากไม่อยากให้หลวงปู่ไปจึงพากันนิมนต์ไว้
แต่หลวงปู่ไม่รับนิมนต์พอถึงเวลาจะออกเดินทางก็บอกแก่ญาติโยมว่า “ ให้หม่อมเถิกและหม่อมหลอดอยู่ที่วัดนี้ พอให้พ่อออกแม่ออก( ญาติโยม) ได้ทำบุญจังหันจังเพล (ถวายอาหารเช้าและอาหารเพล ” พ่อเวียงจึงนำส่งพอพ้นเขตบ้าน
หลวงปู่ได้เดินทางมุ่งหน้าสู่บ้านไทย (บ้านแดงในปัจจุบัน)
พอเดินทางมาถึงบ้านนาทรายหลวงปู่ได้แวะพักที่ศาลาวัด พอท่านหลักคำ
(พระที่จำวัดอยู่ที่นั้น) มองเห็นจึงบอกเณรนำน้ำไปถวาย
พอเณรถวายน้ำหลวงปู่แล้วหลวงปู่จึงถามว่า “ อยู่ด้วยกันกี่รูป ” มีพระ ๑ เณร ๑ หลวงปู่จึงถามต่อไปว่า “ เคยไปบ้านไทหรือเปล่า ” เณรบอกว่า “ ไม่เคยไปสักที ” ไม่นานท่านหลักคำก็ตามมาถามข่าวคราวว่ามาจากไหนและจะไปไหน หลวงปู่ก็บอกว่า “ พรรษาที่แล้วจำพรรษาอยู่ที่บ้านเชียงงาม และกำลังจะเดินทางไปบ้านไท ” แล้วหลวงปู่ก็ลาท่านหลักคำเดินทางมาจนถึงห้วยดานบริเวณท่าหลักเส หลวงปู่ก็นั่งพักอยู่ระยะหนึ่งพอดีเห็นโยมจารย์มี หลวงปู่เลยถาม “ เจ้าจะไปไหน ” จารย์มีก็ตอบว่า “จะไปตามควาย ๆ มันหายไปสามสี่วันแล้ว คิดว่ามันคงจะไปทางหนองบ่อเค็ม ” หลวงปู่แลยบอกว่า “ ไม่ต้องไปตามมันดอกแค่สีนวดเอาควายมันก็วิ่งมาเอง ให้มาเอาเครื่องอัฐบริขารของหลวงปู่ข้ามน้ำไปเถอะ ” น้ำก็ไม่ลึกเท่าไรพอข้ามได้
พ่อจารย์มีก็ข้ามไปเอาเครื่องบริขารกับหลวงปู่
เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วก็พากันมุ่งหน้าสู่บ้านไท พอเดินทางมาถึงห้วยมันปลา
ปรากฎว่ามีฝูงควายวิ่งตามมา หลวงปู่บอกกับจารย์มีว่า “ โน้นควายวิ่งตามมาแล้ว ” พ่อจารย์มีเห็นแล้วก็ทั้งดีใจและน่าอัศจรรย์ใจ (คือเป็นตางึดตาง้อแท้)
พอมาถึงโนนบ้านไทผู้เฒ่าผู้แก่ของหมู่บ้านเมื่อเห็นแล้วก็พากันเข้าไปต้อนรับและปรึกษาหาที่พักให้กับหลวงปู่ชั่วคราว
เมื่อจัดหาที่พักให้กับหลวงปู่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ชาวบ้านก็พากันจีบหมาก
พันยาและนำน้ำไปประเคนหลวงปู่ ๆ ก็ได้ถามข่าวสารทุกข์สุขดิบกับชาวบ้าน
และถามถึงที่ที่เป็นวัดเก่า พ่อออก (โยมผู้ชาย) ก็บอกว่ามีอยู่
ห่างจากที่นี่ประมาณ ๕๐๐ เมตร แต่มันศักดิ์สิทธิ์มากใครไปทำอะไรไม่ได้
แม้แต่วัวควายเข้าไปก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปตามเอาจะถ่ายอุจจาระปัสสาวะหันหน้าไปทางนั้นก็ไม่ได้
จะตัดต้นไม้ลำเท่านิ้วตีนนิ้วมือก็ไม่ได้
ถ้าใครไปทำจะมีอาการกระตุกและล้มป่วยลงทันที
ถ้าไม่ไปปลูกต้นไม้แทนหรือแก้ไขก็จะมีออันเป็นอันตรายถึงตาย
ที่ว่าอย่างนั้นเพราะมีคนที่เป็นอย่างนี้มาแล้ว
หลายคนจึงไม่มีใครเข้าไปในวัด วัดเก่าแห่งนี้มีของสำคัญอย่างหนึ่ง คือ
แท่นพระเก่าทำด้วยศิลาแลงเป็นแท่งขนาดกว้าง ๑.๕ เมตร ยาว ๓ เมตร สูง ๑.๕
เมตร เป็นแท่นพระอยู่ในซากวิหารเกก่า
และมีซากโบสถ์เก่าหนาทึบด้วยไม้เบญจพรรณน้อยใหญ่ออกดอกเต็มสะพรั่งไปหมด
ในบริเวณวัดแห่งนี้ต้นมีต้นไม้ขนาดใหญ่ เช่น ไม้แดง ไม้สะแบง ไม้จิก
และไม้รัง เป็นต้น
พอเช้าวันต่อมาญาติโยมก็พากันไปทำบุญใส่บาตรให้หลวงปู่ทุกๆหลังคาเรือน
ซึ่งในสมัยนั้นมีกันทั้งสิ้น ๓๐ หลังคาเรือน
พอหลวงปู่ฉันอาหารเสร็จหลวงปู่ก็เตรียมถุงหมาก ถุงย่าม มีดพร้า
พร้อมด้วยพ่อออก ๒-๓ คนพากันขึ้นไปดูวัดแห่งนี้
ทุกคนอยากจะไปแต่ก็ไม่กล้าเพราะกลัวมาก
จะมีก็แต่ผู้กล้าตายสองสามคนตามหลวงปู่ไปดูวัด พอมาถึงหลวงปู่ก็บอกว่า “ถางตรงนี้” ชาวบ้านที่ไปด้วยต่างก็มีอาการกลัวไม่กล้าถางหลวงปู่จึงพูดย้ำไปอีกว่า“ รับรองไม่มีอันตรายแน่ๆ” หลวงปู่ก็ให้ถางเข้าไปถึงแท่นพระ
พวกเก้ง พวกกวาง ก็วิ่งออกจากแท่นพระเก่าเป็นจำนวนมาก วันแรกแม่ออก
(โยมผู้หญิง) ไม่กล้ามาส่งเพล พอมาถึงวัดก็หยุดพักอยู่ข้างนอก
แล้วร้องนิมนต์ให้หลวงปู่ออกมาฉันเพลข้างนอก
พอผ่านไปหนึ่งคืนก็ไม่มีเหตุอันตรายใดๆเกิดขึ้นกับหลวงปู่และพ่อออกผู้ติดตาม
เช้าวันต่อมาหลวงปู่ไปถากถางวัดพ่อออกอีก
พอสองสามวันผ่านไปชาวบ้านก็มีความมั่นใจในตัวหลวงปู่มากขึ้น
ชาวบ้านจึงร่วมแรงร่วมใจช่วยหลวงปู่ถากถางบริเวณนั้นโดยดี
บริเวณแท่นพระและรอบๆแท่นพระนั้นมีไม้แดง และไม้สะแบงใหญ่มาก
ถ้าหากโค่นล้มลงมากลัวว่าจะถูกแท่นพระ หลวงปู่จึงสั่งให้หาเอาเครือหวาย
และเครือจานมาทำเป็นเชือกแล้วนำไปผูกที่ปลายของต้นแดงดึงออกจากแท่นพระชาวบ้านได้พยายามอยู่
๑ วันเต็มๆจึงสามารถเอาไม้แดงใหญ่ออกไปได้
วันต่อมาพอหลวงปู่ฉันเพลเสร็จจึงกล่าวกับพ่อออกแม่ออกว่า “หลวงปู่ขอแผ่(บริจาค)หญ้าคากับญาติโยมบ้านละไพ (ตับ)สองไพ(ตับ)พอได้ทำเป็นกุฏิอาศัยอยู่ชั่วคราว”ชาวบ้านก็หามาให้และได้ช่วยกันทำทั้งกลางวันและกลางคืนทำเป็นกุฏิเล็กๆอยู่กลางวัด
รวมหญ้าที่ใช้ทำกุฏิทั้งสิ้น ๓๕ ไพ (ตับ)
ผู้ใดเจ็บไข้ได้ป่วยหลวงปู่ก็หายามาให้กินให้ทา และรดน้ำมนต์ให้
ปรากฎว่าทุกคนที่มารับการรักากับหลวงปู่ก็หายจากอาการเจ็บไข้เป็ปลิดทิ้ง
ทำให้ทุกคนมีกำลังในและเชื่อมั่นในตัวหลวงปู่มากยิ่งขึ้น
บ้านใกล้บ้านไกลเมื่อยินข่าว
ต่างก็พากันหลั่งไหลมาหาหลวงปู่ไม่ขาดทั้งกลางวันและกลางคืน
