วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559

พระโพธิสัตว์ (2)

พระโพธิสัตว์ (2) โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 28 ก.ย. 2559
เมื่อคืนนี้ขณะที่ผมกำลังนั่งสมาธิอยู่ก็ปรากฏว่าอยู่ดีๆ ก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่ผมทราบมานานกว่า 30 ปีแล้วก็ตาม สงสัยว่าเบื้องบนท่านคงต้องการให้ผมเล่าออกไปเพื่อให้คนรุ่นหลังได้ทราบ กระมัง
ตอนที่แล้วผมได้เล่าไปว่าผู้ที่จะเป็นพระโพธิสัตว์โดยเฉพาะ "นิยตะโพธิสัตว์" (ได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้ว) ท่านจะมีฉัตรอยู่เหนือพระเศียรของพระธรรมกาย ซึ่งที่ผ่านมาเท่าที่ผมทราบก็แทบจะไม่มีใครมีเลยที่จะมีฉัตรนอกจากท่านอาจารย์เสริมชัย พลพัฒนาฤทธิ์ (ชื่อเดิมของหลวงป๋า) เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ของท่านอีกเช่นกัน
หลังจากที่ผมได้รู้จักท่านอาจารย์เสริมชัยแล้ว ผมก็หมั่นไปช่วยงานเผยแพร่ธรรมะและวิชชาธรรมกายของท่าน ผ่านไปราวๆ 2 ปีผมก็เริ่มคุ้นเคยและสนิทสนมกับท่านผมจึงมีโอกาสได้รู้เรื่องบางอย่างของ ท่าน หลังจากที่ท่านอาจารย์เสริมชัยได้ธรรมกายแล้วและเห็นว่ามีฉัตรปรากฏอยู่ที่ เหนือองค์พระธรรมกายของท่าน ท่านก็เลยมั่นใจว่าท่านจะต้องเดินหน้าเข้าสู่ทางธรรมและมุ่งมั่นในการสร้าง บารมีต่อไป ท่านก็เลยตัดสินใจเข้าไปในห้องพระแล้วจุดธูปอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธรูปในห้อง พระของท่าน โดยท่านได้เอ่ยคำอธิษฐานขอสร้างบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์และพระพุทธเจ้าองค์ต้นๆ ได้โปรดมาเป็นพยานในการสร้างบารมีของท่านด้วย
พอวันรุ่งขึ้นก็ปรากฏเหตุอัศจรรย์ขึ้นมา คืออยู่ดีๆ ก็ปรากฏว่ามีเนื้อนูนขึ้นมาที่กลางฝ่ามือทั้งสองและที่กลางฝ่าเท้าทั้งสอง ของท่าน เกิดมีเนื้อนูนขึ้นมาเป็นรูปกลมๆ แบบเดียวกับรูป "ธรรมจักร" ซึ่งเป็นเรื่องที่ท่านเองก็ไม่ได้คาดคิด เครื่องหมายธรรมจักรนี้ได้เกิดขึ้นมาเองหลังจากที่ท่านอธิษฐานอย่างเป็นทาง การขอสร้างบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตต่อหน้าพระพุทธรูป เป็นเรื่องที่ไม่มีในตำราและไม่เคยมีใครพูดถึงมาก่อน เพราะน้อยคนนักที่จะมีประสบการณ์แบบนี้ได้ เครื่องหมายพระธรรมจักรนี้ได้เกิดขึ้นอยู่นานราวๆ 7 วันแล้วก็จางหายไป เบื้องบนท่านคงจะแสดงให้ท่านอาจารย์เสริมชัยได้รู้ว่าเบื้องบนรับทราบแล้ว