โดยมากจำพวกผีฟ้า ผีทรง ผีปอบ นางฟ้า นางเทียม ผีป่าผีดง เข้าทรงเข้าสิง
พอมาหาหลวงปู่ก็อาบน้ำมนต์ ผูกแขน ชำระไล่ผี
เหล่านั้นออกหนีทำให้ผู้คนในหมู่บ้านไทและบ้านใหล้เคียงนั้นอยู่ดีกินดี
พอจะเข้าพรรษาพระเถิกและพระหลอดที่อยู่บ้านเชียงงามได้ยินข่าวจากชาวบ้านไทที่หนองหานจึงพากันมาคารวะกราบไหว้และได้อยู่จำพรรษาร่วมกับหลวงปู่ในพรรษาแรกของวัดที่ตั้งขึ้น
รวมพระสงฆ์ที่จำพรรษาอยู่มี ๓ รูป ผู่คนจากจังหวัดต่างๆ เช่น
จังหวัดขอนแก่น บ้านขามเตี้ย หนองไฮ บ้านแฮด หนองเข็งจากลำช๊
บ้านแต้จากจังหวัดมหาสารคาม บ้านเลิกแฝกบัวแก้ว
และที่มาจากจังหวัดหนองคายก็เยอะเหมือนกัน เมื่อคนมามากหลว
ปู่ก็มีกำลังศรัทธาที่จะสร้างกุฏิศาลา
ภายใน ๒-๓ ปี
ทำให้วัดพระแท่นเต็มไปด้วยกุฏิและศาลาน้ำใหญ่น้อยเป็นจำนวนมากในปีหนึ่งๆ
จะมีพระภิกษุและสามเณรจำพรรษาอยู่ ๓๐-๕๐ รูป ตลอดที่หลวงปู่จำพรรษาอยู่
ความเป็นมาของการตั้งชื่อวัดและบ้านแดง
ที่ได้ชื่อว่า “วัดพระแท่น” นั้นก็เพราะอาศัยแท่นพระเก่าแต่ไม่มะระพุทธรูปอยู่หลวงปู่จึงตั้งชื่อว่า “วัดพระแท่น”ให้สมกับนามเดิมของแท่นพระเก่า
พอหลวงปู่มาสร้างวัดแล้วชาวบ้านไทก็ได้ย้ายบ้านเรือนทั้ง ๓๐
หลังคาเรือนมาอยู่บริเวณรอบๆวัด และได้ตั้งชื่อว่า “คุ้มใต้วัด” และ “คุ้มหัววัด” ชาวบ้านที่อยู่ต่างจังหวัดได้ยินชื่อเสียงของหลวงปู่จึงพากันอพยพมาอยู่มากยิ่งขึ้น
ทางทิศเหนือของวัดติดกับบ้านไท เดิมได้มีหนองน้ำแห่งหนึ่ง เรียกว่า “กุดบ้าน” แต่ก่อนหนองน้ำแห่งนี้เคยมีข้าศึก
และคู่อริกันได้มาต่อสู้กันด้วยหอกดาบ
พอเลิกต่อสู้กันแล้วต่างคนต่างก็ลงอาบน้ำล้างเลือดทำให้หนองน้ำแห่งนี้มีสีแดงเต็มไปด้วยเลือด
หลวงปู่จึงได้ตั้งชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านแดง” และที่มาของชื่อหมู่บ้านอีกอย่างหนึ่งก็คือ
ตอนที่หลวงปู่มาตั้งวัดครั้งแรกที่บริเวณแห่งนี้เต็มไปด้วย
ดอกไม้สีแดงและต้นไม้แดงขนาดใหญ่อยู่ในวัด จึงได้อาศัยตำนานหนองน้ำสีแดง
ดอกไม้แดงและป่าไม้แดง หลวงปู่จึงได้ตั้งชื่อบ้านแห่งนี้ว่า “ บ้านแดงใหญ่”
ความเป็นอยู่ของชาวบ้านแดงในสมัยนั้นอยู่กันอย่างมีความสุข
และก็อุดมสมบูรณ์ไปด้วยกุ้ง หอย ปู ปลา ไม่อดอยาก ไร่นาจับจองเอาไหนก็ได้
ต่อมาคนต่างหมู่บ้านและต่างจังหวัดก็หลั่งไหลกันเข้ามาอาศัยบารมีของหลวงปู่มากขึ้นทุกวัน
หลวงปู่จึงมีนโยบายแนวทางพัฒนาแผนใหม่จึงได้วางผังหมู่บ้านและสถานที่ที่จะตั้งอมืองในอนาคตข้างหน้า
จึงเริ่มตัดถนนหนทาง ถนนสายใหญ่ๆทั้งหมดก็มีอขู่ ๘ สาย
นอกจากนี้ได้ตัดถนนเป็นตรอกซอกซอยจำนวนมาก
เมื่อคนเข้าไปอยู่เต็มในแต่ละแปลงก็ตั้งเป็นคุ้มๆหลวงปู่บอกว่าไม่ให้มีการซื้อขายที่ดินให้แบ่งปันกันอยู่
ในแต่ละคุ้มต้องมีศาลาหนึ่งหลัง และมีหัวหน้าประจำคุ้มนั้นๆ
ที่ตรงไหนเป็นทุ่งไร่ทุ่งนาอยู่แล้ว
หลวงปู่ก็จะเอาไว้แต่ราคาขายต้องไม่เกิน ๖๐ บาท
และหลวงปู่ได้หมายขอบเขตของหมู่บ้านเอาไว้
โดยใช้ไม้แดงขนาดใหญ่ฝังเป็นจุดๆโดยรอบอาณาเขตที่บอกว่าจะเป็นเมือง
หลวงปู่ปักเขตไว้ว่าตรงไหนจะเป็นของหน่วยราชการใด เช่น
ตรงนี้จะเป็นโรงเรียนประถม โรงเรียนมัธยมที่ว่าการอำเภอ ไฟฟ้า อนามัย
โรงพยาบาล เป็นต้น เพื่อป้องกันไม่ให้มีปัญหาในภายหลัง
ข้อนี้บอกได้เลยว่าหลวงปู่เป็นคนมองการณ์ไกล อย่างแน่นอน
เมื่อคนอพยพเข้ามาอยู่มากขึ้นหลวงปู่จึงนำชาวบ้านสร้างศาลา
และกุฏิทางทิศตะวันออกของวัด
ในการสร้างนั้นตอนกลางคืนก็ให้พวกหนุ่มๆสาวๆที่มีกำลังแข็งแรงดี
ไปช่วยกัยลากไม้โดยใช้รถขิ่งล้อ(รถที่มีล้อสำหรับลากไม้ ทำขึ้นมาจากใ)
พอไปตัดไม้ได้ก็เอาขึ้นรถเที่ยวละ๓-๔ ท่อน ขนาดของไม้แต่ละท่อนยาวประมาณ
๘-๑๐ เมตร
ในการลากก็เอาริ้วหนังผูกกับรถแล้วช่วยกันลกาเสียงของรถไม้เสียดสีกันในตอนลากนั้นดังสนั่นวั่นไหวไปทั่วป่าแถบนั้น
และตอนที่ริ้วหนังที่ใช้ลากขาด
หนุ่มสาวที่ช่วยกันลากไม้ล้มทับกันระเนระนาด
ทำให้หนุ่มสาวได้รับความสนุกสนาน
ผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยได้ไม่น้อยทีเดียว
ทำอยู่อย่างนั้นเรื่อยมาทุกวันคืน
หากคืนไหนไม่ได้ไปลากไม้ชาวบ้านก็พากันออกไปตัดถนนตามถนนสายต่างๆ
และบางพวกก็ช่วยกันเลื่อยไม้ที่ขนมาแล้วจากการที่ชาวบ้านจากที่อื่นๆย้ายมาอยู่กันมากขึ้น
หลวงปู่จึงตั้งธนาคารข้าวเปลือก
และธนาคารโคกระบือเพื่อแจกจ่ายให้กับคนยากจน และมีผู้
หญิงบางกลุ่มมาขอบวชชี (นุ่งขาวห่มขาว) รับอาสาทำอาหารเลี้ยงคนงาน ผู้ที่มาบวงชีจึงมีเป็นร้อยๆ
หลวงปู่พิบูลย์ปราบจระเข้ที่กุดแห่ บ้านนานกหงส์
ในสมัยก่อนกุดแห่แห่งนี้เป็นห้วยน้ำที่มีฝูงจระเข้น้อยใหญ่อยู่มากมายอาศัยอยู่
ทำให้ชาวบ้านกลัวและไม่กล้าไปทำมาหากินในลำห้วยแห่งนี้
จึงพากันมากราบนมัสการให้หลวงปู่ทราบ
พอท่านได้ทราบเรื่องแล้ววันต่อมาได้ชักชวนพ่อออก(โยมผู้ชาย) ๓-๔ คน
ไปกุดแก่ด้วย พอไปถึงหลวงปู่จึงเอ่ยถามพ่อออกที่ไปด้วยว่า “โยมอยากจะเห็นเรือทองคำไหม? เป็นของพวกผีเขาแห่มาไว้นะ” พ่อออกก็บอกว่าอยากจะเห็น
หลวงปู่จึงเดินลงไปในน้ำลึกประมาณโคนขา
แล้วเอาแขนล้วงลงไปในน้ำดึงเนือทองคำขึ้นมา เรือลำดังกล่าวยาวประมาณ ๓ เมตร
หลวงปู่จึงเอ่ยถามโยมว่า “อยากได้ไหม” พ่อออกก็บอกว่าอยากได้ แต่หลวงปู่บอกว่า “เอาของๆเขาไม่ได้เพราะเจ้าของเขาหวง” เสร็จแล้วหลวงปู่จึงปล่อยเรือลงไปไว้เหมือนเดิม ด้วยเหตุนี้ห้วยน้ำแห่งนี้จึงได้มีชื่อว่า “ห้วยกุดแห่” ต่อจากนั้นหลวงปู่ก็มานั่งบนฝั่ง
ใช้มือล้วงเอาหินเสกที่อยู่ในย่ามหว่านลงไปในน้ำ
ทำให้ฝูงจระเข้และเต่าทั้งหลายลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ
แล้วหลวงปู่สั่งให้สัตว์เหล่านั้นมาตัวกันตรงหน้า
และหลวงปู่ก็แผ่เมตตาและให้ศีลแก่สัตว์เหล่านั้น
พร้อมให้หนีไปอยู่ที่อื่นห้ามไม่ให้มาทำร้ายมนุษย์อีกต่อไป หลังจากนั้น ๗
วันก็ไม่มีใครปรากฎเห็นจระเข้อยู่ในลำห้วยอีกเลย
แต่ต่อมามีชาวบ้านนานกหงส์และบ้านนาทรายหลายคนบอกว่าได้ยินเสียงร้องไห้แถวๆป่าแห่งนั้นในเวลากลางคืนและต่อมาอีกระยะหนึ่งก็มีคนพบซากของจระเข้
และซากเต่าอยู่ตามโคนตามป่าแห่งนั้น
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาห้วยกุดแห่จึงเป็นห้วยน้ำที่ทำมาหากินของชาวบ้านนานกหงส์
บ้านนาทราย บ้านแดง
บ้านหนองผักแว่นและหมู่บ้านใกล้เคียงสืบมาจึงถึงทุกวันนี้
หลวงปู่พิบูลย์ถูกจับ
เมื่อหลวงปู่พัฒนาวัด
และหมู่บ้านเป็นที่อาศัยของผู้เข้ามาอยู่เป็นอย่างดีแล้วจึงตั้งธนาคารข้าวเปลือก
ธนาคารโคกระบือ และบวชผู้หญิงนุ่งขาวห่มขาวถือศิล ๘ หรือที่เรียกว่า “แม่ชี” ในการที่หลวงปู่ได้พัฒนาหมู่บ้านทั้ง
๓ อย่างนี้ถือเป็นการดีและเป็นประโยชน์ต่อชาวบ้านเป็นอันมาก
แต่เมื่อทางราชการได้ยินเรื่องนี้ ก็ทำให้ทางราชการเข้าใจผิดคิดว่าเป็น “ผีบุญ” หรือเป็นการก่อกบฏนั่นเอง
เพราะได้ซ่อมสุมผู้คนไว้มาก
ดังนั้นทางพระอำเภอหนองหานและเจ้าคณะแขวงพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงมาจับกุมหลวงปู่
และทำทารุณกรรมต่างๆนานาแล้วส่งลงไปที่กรุงเทพฯเพื่อสอบสวน
เมื่อทางการลงความเห็นว่าผิดจริง
จึงส่งไปกักขังเพื่อรอการลงโทษอยู่ที่เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี
ต่อมาเจ้าหน้าที่จึงลงโทษหลวงปู่
โดยการที่เอาหลวงปู่ขังไว้ในกรงไม้แล้วเอาลงถ่วงน้ำ เมื่อผ่านไป ๗ วัน ๗
คืน เจ้าหน้าที่คิดว่าหลงปู่ท่านมรณภาพแน่นอนแล้วจึงดึงกรงนั้นขึ้นมา
ปรากฏว่าหลวงปู่ท่านยังไม่ตาย
อย่าว่าแต่ตายเลยแม้จีวรที่ท่านนุ่งห่มอยู่ก็ไม่เปียก จึงทำให้เจ้าหน้าที่
และผู้ที่เห็นเหตุการณ์ดังกล่าถึงกับตกตะลึงในปาฏิหารย์ของหลวงปู่
และเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในตัวหลวงปู่
หลังจากนั้นจึงนำตัวหลวงปู่มากักขังไว้เย่างคนธรรมดาทั่วไป กักขังอยู่ ๓ ปี
พอครบกำหนดข้าหลวงเมืองชลบุรีก็เข้าไปหาหลวงปู่และได้ไตร่ถามหลวงปู่ว่า“บ้านหลวงปู่อยู่ที่ไหน” หลวงปู่ตอบว่า “อยู่ที่อุดร อำเภอหนองหาน (ในสมัยนั้น)” ท่านข้าหลวงถามไปอีกว่า “อยากกลับบ้านหรือเปล่า” หลวงปู่ตอบว่า “อยากจะกลับ” และท่านข้าหลวงถามว่า “รถที่จะกลับนั้นถึงบ้านที่อุดรหรือไม่” หลวงปู่ตอบว่าไปไม่ถึง รถถึงแค่โคราช” ข้าหลวงจึงประกาศรับบริจาคเงินทอง
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางกลับบ้านของหลวงปู่
และข้าหลวงได้ทำหนังสือส่งตัวหลวงปู่ถึงนายอำเภอเมืองโคราช
เมื่อหลวงปู่เดินทางถึงโคราชแล้วนายอำเภอจึงประกาศหาคนที่อยู่อุดร
หลังจากนั้นมีพ่อค้าเกวียนชื่อว่า “นายเบี้ยว” บอกว่ามาจากหนองหานได้นำเกวียนมาค้าขายกับพวกจำนวน ๒๐ คน นายอำเภอเมืองโคราชจึงบอกกับนายเบี้ยวว่า “ให้นำหลวงปู่กลับไปบ้านแดงด้วยจะมีรางวัลให้ และในระหว่างเดินทางให้ถวายอาหารเช้าและเพลหลวงปู่ด้วยอย่างให้ขาดตกบกพร่อง”นายเบี้ยวเมื่อได้ยยินดังนั้นจึงนำหลวงปู่ไปขึ้นเกวียนพร้อมกับอัฐบริขารของท่าน
เมื่อเดินทางมาถึงหนองหานนายเบี้ยวได้ส่งข่าวให้ชาวบ้าน น้านนายม
บ้านดงยาง และบ้านแดงทราบ
ชาวบ้านดังกล่าวเมื่อได้ทราบข่าวต่างก็มีความปิติยินดีเป็นอย่างมาก
นายเบี้ยวได้นำส่งหลวงปู่มาจนถึงบ้านโพธิ์ และได้เดินทางกลับ
ชาวบ้านแดงก็ได้แตกตื่นออกไปรับกันหมดแล้วพากันแห่หลวงปู่เข้าสู่บ้านแดง
เป็นที่ชื่นชมยินดีของชาวบ้านแดงเป็นอย่างมาก
เมื่อเหตุการณ์ปกติแล้วหลวงปู่ก็พาชาวบ้านสร้าง และพัฒนาหมู่บ้านต่อไป
เมื่อผู้คนเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในตัวหลวงปู่มากขึ้นไปอีก
และหลั่งไหลกันเข้ามาหาหลวงปู่ มีทั้งพระทั้งโยมที่มาพึ่งใบบุญ
หลวงปู่ได้นำพาชาวบ้านพัฒนาทำถนนหนทางในหมู่บ้านจนเสร็จ
มีผู้มาขอบวชชีและแสดงตนเป็นศิษย์ก็มาก
จนเป็นข่าวลือถึงหูพวกเจ้านายอีกทั้งพระสงฆ์ผู้ใหญ่
และเจ้านายอำเภอก็พากันมาจับหลวงปู่ไปเป็นครั้งที่สอง
แต่ครั้งนี้ปลวงปู่ไม่ยอมไป เขาจึงจับหลวงปู่ฉุดกระชากลากถูดึงลงจากกุฏิ
ศีรษะของหลวงปู่ฟาดกับขั้นบันได
และเขาลากหลวงปู่ถูไถกับพื้นดินไปจนถึงห้าแยกแล้วก็จับโยนทิ้งใส่เกวียน
แล้วเอาวัวมาเทียมเกวียนแต่วัวไม่ยอมข้า
เขาก็ทำดุจจะฆ่าจะแกงมันสุดท้ายวัวก็หลุดวิ่งหนีไป
ดังนั้นพวกที่มาจับหลวงปู่ต้องได้ลากเกวียนไปเอง