และคงเป็นการให้กำลังใจแก่ท่านอาจารย์เสริมชัยในการที่จะสร้างบารมีต่อๆ ไปนั่นเอง เรื่องนี้ผมเขียนขึ้นมาโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตจากท่าน เพราะถ้าผมขออนุญาตแล้วท่านก็คงไม่อนุญาตอยู่ดี แต่เป็นเรื่องที่ผมทราบมาขณะตอนที่ท่านยังไม่ได้บวช ยังไม่ได้มาเป็นพระโพธิสัตว์เต็มรูปแบบเหมือนทุกวันนี้

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2559

หลวงพ่อภาวนา "ฉันจะไปอยู่กับหลวงพ่อสด" โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 25 ก.ย. 2559


หลวงพ่อภาวนา "ฉันจะไปอยู่กับหลวงพ่อสด" โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 25 ก.ย. 2559
ข้อความนี้คือคำพูดสุดท้ายของหลวงพ่อภาวนา (วีระ คณุตตโม) อดีตอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนา วัดปากน้ำภาษีเจริญ ที่ได้พูดกับคุณหมอที่ดูแลท่านในวันสุดท้าย ท่านจะไปช่วยงานของหลวงพ่อสดและกลับไปอยู่ในที่ๆ ท่านเคยจากมา ต่อจากนี้เราจะไม่ได้เห็นท่านไปงานบุญกฐินที่วัดหลวงพ่อสดอีกแล้ว 20 กว่าปีแล้วที่ผมได้เห็นหลวงพ่อภาวนามางานบุญกฐินของวัดหลวงพ่อสด ท่านมาอย่างสม่ำเสมอทุกปีไม่เคยขาดเลยเพื่อร่วมบุญกับหลวงป๋าศิษย์รักของท่าน และมาดูความเจริญเติบโตของวัดหลวงพ่อสดที่ท่านมีส่วนสร้างขึ้นมาจากผืนนาอันรกร้าง กลายมาเป็นวัดป่าที่อุดมสมบูรณ์ด้วยต้นไม้ใหญ่เหมาะแก่การพักอาศัยของภิกษุ ผู้ต้องการปฏิบัติธรรมและศึกษาปริยัติธรรม ตอนนี้ก็เป็นหน้าที่ของพวกเราแล้วที่จะต้องช่วยกันดูแลรักษาให้วัดหลวงพ่อสดเจริญรุดหน้าต่อไป....อาลัยรักและเคารพหลวงพ่อภาวนา
ผมเชื่อโดยสนิทใจว่าหลวงพ่อภาวนาท่านจะเกิดมาอีกเพียงชาติเดียว โดยท่านจะเกิดมาเพื่อเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านเกิดมาในชาตินี้ก็เพื่อช่วยหลวงพ่อสดและหลวงป๋าในการเผยแพร่วิชชาธรรมกาย ตามคำบัญชาของพระพุทธเจ้าองค์ต้นๆ จึงไม่แปลกใจเลยที่หลวงพ่อภาวนาท่านจะออกมาปกป้องหลวงป๋าทุกครั้งที่มีผู้ไม่หวังดีคอยพูดจายุแหย่โจมตีกล่าวร้ายหลวงป๋า มีแต่หลวงพ่อภาวนาเท่านั้นที่ลุกขึ้นมาปกป้องหลวงป๋า ท่านจะออกมาเพื่อปรามผู้กล่าวร้ายนั้นจนในที่สุดเห็นว่าคนเหล่านั้นยังไม่ยอมหยุด ท่านจึงประกาศออกไปว่า "หากใครจะมาว่าอะไรเสริมชัย (ชื่อจริงของหลวงป๋า) ก็ให้มาว่าได้ที่ฉันนี่" ทำให้ผู้ไม่หวังดีเหล่านั้นต้องเงียบเสียงลงไป