ในตอนที่เขามาจับหลวงปู่นั้นชาวบ้านก็พากันร้องห่มร้องไห้เต็มไปหมด
ช่วยอะไรก็ไม่ได้เพราะผู้ใหญ่บ้านห้ามไว้
เขามาจับกุมตอนกลางวันกว่าจะถึงอุดรก็สว่างพอดี
แล้วพวกที่มาจับกุมก็ได้นำหลวงปู่ไปไว้วัดโพธิสมภรณ์
เจ้าอาวาสให้พักอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของวัด
ในช่วงที่อยู่ที่วัดโพธิสมภรณ์นั้นหลวงปู่ถูกทรมานทำร้ายร่างกายอยู่หลายครั้งหลายหน
จนถึงขั้นห้ามไม่ให้ออกบิณฑบาตเพราะเห็นว่าหลวงปู่ออกบิณฑบาตแล้วได้ข้าวได้อาหารเยอะ
เมื่อผู้คนแถวนั้นไม่เห็นหลวงปู่ออกบิณฑบาตก็หลั่งไหลเข้าไปหาหลวงปู่
พอเหตุการณ์ร้ายๆสงบลง หลวงปู่ก็เริ่มพาผู้คนพัฒนาวัดโพธิสมภรณ์
ถากถางป่าและนำเงินที่ได้จากการบริจาคมาซื้อที่ดินเพิ่มเติม
ทำให้บริเวณที่หลวงปู่อยู่กว้างขวางขึ้น
และได้สั่งให้พ่อออกไปหาซื้อบ้านเก่าๆเพื่อนำไม้ไปปลูกสร้างกุฏิ
รวมแล้วได้กุฏิทั้งสิ้น ๕๕
หลังและสร้างศาลาไว้เป็นที่ต้อนรับญาติโยมที่ไปมาหสู่อยู่ไม่ขาดสาย
และสร้างเล้า (ยุ้งฉาง) ใส่ข้าวขนาดใหญ่อีกหนึ่งหลัง
ให้พ่อออกนำเกวียนออกไปหาซื้อข้าวมาใส่ไว้ให้เต็ม
เอาไว้รองรับผู้เข้าไปรักษาตัวจำพวกผีเข้าเจ้าทรง รักษาปอบ รักษาผี
พวกนี้มีมากเหลือเกิน และพวกไปหาเครื่องลางของขลัง
ผูกแขนและรดน้ำมนต์เหล่านี้เป็นต้น หลวงปู่ได้ตั้งธนาคารโคกระบือ
ขึ้นอีกไว้บริจาคให้กับผู้ตกทุกข์ได้ยากไม่มีควายทำไร่ทำนา
ในช่วงระยะเวลาที่หลวงปู่พัฒนาอยู่ที่วัดโพธิสมภรณ์นี้
ก็หาได้ลืมชาวบ้านแดงไม่
ขณะที่ชาวบ้านแดงเข้าไปนมัสการหลวงปู่ๆก็จะสั่งชาวบ้านขุดลอกห้วย หนอง คลอง
บึง
สร้างโบสถ์สร้างวิหารต่างๆหากชาวบ้านขาดเหลือเงินทองท่านก็ให้ชาวบ้านแดง
ใครไม่มีควายทำนาก็ไปขอจากหลวงปู่ท่านก็ให้
ในช่วงที่หลวงปู่พิบูลย์ไม่อยู่บ้านแดงนี้
ก็ได้หลวงปู่โชติเป็นผู้บริหารงานแทนท่านอยู่ที่วัดพระแท่น
ทำให้การพัฒนาวัดและหมู่บ้านไม่มีการหยุดยั้ง
ที่ดินบางส่วนที่เป็นที่ตั้งโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานีในปัจจุบันหลวงปู่ก็ได้ยกให้เป็นสมบัติของทางราช
ช่วงระยะเวลาที่หลวงปู่อยู่ที่วัดโพธิสมภรณ์นั้นเกิดสงครามอินดีนขึ้น
พวกฝรั่งเศสก็มาทิ้งระเบิดที่หนองนาเกลือในแต่ละวันระเบิดจะถูกทิ้งลงตรงไหนหลวงปู่รู้หมด
และจะไปขีดเป็นวงกลมไว้เมื่อระเบิดตกลงมาปรากฏว่า
ลูกระเบิดไม่ระเบิดแม้แต่ลูกเดียวจากเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ทำให้มีผู้สนใจเครื่องลางของขลังจากหลวงปู่เยอะมาก
หลวงปู่พัฒนาบ้านแดง
ครั้งหนึ่งหลวงปู่ได้พาพระเณร
และญาติโยมไปตัดไม้แคนใหญ่(ไม้ตะเคียน)อยู่ที่วังใหญ่ฝั่งห้วยหลวง
ตอนนั้นนำขึ้นมาเสมอฝั่งพอดี
ไม้แคนใหญ่ต้นนั้นล้มลงกลางห้วยหลวงจึงไม่มีใครสามารถลงไปตัดได้หลวงปู่จึงลงไปตัดเพียงผู้เดียว
หลวงปู่ลงไปตัดไม้ตั้งแต่ช่วงเวลา ๘ โมงเช้าถึง ๑๑ โมงเช้าตัดไม้ได้จำนวน ๓
ท่อนๆหนึ่งยาว ๖ เมตรเสร็จแล้วค่อยขึ้นมาจากน้ำทีเดียวเลย
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของไม้แคนประมาณ /๑.๕๐ เมตร
หลวงปู่พิบูลย์บอกว่า วัดพระแท่นนี้เคยเป็นวัดเก่าของท่าน
เพราะช่วงระยะสร้างอยู่นั้นหลวงปู่ท่านได้ชี้บอกว่าตรงนี้เป็นเสาวัดเก่า
พอชาวบ้านขุดดูก็เห็นเสาไม้เก่าที่ขาดอยู่ในดินตรงจุดนั้น
ตลอดจนบ่อน้ำที่เคยมีอยู่ในวัดเก่า
พอขุดตรงบ่อน้ำที่เคยเจาะไว้จึงไม่ได้บ่อน้ำอีก
หลวงปู่บอกว่าวัดนี้เป็นวัดมาตั้งแต่สมัยของพระเจ้ากัสสปะ
หลวงปู่ได้มาสร้างไว้เมื่อหลายชาติแล้ว
อภินิหารของหลวงปู่พิบูลย์
เมื่อถึงฤดูฝนของแต่ละปี หลวงปู่จะบอกล่วงหน้าว่าปีนี้ฟ้าจะผ่าลงวันไหน
ที่ไหน และฝ้าจะผ่าต้นไม้อะไร หลวงปู่ก็จะไปกากบาททำเป็นเครื่องหมายไว้
เพื่อไม่ให้คนเข้าไปใกล้และก็เป็นตามที่หลวงปู่บอกทุกครั้งไป
เมื่อคนที่จะมาหาหลวงปู่ตั้งใจไว้ว่าเมื่อไปถึงหลวงปู่แล้วจะพูดเรื่องอะไรยังไง
พอมาถึงหลวงปู่ท่านก็ทักทันทีว่าคิดไว้นั้นคิดดีแล้วหรือ
เช่นว่าจะมาหาท่านตั้งแต่เมื่อวานนี้ แต่มาไม่ได้เพราะติดธุระ
พอมาถึงหลวงปู่ท่านก็ถามทันทีว่าที่ว่าติดธุระอะไรหรือเมื่อวานถึงไม่ได้มาอย่างนี้เป็นต้น
และพวกที่ว่าวิชาอาคมอยู่ยงคงกระพันนั้น
เมื่อได้กินน้ำมนต์หลวงปู่แล้ววิชาเหล่านั้นก็จะจืดจางไปหมด
วันหนึ่งญาติโยมไปคอยรับบาตรหลวงปู่
เมื่อท่านจะออกบิณฑบาตตามปกติขณะที่นั่งรออยู่นั้นก็ไม่เห็นหลวงปู่ออกมาจากกุฏิสักที
คอยอยู่เป็นชั่วโมงแล้วค่อยเห็นหลวงปู่ออกมาจากกุฏิ
พร้อมกับอุ้มบตรที่เต็มแล้วเหมือนกับท่านออกบิณฑบาตตามปกติโยมที่นั่งคอยอยู่ก็เข้าไปรับบาตร
แต่เมื่อโยมเห็นอาหารที่อยู่ในบาตรท่านนั้น
มันไม่ใช่อาหารที่มีตามบ้านนอกเราสักอย่างแต่มันเป็นอาหารจากตลาดในเมือง
อาหารพวกนี้ไม่สามารถที่จะมีกิน หรือจะใส่บาตรสำหรับชาวบ้านแดงในสมัยนั้น
ทำให้โยมผู้ที่นั่งรอรับบาตร และผู้ที่พบเห็นเกิดอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง
จึงได้ถามหลวงปู่ท่านก็บอกว่า “ไปบิณฑบาตมา” แต่ไปบิณฑบาตที่ไหนท่านไม่ได้บอก
ในบางวันหลวงปู่เข้าไปในฐาน(ห้องน้ำ)