ผมจึงได้พยายามพาเพื่อนๆ และคนรู้จักให้มาทำบุญกับท่าน เพราะเราเกิดมาแล้วมีโอกาสยากมากที่จะได้มาทำบุญกับพระระดับพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อพบแล้วก็ต้องหมั่นทำบุญกับท่าน พวกเราโชคดีมากนะครับที่ได้ทำบุญกับท่าน สังเกตุใบหูของท่านซิครับ เหมือนใบหูของพระพุทธรูปชัดๆ น่าใจหายนะครับ ที่วันนี้ท่านไม่ได้อยู่กับพวกเราแล้ว
เมื่อท่านละสังขารไปแล้วผมก็ได้รับโทรศัพท์จากน้องท่านหนึ่งที่ได้สอดญาณตรวจสอบเรื่องราวต่างๆ เขาโทรมาหาผมด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นว่า "พี่อู๋ครับ ผมไม่เคยเจออะไรอย่างนี้มาก่อนเลย ตอนแรกผมตรวจดูว่าท่านจะไปอยู่ที่ไหน ตรวจอย่างไรก็หาท่านไม่พบ จนต้องกราบขอให้หลวงพ่อสดช่วยจึงได้พบวิมานของหลวงพ่อภาวนา ท่านอยู่ในเขตวงบุญพิเศษบนชั้นดุสิตไม่ไกลจากวิมานของหลวงพ่อสด วิมานของท่านไม่เหมือนใครเพราะเป็นศิลปะแบบนครวัดนครธมสวยงามและใหญ่โตมาก ที่แปลกสุดๆ ก็คือกายของท่านไม่ได้เป็นกายเทพบุตรเหมือนเทวดาองค์อื่นๆ แต่กายของท่านเป็นพระธรรมกายครับ"
หลวงพ่อภาวนาบอกกับลูกศิษย์ที่จะไปดูคอนเสิร์ตว่า “ไปเหมือนไม่ได้ไป”
วันหนึ่งลูกศิษย์ที่มานั่งสมาธิกับหลวงพ่อภาวนาในกุฏิของท่านที่วัดปากน้ำ ได้นัดแนะกันว่าเมื่อนั่งสมาธิเสร็จแล้วจะรีบเดินทางไปดูคอนเสิร์ตของเบิร์ด ธงไชยที่จัดขึ้นที่เมืองทองธานี บัตรก็มีพร้อมกันอยู่แล้ว เมื่อนั่งสมาธิเสร็จสาวๆ กลุ่มนี้ก็รีบลุกขึ้นเพื่อรีบไปขึ้นรถทันที หลวงพ่อภาวนาเห็นก็เลยถามไปว่าจะรีบไปไหนกัน ลูกศิษย์กลุ่มนี้ก็บอกว่าจะรีบไปดูคอนเสิร์ตของเบิร์ดค่ะ
อยู่ๆ ก็ได้ยินหลวงพ่อภาวนาพูดขึ้นมาให้ได้ยินทั่วกันว่า "ไปก็เหมือนไม่ได้ไป" แล้วท่านก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เมื่อได้ยินหลวงพ่อพูดอย่างนั้นต่างก็งงว่าหลวงพ่อจะบอกอะไร (สงสัยท่านจะพูดเป็นปริศนาธรรมว่าทุกอย่างในโลกไม่มีอะไรมั๊ง) ท่านพูดเสร็จก็ไม่ยอมพูดต่อได้แต่ยิ้มน้อยๆ ทั้งๆ ที่ยังไม่เข้าใจแต่ก็ไม่มีเวลาคิด ต่างก็รีบเดินออกจากวัดปากน้ำเพื่อขึ้นรถไปเมืองทองธานีทันที
ระหว่างทางก่อนถึงเมืองทองธานีปรากฏว่ารถติดวินาศสันตะโร เนื่องจากในเมืองทองมีทั้งงานคอนเสิร์ตและงานแสดงสินค้าจัดขึ้นพร้อมกัน ผู้คนมากมายต้องใช้เวลานานกว่าจะเข้าไปถึงเมืองทองได้ พอไปถึงสถานที่จัดคอนเสิร์ตก็ช้าไปมาก คอนเสิร์ตแสดงไปจนใกล้จะเลิกแล้ว ตกลงกันว่าไม่ดูแล้วคอนซงคอนเสิร์ตกลับบ้านกันดีกว่า เพราะหมดอารมณ์และเหนื่อยมากกับการเดินทางครั้งนี้ พลันเสียงของหลวงพ่อก็ดังเข้ามาในหูอีกว่า "ไปก็เหมือนไม่ได้ไป" อ๋อ...เพิ่งจะเข้าใจ แหมหลวงพ่อท่านน่าจะอธิบายขยายความอีกนิดก็จะดี 555 (หลวงพ่อท่านคงบอกว่าเตือนแล้วไม่ฟังกันเอง)

ยากพูดเรื่องกามกิเลส โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 26 ก.ย. 2559


อยากพูดเรื่องกามกิเลส โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 26 ก.ย. 2559
นี่คือกิเลสตัวใหญ่ที่ร้ายที่สุดและเอาชนะยากที่สุด เพราะเป็นกิเลสที่เกี่ยวเนื่องกับการเกิด ใครที่ต้องมาเกิดก็ต้องมาแก่ มาเจ็บ ต้องมาตายทุกคน ถ้าก่อนตายเราสามารถเอาชนะกามกิเลสได้เราก็เข้าใกล้นิพพานเต็มที่แล้ว
พระท่านมักสอนให้เราพิจารณาอสุภกรรมฐาน คือการไปดูรูปซากศพต่างๆ เพื่อให้เห็นว่าร่างกายของเรานี้มันไม่ได้น่าดูน่าชมเลย มันมีแต่เลือด เนื้อ น้ำเหลือง น้ำหนอง กระดูก ไขมัน อวัยวะต่างๆ ตับ ไต ไส้พุง ถุงน้ำดี ปอด หัวใจ ฯลฯ ผมก็ดูรูปซากศพและรูปอวัยวะต่างๆ มาเป็นสิบๆ ปี ดูแล้วก็รู้สึกว่าภายในของมนุษย์จริงๆ แล้วมันไม่ได้น่าดูน่าชมเลย แต่ผมดูแล้วมันก็ยังไม่สามารถตัดกามกิเลสลงได้
ที่จริงการเอาชนะกามกิเลสมันต้องใช้การคิดพิจารณาโดยใช้ปัญญาต่างหาก การดูแต่รูปมันยังเอาชนะกิเลสตัวใหญ่นี้ไม่ได้ การตัดกิเลสจะต้องตัดด้วยปัญญา (วิชชา) ถ้าเราตัดตัวกามกิเลสได้แล้วกิเลสตัวอื่นๆ ก็จะถูกตัดต่อเนื่องกันไป เหมือนการตัดห่วงโซ่ เราตัดตรงไหนโซ่ก็ขาดออกจากกันไปเอง เราต้องใช้ปัญญาค่อยๆ คิดพิจารณาเรื่องกามกิเลส ดูมันในหลายๆ ด้านหลายๆ มิติ ดูให้รอบ จับมันหงายขึ้นมาดู แยกส่วนมันออกมา ผมไม่ได้พูดเล่นๆ หรือพูดให้ดูดี แต่เราต้องศึกษามันให้ละเอียดเพราะมันเป็นกิเลสตัวสำคัญที่ปราบได้ยากที่สุด เนื่องจากมันอยู่มันฝังกับเรามานานแสนนาน
เริ่มจากเราต้องรู้ก่อนว่าในสมัยที่มนุษย์แรกเริ่มลงมาเกิดนั้น เดิมมนุษย์เรามาจากพวกพรหมชั้นอาภัสสราพรหม แล้วลงมากินง้วนดินซึ่งก็คือดินยุคแรกที่เย็นตัวลง ยังมีความสะอาดบริสุทธิ์สีขาวดุจน้ำนม ง้วนดินสีขาวนี้มีกลิ่นหอมยั่วยวนให้พวกอาภัสสราพรหมได้ลองลิ้มชิมดู แล้วมันก็อร่อยชื่นใจซะด้วย เมื่อพรหมเหล่านี้ได้กินง้วนดินซึ่งเป็นของหยาบเข้าไปจึงทำให้ร่างกายเปลี่ยนจากร่างทิพย์กลายเป็นร่างกายหยาบขึ้นมาจนไม่สามารถเหาะกลับขึ้นไปอีกได้ เลยต้องมาอยู่บนโลกเป็นมนุษย์ในยุคแรกของโลก หลังจากนั้นต่อมาพรหมพวกนี้จึงเกิดความพึงพอใจในกันและกันอวัยวะเพศชายหญิงจึงเกิดมีขึ้นมา