ญาติโยมที่ไปหาท่านก็เห็นว่าท่านเดินเข้าไปอยู่ในฐานนั้นกันทุกคน
แต่ท่านเข้าไปนานเกินไป คือประมาณ ๒ ชั่วโมง พ่อจารย์สุด บุญพา
ในขณะนั้นบวชอยู่กับท่าน
เมื่อเห็นท่านเข้าฐานนานเกินไปกลัวว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นกับท่านจึงตัดสินใจเดินเข้าไปเปิดฐานดู
พ่อจารย์สุดก็ต้องแปลกใจมากเพราะในฐานไม่มีหลวงปู่อยู่เลย
ทำให้ทุกคนก็งงไปตามๆกัน อาจารย์สุด และทุกคนก็นั่งรอคอยท่านต่อไป
สักครู่ผ่านไปก็เห็นท่านเปิดประตูฐานนั้นออกมาก็ยิ่งมำให้ญาติโยมที่มานั่งคอยถึงกับแปลกใจ
และงงกันหนักกว่าเดิม
ในช่วงที่หลวงปู่อยู่ที่วัดโพธิสมภรณ์ตามปกติแล้ว ชาวบ้านแดง
ทั้งพระทั้งโยมก็เที่ยวไปหาหลวงปู่อยู่ตลอด
มีอยู่ครั้งหนึ่งพ่อออกบ้านแดงได้ย่างปลาแล้วบรรจุใส่ห่อเกลือเพื่อจะเอาไปถวายหลวงปู่
เดินทางไปด้วยกัน ๓-๔ คน พอเดินทางไปถึงเนินบ้านสามพร้าวก็เห็นแลน (ตะกวด)
วิ่งเข้าไปในโพรงไม้ จึงได้ช่วยกันเอาไม้และกิ่งไม้อุดโพรงนั้นไว้แน่น
และตกลงกันว่าขากลับจึงจะมาเอาแล้วก็ไม่ให้บอกใครด้วย
พอไปถึงก็เข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่พร้อมกับถวายปลาย่างและของอื่นๆ
ที่นำไปให้ท่าน
ขณะนั้นท่านก็ไม่ได้พูดอะไรมากมายกับโยมที่ไปหาแต่ให้พักที่วัดนั้นคืนหนึ่ง
พอรุ่งเช้าก็เข้าไปลาท่านเพื่อจะเดินทางกลับแต่เช้า
หลวงปู่จึงได้พูดขึ้นว่าแลนใหญ่ที่อุดไว้นั้นโยมปล่อยมันซะ ทำให้โยมทั้ง ๔
งงไปตามๆกัน เพราะท่านรู้ได้อย่างไร เมื่อหายจากอาการงงทุคนก็พนมมือขึ้น
และรับปากกับหลวงปู่อย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ครับหลวงปู่”
อีกเรื่องหนึ่ง
เรื่องนี้ผู้เขียนได้ยินมาด้วยตนเองจากหลวงพ่อพระครูญาณวิสุทธิคุณเจ้าคณะอำเภอหนองหานรูปปัจจุบัน
ท่านเล่าให้ฟังว่าสมัยที่โยมพ่อของท่านได้มาบวชเป็นสามเณรอยู่กับหลวงปู่พิบูลย์
วันหนึ่งท่านได้พาไปบ้านดงปอ
แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงฤดูน้ำหลากทำให้น้ำท่วมถนนหนทางที่จะไปบ้านดงปอ
เพราะทั้งสองหมู่บ้านนี้อยู่คนละฟากน้ำ
หลวงปู่และสามเณรจะข้ามไปบ้านดงปอแต่ไม่มีเรือ และตอนนั้นก็ใกล้จะค่ำแล้ว
หลวงปู่จึงบอกสามเณรว่าให้เณรคอยอยู่ทางนี้หลวงปู่จะไปก่อน
และหาเรือฝั่งโน้นมารับ
เณรก็มองดูหลวงปู่เดินลงไปในน้ำเห็นท่านเดินไปน้ำลึกถึงหัวเข่า
เณรน้อยก็มองตามท่านไปเรื่อยๆแม้ท่านจะเดินไปไกลสุดสายตาก็เห็นน้ำลึกถึงแค่หัวเข่าของท่านตลอด
ทั้งๆที่เส้นทางที่ท่านเดินข้ามนั้นมีลำน้ำห้วยหลวงอยู่ น้ำลึกประมาณ ๒-๓
เมตร จึงทำให้สามเณรนั้นงงกับสายตาตนเอง ได้แต่นั่งคอยอยู่ตรงนั้น
ไม่นานเห็นโยมพายเรือมารับ พร้อมบอกกับเณรว่า “หลวงปู่คอยอยู่ฝั่งโน้นแล้ว” พอเณรไปถึงไปถึงก็เห็นท่านนั่งเคี้ยวหมากอยู่มองดูผ้าจีวรก็ไม่เปียก
ยิ่งทำให้เณรรูปนั้นงงหนักขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ไม่ได้ซักไซร้อะไรท่าน
มีอยู่วันหนึ่งหลวงปู่ได้ให้พระเณรไปตัดไม้ที่ดงใหญ่วังใหญ่
ทุกคนก็พากันนอนค้างอยู่บริเวณที่ตัดไม้กันหมด
พอรุ่งเช้าหลวงปู่ก็ออกบิณฑบาตเสร็จเรียบร้อย
ส่วนญาติโยมก็จัดแต่อาหารเตรียมไว้ให้ผู้ไปตัดไม้
หลวงปู่บอกกับญาติโยมที่เตรียมอาหารว่าข้าวไม่ต้องเอาไปก็ได้
เพราะกินอยู่ในบาตรของหลวงปู่ก็ไม่หมด
แม่ออก(โยมผู้หญิง)ก็บอกหลวงปู่ว่าพระเณรตั้ง ๕๐ รูป
จะกินอิ่มได้อย่างไรกัน หลวงปู่จึงบอกย้ำว่า ๕๐รูปก็กินไม่หมด
วันนั้นก็เลยไม่ได้นึ่งเอาข้าวไป พอไปถึงแม่ออกก็จัดอาหารใส่พาข้าว (ถาด)
หลวงปู่บอกให้พ่อออกเอาพาข้าวมาใส่เอาข้าว
หลวงปู่ก็ล้วงเอาข้าวออกจากบาตรเอาออกเท่าไหร่ก็ไม่หมด จนครบพระเณรทั้ง ๕๐
รูป ข้าวในบาตรหลวงปู่ก็ยังไม่หมด
เมื่อพระเณรฉันเสร็จแล้วโยมก็กินต่อข้าวก็ยังไม่หมดทั้งๆที่ขนาดบาตรของหลวงปู่นั้นเป็นบาตรขนาดกลาง
ตามปกติแล้วกินกันแต่ ๕-๖ คนก็หมดแล้ว
พ่อประภาส
บุญไชย จากในเมืองอุดรบอกว่า
พ่อเล่าเรื่องของหลวงปู่พิบูลย์ให้ฟังดังนี้หลวงปู่เห็นพระที่ศักดิ์สิทธิ์มีคุณธรรมสูงหาได้ยากในสมัยนั้น
ท่านเป็นผู้มองการณ์ไกลด้วยญาณของท่าน
ท่านสอนให้ชาวบ้านรักษาศีลธรรมเป็นผู้ซื่อสัตย์สุจริตให้ละเลิกอบายมุขไม่ให้ดื่มสุรายาเมา
เล่นการพนัน
ให้ทุกคนฝักใฝ่ในศีลธรรมนับตั้งแต่นั้นมาชาวบ้านแดงก็อยู่เย็นเป็นสุขไม่เคยเกิดโรคภัยไข้เจ็บ
เป็นเพราะบุญบารมีของหลวงปู่โดยแท้
นอกจากนั้นท่านยังเป็นผู้ถือธรรมปัญญาบารมี ๓๐ ทัศ
และสั่งสอนอบรมชาวบ้านให้ถือธรรมปัญญาบารมี
ให้ทุกคนสวดทุกเช้า-เย็นถือพระรัตนตรัยแก้ว ๓ ดวง คือ พระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ ให้ทุกบ้านเรือนทำหิ้งพระ(พากระหย่อง)
เอาไว้กราบไหว้บูชาทุกบ้านเรือน บ้านหลักใดมีหอปู่ตา หอผีสาง
ให้รื้อทิ้งให้ถือธรรมะอย่างเดียว
บ้านไหนหลังไหนมีผีให้เอาดินเอาหินที่หลวงปู่เสกไปหว่านขับไล่ผีจะหนีหมด
จนมีคนเล่าขานถึงดินหินที่หลวงปู่ได้เสกว่า
สามารถขับไล่จระเข้ที่มีอบู่ในหนองน้ำให้หนีหมด
ดังเช่นที่หลวงปู่ได้ไปปราบจระเข้ที่กุดแห่ คำหมากแห้งที่หลวงปู่เคี้ยว