ประเด็นมันอยู่ตรงที่พวกเรานั้นมีบรรพบุรุษเป็นพรหม ซึ่งพวกพรหมนั้นก็คือพวกที่ไม่มีเพศคือไม่มีการแบ่งเพศชายเพศหญิงเพราะไม่มีอวัยวะเพศ เพราะผู้ที่จะไปเป็นพรหมได้คือพวกที่ไม่มีความสนใจทางเพศ (ถือพรหมจรรย์) ผิดกับพวกเทวดาที่ยังมีเทพบุตรและเทพธิดา เทวดายังมีการเสพกามแบบละเอียด พรหมจึงเป็นผู้ที่มีคุณธรรมสูงกว่าเทวดา อายุก็มากกว่า อยู่ชั้นสูงกว่า ละเอียดกว่า รัศมีก็สว่างกว่าเทวดา เราจึงต้องเตือนตัวเองไว้เสมอว่าเรานั้นมาจากพรหมซึ่งไม่มีเพศ แล้วทำไมเราจึงต้องไปสนใจเรื่องกามกิเลสทางเพศด้วยเล่า เราจะตัดความต้องการทางเพศเพื่อกลับไปเป็นพรหมเหมือนกับที่เราเคยเป็น ผู้สำเร็จหรือศาสดาในทุกศาสนาต่างก็ถือพรหมจรรย์ด้วยกันทั้งนั้น
ขั้นต่อไปก็ให้พิจารณาว่าคนเรามันสวยมันงามตรงไหน อ๋อ...เพราะมันถูกตาต้องใจเรานี่เอง มันสวยหล่อตรงสเปคของเรา แต่แท้จริงแล้วมันก็สวยหล่อแค่ที่ผิวหนังเท่านั้น ลองลอกผิวหนังออกดูจะเห็นว่ามันก็เป็นแค่ก้อนเนื้อและเลือดเท่านั้น ที่เดินไปเดินมาอยู่นั้นก็แค่ก้อนเนื้อแดงๆ แทบจำกันไม่ได้ว่าใครเป็นใคร ลองเอาคนที่สวยที่สุดมาลอกผิวหนังออกดูแล้วเรายังจะเห็นว่าสวยอยู่อีกไหม ต่อไปถ้าเราเห็นใครว่าสวยว่างาม ผมจับลอกผิวหนังออกหมดแหละ เออ...ไม่มีใครสวยอีกเลย มันก็แค่ก้อนเนื้อที่ห่ออวัยวะน้อยใหญ่ไว้เหมือนกันหมด ความกำหนัดทางเพศก็แทบจะหมดไปในทันที
ขั้นสุดท้ายที่เราต้องต่อสู้กับกามกิเลสก็คือเจ้าตัวสัญญาความจำ เพราะมันจะมาตอนที่เราเผลอสติ ความสวยความงามและความต้องการทางกามกิเลสนั้นมันมาจากความจำได้หมายรู้ที่ผ่านๆ มา เพราะเจ้าตัวกามกิเลสนี้มันอยู่กับเรามานาน เรายังติดตราตรึงใจในรสสัมผัสของมัน พอเห็นใครถูกตาต้องใจแล้วเราก็มักจะเกิดความชอบใจพอใจในสิ่งที่เราเห็น มันเกิดความพอใจเพราะเราจดจำมันได้ เราจึงอยากได้ความสัมผัสนั้นอีก ขั้นนี้ซิยาก....เราจะลบความจำได้หมายรู้นั้นออกไปได้อย่างไร มันลบไม่ออกหรอกครับ เพราะเราสั่งสมกามสัมผัสนี้มานานนับภพนับชาติไม่ถ้วน เราต้องสู้กับมันด้วยปัญญา (วิชา) ด้วยการพิจารณาทำความเข้าใจและสอนตัวเองว่าผู้หญิงหรือผู้ชายมันก็เป็นแค่ก้อนเนื้อเหมือนกัน มีหัว ผม ตา จมูก แขน ขา อวัยวะภายในเหมือนกันทุกอย่าง ผู้หญิงหรือผู้ชายก็เหมือนๆ กัน ที่แตกต่างกันก็แค่อวัยวะเพศ เพราะโลกนี้มันต้องมีการสืบต่อเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ มันต้องมีลูกมีหลานเพื่อสร้างคนรุ่นต่อๆ ไปเท่านั้น ไม่ใช่เอาอวัยวะนี้มาใช้เพื่อความบันเทิง เราต้องหมั่นไตร่ตรองพิจารณาเพื่อตัดกามกิเลสนี้ ไม่นานหรอกครับ มันก็เหมือนกับการหุงข้าว กว่าที่ข้าวสารจะถูกหุงจนเป็นข้าวสวยมันต้องใช้เวลาในการหุง ก็แค่ตั้งข้าวไว้แล้วหมั่นเติมเชื้อฟืนอย่าให้ไฟมอด พอถึงที่ถึงเวลาข้าวมันก็จะสุกของมันเอง
นี่จึงเป็นวิธีคิดที่ผมหมั่นเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ความต้องการทางเพศไม่ใช่ความปรารถนาของผม ผมไม่ต้องการและไม่สนใจในเรื่องเพศ ผมต้องการกลับไปเป็นพรหมเหมือนกับที่ผมเคยเป็นมา ผมไม่อยากกลับมาเกิดมาตายอีกแล้ว...มันเบื่อและสงสารตัวเองครับ

วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2559

ญาณทรรศนะ


ญาณทรรศนะ โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋)
หลายคนคิดว่าคนที่มีญาณทรรศนะจะต้องมีสมาธิที่สูงส่ง แต่ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น ญาณทรรศนะและสมาธิมันเป็นคนละอย่างกันแต่ก็เกี่ยวเนื่องกัน ผมเคยเห็นคนที่มีสมาธิแก่กล้าแต่เขาก็มีญาณทรรศนะรู้เห็นอะไรๆ ไม่มาก (ถามอะไรก็ตอบไม่ได้) แต่บางคนที่มีสมาธิแก่กล้าแล้วก็มีญาณทรรศนะด้วยแต่ก็หาได้น้อยคนมาก
ตัวผมเองก็ไม่ได้เก่งกล้าเรื่องสมาธิ แม้ว่าจะนั่งสมาธิมานานกว่า 30 ปีแล้วก็ตาม แต่ผมโชคดีที่อยากรู้อะไรมันก็เกิดญาณรู้ขึ้นมาเองแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะรู้ไปทุก เรื่อง อาจเพราะผมมีตัวช่วย เช่น เทพนิมิต อะไรที่เกี่ยวข้องกับผมทั้งดีทั้งร้ายผมมักจะรู้ได้ก่อน แต่ส่วนใหญ่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือรู้ไปก็สักแต่รู้เพราะอย่างไรมันก็จะเกิดขึ้นอยู่แล้ว 555
วิธีสร้างบารมีให้เกิดญาณทรรศนะ ไม่เห็นมีใครสอนเลยแต่ผมก็รู้ขึ้นมาเองว่า ญาณทรรศนะที่ดีคือต้องทั้งรู้และทั้งเห็น คือรู้ว่ามันเป็นอะไรแล้วก็ต้องเห็นรูปร่างหน้าตาของมันด้วยเพื่อที่เราจะ ได้ "รู้จริง" เมื่อเรารู้ว่าเราอยากได้ญาณทรรศนะทั้งรู้และทั้งเห็น เราก็ต้องถวายของที่เกี่ยวกับการรู้และเห็น เช่น แสงไฟ ไฟฉาย โทรศัพท์ เครื่องเล่นวิดิโอ โทรทัศน์ วิทยุ ฯลฯ เครื่องมืออะไรที่จะทำให้เกิดการรู้เห็นผมก็ได้ถวายพระมาหมดแล้ว ต้องสั่งสมไปทุกภพทุกชาติ