ใตรที่ได้มีติดตัวก็จะเป็นมงคลยิ่ง สามารถป้องกันภูตผีปีศาจ
และสัตว์ร้ายได้แม้แต่ติดเข้าป่ายุงก็ยังไม่กัด
จำตำนานเล่าเรื่องชาวบ้านและพระเณรที่พากันเข้าป่าไปตัดไม้ที่ดงไร่และดงใหญ่เพื่อมาก่อสร้างวัด
ซึ่งมียุงชุกชุมและเป็นถิ่นไข้มาลาเรียแต่ก็ไม่มีใครเจ็บไข้ได้ป่วยเลย
เป็นเพราะมีคำหมากแห้งติดตัวกันทุกคน
คำทำนายของหลวงปู่ขณะอยู่ในวัดโพธิสมภรณ์ใครมีเรื่องเดือดร้อนทุกข์ใจอันใดก็จะเล่าให้หลวงปู่ฟังและขอให้คำแนะนำช่วยเหลือ
เช่น ปลัดสุรพล คำศรีระภาพ (น้องของคุณพ่อของพ่อประภาส บุญไชย)
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ ได้เป็นปลัดตำบลบ้านเชียงพาชาวบ้านตัดถนนหนทางหลายสาย
มีอยู่สายหนึ่งขณะทำการก่อสร้างงถนน
ได้ไปตัดต้นพลูของชาวบ้านจนมีการร้องทุกข์ และจะฟ้องร้องถึงอัยการ
ปลัดสุรพลและพ่อจึงไปพลหลวงปู่เล่าให้ฟังว่าตัวเองกลุ้มใจเดือดร้อนมากเกรงว่าเรื่องจะถึงอัยการมีการฟ้องร้องตน
หลวงปู่สอบถามว่าเป็นลูกใคร และก็ดูลายมือและบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องกลุ้มใจเรื่องใกล้จะเสร็จแล้ว” หลังจากนั้นประมาณเดือนเศษอัยการก็มีคำสั่งไม่ฟ้องและเรื่องก็ยุติลง
หลวงปู่ลอยผู้เลื่อมใสศรัทธาหลวงปู่พิบูลย์
ซึ่งหลวงปู่ลอยเคยเป็นผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งอยู่แถววัดโพธิสมภรณ์
วันหนึ่งควายที่เลี้ยงอยู่ ๕-๖ ตัวหายไปหาอย่างไรก็ไม่พบจนหมดปัญญาจะหาต่อ
จึงไปให้หลวงปู่ทำนายให้ว่าตนเองจะได้ควายกลับคืนมาหรือไม่
หลวงปู่จึงบอกกับผู้ใหญ่บ้านลอยว่า “มันไม่ได้หายไปไหน เวลาประมาณบ่ายโมงให้ไปรอที่บ่อน้ำทันจะมากินน้ำที่นั่น” และก็เป็นจริงตามที่หลวงปู่ทำนายไว้
สร้างความดีใจ และเลื่อมใสแก่ผู้ใหญ่ลอยมาก ภายหลังผู้ใหญ่ลอยกลับมา
บวชพระอยู่วัดโพธิสมภรณ์ ได้ศึกษาประวัติหลวงปู่และบัญทึกไว้ที่กุฏิจำลอง
บอกประวัติหลวงปู่
และสร้างรูปเหมือนหลวงปู่คล้ายกับก่อสร้างที่วัดพระแท่นตั้งอยู่ส่วนหลังของวัดโพธิสมภรณ์
ส่วนหลวงปู่ลอยผู้มีจิตศรัทธา
และเลื่อมใสหลวงปู่ได้ตั้งมั่นที่จะอยู่กับหลวงปู่ตลอดไป
จึงได้สร้างสถูปไว้เก็บอัฐิของหลวงปู่พิบูลย์ และรูปเมือนของหลวงปู่พิบูลย์
ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้
เมื่อหลวงปู่พิบูลย์มรณภาพแล้วศหลวงปู่พิบูลย์เก็บไว้ในสถูปเจดีย์
ตรงที่หลวงปู่ลอยได้หล่อรูปเหมือนประดิษฐานไว้ที่หลังวัดโพธิสมภรณ์ในปัจจุบันนี้
ต่อไปนี้
เป็นคำทำนายล่วงหน้าของหลวงปู่พิบูลย์
เพื่อให้เป็นแนวคิดแกอนุชนคนรุ่นหลัง
มีหลายเรื่องที่บอกไว้แต่ผู้เขียนไม่สามารถจำได้หมด มีคำต่างๆดังนี้
ต่อไปในภายภาคหน้า“ม้าจะมีเขา” ในปัจจุบันก็คือจำพวกรถจักรยานยนต์ “เสาจะออกดอก” ปัจจุบันคือเสาไฟฟ้า“แม่มาร(ผู้ตั้งครรภ์)ออกลูกไม่มีบ้านเรือน” ปัจจุบันต้องไปออกลูกที่โรงพยาบาล “จะไม่มีรอยเท้าของคนเดินดิน” ปัจจุบันคือคนจะไปไหนมาไหนต้องสวมรองเท้าขึ้นรถ “หญิงอายุมึ่ง ๑๕ จะผัวมีลูก” ข้อนี้ใจความปัจจุบันก็คือแต่งงานกันตั้งแต่อายุ ๑๒-๑๓-๑๔ ปี ดังที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน “หญิงออกจากบ้านมารท้องกรองน้ำตา” ปัจจุบันคือผู้หญิงไปได้เสียกับผู้ชายพอได้แล้วผู้ชายไม่รับผิดชอบจึงต้องอุ้มท้องร้องไห้กลับมาหาพ่อแม่ “ต่อไปต้นกัลปพฤกษ์จะเกิดขึ้นกลางบ้าน กลางเมือง” ปัจจุบันก็คือตลาดสด ตลาดนัดเคลื่อนที่มาลงตามหมู่บ้านทุกครึ่งเดือน “ต่อไปหญิงชายจะเหมือนกัน เมื่อมองดูแล้วจะไม่รู้ว่าหญิงหรือชายเมือนฝูงนกเขาไม่รู้ว่าตัวผู้ตัวเมีย” ปัจจุบันก็คือหญิงชายแต่งกายเหมือนกัน ไว้ผมสั้นผมยาวเหมือนกันหมด “แคนดวงเดียวหมอลำพอฮ้อย(ร้อยคน) นุ่งผ้าส่อย (ผ้าที่ถูกตัดทำเป็นริ้ว) ผ่าบ้านผ่าเมือง” ปัจจุบันคณะหมอลำใช้แคนอันเดียวแต่คนเป็นร้อย
เช่น คณะหมอลำเรื่อง หมอลำซิ่ง
และผู้คนจะใส่เสื้อผ้าแหวกหลังนุ่งน้อยห่มน้อย
โชว์เนื้อโชว์ตัวสนามพิบูลย์รังสรรค์ที่หลวงปู่ได้ทำไว้นี้หลวงปู่บอกว่าเอาไว้ดูควายงาม
วัวงาม หมายถึงเอาไว้เป็นสถานที่จัดงานรื่นเริงต่างๆเช่น หมอลำ
งานประจำปี “ทางสิบคืนชาว(ยี่สิบ) คืนหย่อ (ย่อ) เป็นคราวมื้อ สิบแม่น้ำซาว แม่น้ำหย่อ เป็นแผ่นดินเดียวแขนสั้นยาวคาวตาลึก” อธิบายได้ว่าจะหย่นระยะการเดินทาง
เช่น ไปกรุงเทพฯ
แต่เมื่อก่อนเดินเท้าใช้เวลาเป็นแรมเดือนแต่ปัจจุบันไปเช้าเย็นกลับก็ได้
คำว่าแขนสั้นยาวคาวตาลึก ได้แก่การสั่งของทางโทรศัพท์ ส่วนคาวตาลึก
ได้แก่การดูข่าวสารทั่วโลกทางโทรทัศน์
ส่วนสิบแม่น้ำซาวแม่น้ำหน่อเป็นแผ่นดินเดียว คือ
การสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเชื่อมต่อกันระหว่างหมู่บ้านกับหมู่บ้าน
อำเภอกับอำเภอ จังหวัดกับจังหวัดจนถึงประเทศกับประเทศ
หลวงปู่ยังทายต่อไปอีกว่า
ถ้าบ้านเมืองไม่มีถนนหนทางเหมือนตาจีวรของพระภิกษุตราบนั้นบ้านเมืองยังไม่เจริญเต็มที่
ถ้าสร้างถนนหนทางเหมือนตาจีวรหรือดุจคันนาตามทุ่งนาเมื่อนั้นจึงจะเจิญเต็มที่ “เจ้าผู้เที่ยวทางเวิ้งเหิง(อ้อมไป)ไปมันสิค่ำ มัวแต่เก็บหมากหว้ามันสิซ่า (ช้า) ค่ำทาง” อธิบายได้ว่าการกิจการงานหน้าที่ต่างๆไม่อยู่ในกรอบศิลธรรม
ทำในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ไม่พอจะเป็นบุญหน้า ในยามหนุ่มสาวมัวเมาในลาภ ยศ
สรรเสริญ ยามแก่เฒ่าเข้าวัดไม่ทันได้ทำบุญกุศลก็ตายก่อน อีกบทหนึ่งว่า “เจ้าผู้ควายบักเลเฒ่านอนซำบ่อฮู้ค่ำ บัดตะเวน(ตะวัน) คำต้อยตัวเจ้าซิอ่าวหา” บทนี้อธิบายว่าคนเกิดมาในเมื่อถึงวัยเป็นหนุ่มเป็นสาวหลงมัวเมาสนุกสนานรื่นเริง
ลุ่มหลงอยู่กับรูป รส แสง สี ลืมวันเดือนปี ไม่ได้บำเพ็ญกุศลคุณงามความดี
พออายุแก่เฒ่ามาแล้วจะไปบำเพ็ญประโยชน์ก็ไม่ทันให้นั่งคิดคอยความตายเพียงอย่างเดียว
“เจ้าผู้ใช้หลังหล่าบ่หมานปลาน่ำเพิ่น(คนไปหาปลามาท้ายเพื่อนแต่ไม่ได้ปลาเหมือนเพื่อน)ยามฝนถืก(ถูก) แต่น้ำ ยามแล้งถืกแต่ลม” บทนี้อธิบายว่าเมื่อเกิดขึ้นมาเป็นคนไม่ได้บำเพ็ญกุศลคุณงามความดี
อันเป็นที่พึ่งของตนเองในภายหน้า
เมื่อเขาจัดงานบุญงานกุศลมัวเที่ยวเล่นสนุกสนานอย่างเดียวไม่หาบุญหากุศลใส่ตนเอง
อันนี้ท่านบอกไว้ว่าเป็น“โมฆะบุรุษ” หมายถึงผู้ว่างเปล่าจากประโยชน์เกิดขึ้นมาเสียชาติเกิด
อีกประการหนึ่งหลวงปู่ท่านได้แนะนำชาวบ้านญาติโดยมว่าบุคคลใดได้บวชลูกบวชหลานเข้ามาในพุทธศาสนาบุคคลนั้นย่อมได้ชื่อว่าเป็นเครือญาติกับพระพุทธเจ้าถ้าใครไม่ได้บวชลูกบวชหลานเข้ามาไว้ในพุทธศานาย่อมไม่ได้เป็นเครือญาติกับพระพุทธเจ้า
บทอีกต่อไปว่าให้ญาติโยมทั้งหลายดูรอยมือรอยและจดจำรอยมือรอยเท้าของหลวงปู่ไว้ให้ดี
ญาติโยมบางคนก็ขอดูรอยมือรอยเท้าของท่าน
บางคนก็เห็นว่าเป็นดอกจันทร์หรืรูปจักรและมีรอยแดงๆฝังอยู่ หลวงปู่บอกว่า
ถ้าจำอย่างนี้เมื่อนานไปคงจะไม่เห็นให้จำลงไปลึกซึ้งกว่านี้อีก
ที่จริงรอยมือของท่านก็คือสถานที่ที่ท่านสร้างและพัฒนาไว้ เช่น กุฏิ วิหาร
ห้วยหนองคลองบึง
คำว่ารอยเท้าก็คือถนนหนทางที่หลวงปู่พาชาวบ้านตัดไว้ให้ช่วยกันดูแลรักษาให้ยั่งยืนสืบถึงลูกถึงหลาน
กับอีกคำหนึ่งว่า “ต่อไปผ้าเหลืองแต่งครองบ้านครองเมืองเด้อ” อันนี้เป็นคำพูดของหลวงปู่อย่างหนึ่งที่เคยพูดกับพระภิกษุและญาติโยมอยู่เสมอ
ข้อนี้คงจะหมายความว่าพระสงฆ์จะเป็นผู้นำในการพัฒนาหมู่บ้านและวัด
เป็น้ว่าแบบแปลนแผนผังทุกอย่างในการพัฒนาไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ต้องมีพระนำหน้า
พึงให้เห็นว่าชีวิตคนเราเกี่ยวเนื่องกับพระสงฆ์ตั้งแต่แรกเกิดกระทั่งตาย
พระสงฆ์แป็นเพื่อนคู่คิดมิตรคู่บ้าน
จะตั้งบ้านตั้งเมืองที่ไหนก็ต้องมีพระสงฆ์เป็นที่พึ่งทางใจมาตลอด
พระสงฆ์จะเปรียบหระหนึ่งเป็นครูเป็นอาจารย์
แต่ก่อนบ้านเมืองไม่เจริญยังเป็นบ้านป่าบ้านดงอยู่ แพทย์
หมออนามัยเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยก็วิ่งเข้าหาพระ โรงเรียนก็อยู่วั ด
พระเป็นทั้งผู้สอนผู้ให้ที่พักที่อาศัย ป่วยทางกายก็เข้าวัด
ป่วยทางใจก็เข้าวัด พระสงฆ์ก็หายาให้กิน รดน้ำมนต์ผูกแขนให้เป่าให้
แตกร้าวสามัคคีกันพระก็เป็นผู้ช่วยประสานสามัคคีกัน
เมื่อ้านเมืองเดือดร้อนพระสงฆ์ก็ก็ช่วยขับไล่ภูตผีปีศาจ
ทำให้หมู่บ้านอยู่เย็นเป็นสุขทุกยุคทุกสมัยมาจนถึงปัจจุบันดังที่หลวงปู่ได้นำพาชาวบ้านแดงตั้งบ้านสร้างบ้านแดงมา
อีกเรื่อง
พ่อจารย์คำตัน บุญพา เคยได้บวชร่วมกับหลวงปู่พิบูลย์
ได้เล่าให้ฟังว่าสมัยหลวงปู่พิบูลย์อยู่ที่วัดโพธิสมภรณ์ ฝายห้วยยางมันขาด
ชำรุดอุดอย่างไรก็ไม่อยู่
จึงได้ปรึกษากับหลวงปู่ๆจึงแนะนำว่าให้เริ่มทำตั้งแต่ตอสะแบงถึงก่อไผ่โจด
(กอไผ่ชนิดหนึ่ง) อยู่ ทั้งที่หลวงปู่ไม่ได้เห็น
แต่สามรถบอกได้ว่าให้กั้นเสริมจาก
จุดนั้นให้ถึงจุดนั้นได้พอชาวบ้านได้ทำตามคำแนะนำของหลวงปู่แล้ว
ฝายกั้นน้ำห้วยยางก็ใช้กักเก็บน้ำได้
และไม่มีการชำรุดอีกเป็นที่สาธารณะประโยชน์ของหมู่บ้านแดงมาจนถึงทุกวันนี้
สิ่งใดชาวบ้านสงสัยก็ได้ไปปรึกษากับท่าน
หลวงปู่จะให้คำแนะนำและบอกแนวทางในการปฏิบัติทุกอย่าง
ถ้าเงินขาดเขินพ่อจารย์คำตันกับพรรคพวกก็ได้ไปรับเงินจากหลวงปู่มาสร้าง
และพัฒนาหมู่บ้านตลอดการพัฒนาของหลวงปู่ทั้งวัดทั้งบ้าน
ถนนหนทางห้วยหนองคลองบึง การจัดสรรที่ดิน
สถานที่จัดตั้งหน่วยงานราชการในอนาคต เช่น ที่ตั้งอำเภอ โรงเรียนมัธยม
โรงเรียนประถม การไฟฟ้า อนามัย ตลาด โรงพยาบาล การประปา เหล่านี้เป็นต้น
หลวงปู่ได้จัดสรรไว้ให้เป็นที่เป็นทางตั้งแต่ประมาณ ๗๐-๘๐ ปีมาแล้ว
ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางชาวบ้านก็มีอยู่มีกิน ไม่มีภูตผีปีศาจเข้ามารบกวน
แม้แต่บ่อน้ำทุกบ่อที่หลวงปู่ขุดไว้
หลวงปู่ก็เอาหินเสกหว่านลงไปไม่ให้ภูตผีปีศาจเข้ามาอยู่ได้
ทำลายวิชาอาคมพวกเดรัจฉานให้หมดไปหายไป
หลวงปู่อยู่วัดโพธิสมภรณ์เป็นเวลา
๑๕ ปี ในวันขึ้นื๑ ค่ำ เดือน ๓ ปี พ.ศ. ๒๔๘๙ เวลา ๐๖.๐๐ น.
หลวงปู่ก็เริ่มมีอาการป่วยเป็นโรคท้องร่วง
เมื่อเสร็จกิจออกจากห้องน้ำแต่ก็ออกมาไม่ได้เนื่องจากแข้งขาไม่มีเรี่ยวแรง
หลวงปู่หนูซึ่งขณะนั้นเป็นโยมอุฐากหลวงปู่อยู่เป็นผู้เข้าไปพยุงหลวงปู่มาที่ห้องพัก
เป็นอยู่อย่างนั้นหลายเที่ยวจนกระทั่งเวลา ๑๐.๐๐ น.