ผมเคยไปถ่ายรูปเพื่อดูแสงออร่าในงานวิทยาศาสตร์ทางจิตครั้งหนึ่ง ปกติผมก็ไม่ถ่ายหรอกเพราะเสียดายเงิน เงินของผมส่วนใหญ่ไม่ได้เอาไปเพื่อการเที่ยวเล่น เงินของผมต้องใช้ไปเพื่อการทำบุญสร้างบารมี แต่บังเอิญวันนั้นทางร้านเขาประกาศว่าเงินค่าถ่ายรูปแสงออร่าทั้งหมด เขาจะนำไปทำบุญถวายวัด ผมก็เลยได้โอกาสเพราะได้ทำบุญด้วยแล้วก็ได้ถ่ายรูปแสงออร่าเอาไว้ดูด้วย
การจะถ่ายรูปแสงออร่าเราจะต้องถอดสร้อยพระและเอาของขลังต่างๆ ออกให้หมดเพื่อไม่ให้สับสนว่าเป็นแสงจากคนหรือจากพระเครื่อง เมื่อถ่ายเสร็จอาจารย์ผู้คุมบูธและเป็นวิทยากรอธิบายเรื่องแสงออร่าด้วย เขาก็เดินนำรูปมาให้ผมแล้วทำหน้าตาตื่นเต้น เขาบอกว่าเขาถ่ายรูปแสงออร่ามากมายเพิ่งจะมาเจอแสงแบบที่ถ่ายให้ผมนี้แหละ เพราะแสงออร่าของผมไม่เหมือนใครคือเป็นแสงรัศมีสีม่วงอมชมพู หมายถึงความเป็นผู้มีญาณทรรศนะรู้เห็นสิ่งต่างๆ พร้อมกับมีจิตใจเมตตามหาศาลกระจายออกไปทั่ว แสงแบบนี้เขาก็เพิ่งเคยเห็นของจริง เดิมเห็นมีแต่ในตำราเท่านั้น
เขาเลยถามผมว่าผมเป็นผู้นั่งสมาธิจนเก่งแล้วใช่ไหม ผมก็ปฏิเสธไปว่ายังไม่เก่งแต่นั่งมานานแล้ว ที่จริงอาจารย์ท่านนี้เขาไม่ได้สังเกตุในรูปให้ดี เพราะในรูปจะเห็นเป็นคล้ายๆ รูปดาวเป็นแฉกสีขาวหรือรูปมงกุฏลอยอยู่เหนือศีรษะของผม เพราะสิ่งนี้ก็คือญาณทรรศนะของหลวงปู่เทพโลกอุดร ที่ท่านส่งมาคุ้มครองผมจนทุกวันนี้ แต่มงกุฏรูปดาวนี้ก็ยังมีคนเคยเห็นเหมือนกันคือเจ้าน้องชายของผมที่ได้ ธรรมกายนั่นเอง เขาเคยแอบถอดกายมาดูผมที่บ้านแล้วเขาก็แปลกใจโทรกลับมาหาผมเพื่อบอกว่า "พี่อู๋ครับ แปลกมากเลยผมเห็นมีพระอรหันต์โบราณท่านอยู่บนหัวพี่อู๋เหนือขึ้นไปประมาณ 1-2 คืบด้วยครับ" ผมก็เลยหัวเราะตอบกลับไปว่า "พระที่คุณเห็นนั้นคือญาณของหลวงปู่เทพโลกอุดรครับ ท่านประทานมาให้ผมนานนับ 20 ปีแล้ว คนที่บอกผมคนแรกก็คืออาจารย์รังษีญาณครับ"
อีกท่านหนึ่งที่ทราบก็คือหลวงป๋า เพราะมีอยู่วันหนึ่งขณะที่ผมกำลังตรวจของให้หลวงป๋าอยู่นั้น หลวงป๋าท่านก็พูดโพร่งทำนองตกใจขึ้นมาว่า "ไอ้อู๋นี่มันใช้ญาณของหลวงปู่ใหญ่นี่หว่า" ผมก็เลยยิ้มๆ ตอบกลับท่านไปว่า "หลวงป๋าทราบได้อย่างไร ก็ผมยังไม่เก่งนี่ครับ" คือแม้แต่หลวงป๋าผมก็ไม่เคยบอกท่าน ผมอยากให้ท่านรู้และพูดขึ้นมาเองเพื่อที่ว่าผมจะได้มั่นใจว่าเป็นของจริง หรือไม่ มาร่วมกันสร้างบุญบารมีทางญาณทรรศนะกันนะครับ...รู้ดีกว่าไม่รู้