หลวงปู่ก็ยังไม่ได้ฉันอาหารเช้าจนถึงเวลา ๑๑.๐๐
น.ถึงได้ฉันอาหารแต่ก็ฉันได้แค่สองสามคำเท่านั้น
หลวงปู่หนูก็ได้ช่วยประคับประครองหลวงปู่อยู่อย่างนั้น
บางวันก็ฉ้นข้าวได้บ้างไม่ได้บ้างจนกระทั่งอาการของหลวงปู่ทรุดลงไปเรื่อยๆ
พอถึงวันขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๓ ตอนค่ำของวันนั้น
หลวงปู่จึงได้บอกให้หลวงปู่หนูนำหลวงปู่เข้าไปในกุฏินุ่งสบงทรงจีวรรัดอกให้ดีแล้วนำหลวงปู่เข้าไปนอนในท่าสีหไสยาสน์
เอาผ้าห่มผืนหนึ่งห่มให้ หลวงปู่หนูจึงถามว่า “หลวงปู่อยากกลับบ้านแดงไหม” หลวงปู่จึงตอบว่า “ต้องกลับให้ได้ แม้จะเหลือแต่หัวก็จะกลิ้งกลับบ้าน” สุดท้ายก็สั่งให้หลวงปู่หนูปิดประตูให้แน่น
อย่าใครเข้ามาจนกว่าจะมีสัญญาณบอก
แล้วทุกคนก็ออกไปหมดรวมทั้งหลวงปู่หนูด้วย
วันนั้นหลวงปู่โชติก็อยู่ข้างนอกพร้อมกับแม่ชีปุยดัวย
เพื่อจะกันไม่ให้คนเข้าไปเพราะมีคนเป็นจำนวนมากคอยอยู่ข้างนอก
จนกระทั่งถึงเวลา ๖ ทุ่ม ก็มีสัญญาณดังขึ้นบนหลังคากุฏิ คือ
สังกะสีดังโครมและมีแสงสว่างพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าดุจพลุดอกไม้ไฟ
หลวงปู่หนูก็เข้าใจว่าหลวงปู่ได้สิ้นลมหายใจแล้ว
จึงได้เปิดประตูเข้าไปจับดูตัวหลวงปู่ก็เย็นไปหมดทั้งตัวแล้ว
พอรู้ว่าหลวงปู่มรณภาพแล้วก็เลยออกมาจากห้องพูดอะไรไม่ออก
และได้มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเมื่อรู้ว่าหลวงปู่มรณภาพก็กรูเข้าไปรื้อค้นสิ่งของที่สำคัญของท่าน
ชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้นก็ว่าไม่ได้เงินในบัญชีของท่านที่แม่ชีปุยเก็บไว้จำนวน
๓,๐๕๘ บาท ก็เหลือแต่ตัวเลขจำนวนเงิน
พอช่วงเช้าก็จ้างช่างที่เป็นคนญวนมาทำหีบศพให้หลวงปู่ในราคา ๒๐๐ บาท
ทำพิธีศพอยู่ที่นั่น ๕ คืน แล้วจึงนำศพของหลวงปู่บรรจุในเบ้า (ที่เก็บศพ)
หลังจากนั้นชาวบ้านก็เลิกลากลับบ้าน หลังจากนั้นมาอีก ๔ ปี
ชาวบ้านแดงพร้อมด้วยผู้ใหญ่บ้านก็ได้ปรึกษาหารือชักชวนกัน
มีความประสงค์ที่จะนำศพของหลวงปู่กลับบ้านแดง
การไปติดต่อปรสานงานกับทางวัดโพธิสมภรณ์มีปัญหายุ่งยากมากจนแทบจะไม่ได้ศพกลับมาแต่ชาวบ้านก็ไม่ท้อถอย
จนในที่สุดก็สามารถนำศพของหลวงปู่กลับมาสู่บ้านแดง
โดยได้นำคณะเกวียนร้อยเล่มนำขบวนศพของหลวงปู่ออกจากเมืองอุดรฯ
เมื่อนิมนต์ศพหลวงปู่ขึ้นเกวียนแล้วจะเอาวัวไปเทียมเกวียนเอาวัวคู่ไหนเข้าไปก็ไม่สามารถเข้าเทียมเกวียนได้
จำเป็นต้องปลดแอกทิ้งหมด จึงได้จัดสรรวัวอยู่หลายคู่
และในที่สุดวัวก็ได้ของนายทราย สร้อยสนู บุตรชายของนายคำมี สร้อยสนู ซึ่งนายคำมีเคยบวชเป็นพระอยู่ร่วมกับหลวงปู่พอเอาวัวคู่ของนายทรายก็ไม่มีปัญหาอันใด
ขบวนเกวียนจึงเริ่มเดินทางออกจากเมืองอุดรฯโดยไปทางทิศเหนือของอุดรฯทางบ้านบ่อน้ำ
เลี้ยวมาทางทิศตะวันออกทางบ้านเหล่า บ้านหนองบุ บ้านสามพร้าว บ้านหว้าน
บ้านไท บ้านดอนกลอย และเลี้ยวมาทางบ้านแดงจนมาถึงทางทางกฐินของหลวงปู่
คณะชาวบ้านแดงจำนวนมากพากันออกไปต้อนรับอยู่หนองโพธิ์คำ
ในตอนนั้นผู้คนจากบ้านใกล้เรือนเคียงเยอะมากมืดฟ้ามัวดินกันไปหมดเพื่อจะไปจัดตั้งขบวนแห่ศพของหลวงปู่เข้าบ้านแดง
ในวันขึ้น ๑๐ ค่ำเดือน ๒ ปี (บ้างก็ว่า พ.ศ. ๒๔๙๒ บ้าง พ.ศ. ๒๔๙๓ บ้าง)
เมื่อมาถึงบ้านแดงแล้วได้นำศพของหลวงปู่พิบูลย์มาประกอบพิธีอยู่สนามพิบูลย์รังสรรค์
ตามที่พ่อเถิง ศรีเดช ซึ่งในขณะนั้นเป็นไวยากรณ์อยู่ ได้บอกว่าครบวัน
(สมโภช) อยู่ทั้งหมด ๗ วัน ๗ คืน
เสร็จแล้วจึงได้นำศพหลวงปู่เข้ามาไว้ในวัดพระแท่น
ญาติโยมก็มีมาบำเพ็ญกุศลตามยุคสมัย
กล่าวถึงพ่อครูคำพันธ์
เข็มพรหยิบ
ตอนนั้นบวชเป็นเจ้าอาวาสอยู่ได้ปรึกษาหารือกับชาวบ้านจัดสร้างเจดีย์ไว้บรรจุอัฐิของหลวงปู่
จึงได้ตกลงกันสร้างเจดีย์ขนาดใหญ่เป็นเวลาหลายปีกว่าจะเสร็จ เมื่อถึง พ.ศ.
๒๕๐๔ จึงได้ทำพิธีถวายเพลิงศพหลวงปู่การจัดงานศพในครั้งนั้น
ฝ่ายสงฆ์มีพระครูอาทรศิริรัตน์ หลวงปู่โชติ ธมฺมธโร เจ้าอธิการคำพันธ์
คนฺธโร พระครูวิลาศวิหารกิจ บ้านนาทราย หลวงพ่อชม พระครูอมรธัมโมภาส
ใยมฆราวาสผู้เป็นสายธรรมของท่านคือ พ่อจารย์กุ้ม พร้อมด้วยข้าราชการ
ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ชาวบ้านทุกคนทำบุญบำเพ็ญอุทิศกุศลให้ท่านอยู่ ๒ คืน
แล้วนำศพออกไปสู่เมรชั่วคราวที่สนามพิบูลย์รังสรรค์
ในพิธีปล่อยไฟด้วยตะไลม้าเข้าสู่เมรุ วันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๔ ปีฉลู พ.ศ.
๒๕๐๔ บำเพ็ญกุศลต่อจนถึงเวลา ๑๙.๓๐ น. จึงได้ทำพร้อมเหรียญรุ่นแรกจำนวน
๔,๐๐๐ เหรียญ เป็ญเหรียญทองแดง ๒,๐๐๐ เหรียญ เป็นเหรียญทองเหลือง ๒,๐๐๐
เหรียญ
ประวัติเหล่านี้ได้คัดลอกออกมาจากหนังสืออักษรธรรมจากใบลาน
หลวงปู่หนูเป็นผู้เขียนไว้หลังจากที่หลวงปู่พิบูลย์ได้มรณภาพแล้ว
ข้าพเจ้าผู้เขียนได้สอบถามข้อมูลจากผู้เฒ่าผู้แก่และผู้ที่เคยได้อยู่ร่วมกับท่านมาเพิ่มเติมเนื้อหาพยัญชนะข้อความทุกประโยคเป็นความจริงไม่ได้เพิ่มเติมเสริมเนื้อหา
ข้าพเจ้าพระครูมัญจาภิรักษ์ขอนอบน้อมกราบคารวะแต่หลวงปู่พิบูลย์ผู้เป็นครูอาจารย์
ถ้าผิดพลาดประการใดข้าพเจ้าขอขมาลาโทษแก่ท่าน
ขอให้ผู้อ่านจงพิจารณาใคร่ด้วยปัญญาของตน เทอญฯ
คัดลอกมาจาก หนังสืออนุสรณ์ที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพพระครูวิบูลคุณาทร (หลวงปู่โชติ ธมฺมธโร)
เมื่อวันที่ 13 -18 มีนาคม พ.ศ.2546 ซึ่งจัดทำขึ้นโดยพระครูมัญจาภิรักษ์ เจ้าคณะอำเภอพิบูลย์รักษ์ จังหวัดอุดรธานี
เมื่อวันที่ 13 -18 มีนาคม พ.ศ.2546 ซึ่งจัดทำขึ้นโดยพระครูมัญจาภิรักษ์ เจ้าคณะอำเภอพิบูลย์รักษ์ จังหวัดอุดรธานี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น