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2559

คุณเอ้กรอดตายเพราะหลวงพ่อ


คุณเอ้กรอดตายเพราะหลวงพ่อ โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 22 ก.ย. 2559
เรื่องนี้เป็นรื่องจริงที่เกิดขึ้นในปี 2558 ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดราชบุรีได้มีสตรีท่านหนึ่งเข้ามาอุปถัมภ์วัด โดยเริ่มจากการทำบุญทั่วๆ ไป แล้วก็เอาแรงกายแรงใจมาช่วยจัดงานต่างๆ ภายในวัดเพื่อหาเงินเข้าวัด สุดท้ายก็ถึงกับเอาเงินมาสร้างห้องน้ำใหม่ให้วัดด้วยเงินหลายล้านบาทและใช้ ช่างของเธอเองจนเธอเริ่มเป็นที่รู้จักของคนภายในวัดด้วยกัน ผมขอเรียกสตรีท่านนี้ว่า “คุณเอ้ก” (นามสมมุติ) ก็แล้วกัน
วันหนึ่งขณะที่คุณเอ้กกำลังทำงานภายในวัด โดยออกแรงยกของอย่างหนึ่งก็เกิดความรู้สึกเจ็บปวดและเสียวที่บริเวณหน้าอก ซึ่งอาการนี้เธอไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อมีโอกาสจึงได้ไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจ ผลปรากฏว่าเธอเป็นมะเร็งที่หน้าอกถ้าจำไม่ผิดก็ระยะที่ 3 ซึ่งเป็นระยะที่อันตรายแล้วจะต้องเข้ารับการผ่าตัดรักษาโดยเร็ว ในระหว่างนั้นเธอก็ยังคงปฏิบัติธรรมตามปกติแล้วก็มีนิมิตโดยมีเทวดามาบอกเธอ ว่าเวลาในโลกมนุษย์ของเธอหมดแล้ว อยากจะทำอะไรก็ให้รีบทำ
ผม (อู๋) เองก็รู้จักและสนิทกับคุณเอ้กพอสมควร เมื่อมีโอกาสก็ตรวจดูก็ทราบว่าหากเธอไปจากโลกมนุษย์แล้วเธอก็น่าจะไปสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์อยู่สุขสบายเที่ยวเล่นอีกนาน ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเพราะคุณเอ้กก็ได้สั่งสมบุญเอาไว้มากมาย แต่คนเราก็คิดไม่เหมือนกันเพราะคุณเอ้กเธอยังไม่อยากตาย เธอยังรักและห่วงใยลูกหลานของเธอ ตอนนี้เธอกำลังหลงหลาน 2 คนซึ่งกำลังน่ารักน่าชัง เธอยังไม่อยากไปไหน ทำให้เธอเกิดความทุกข์ใจมากเพราะใกล้ถึงเวลาที่หมอจะนัดผ่าตัดเอามะเร็ง ร้ายออกไปแล้ว
คุณเอ้กไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใคร เธอจึงไปกราบเรียนหลวงพ่อให้ช่วย และได้เล่าว่าเธอเองก็มีนิมิตมาว่าเทวดามาบอกว่าถึงเวลาไปแล้วอีกด้วย ที่สำคัญเธอยังได้บอกหลวงพ่ออีกว่าคุณพ่อของเธอก็ตายเพราะโรคมะเร็ง โดยหลังจากผ่าตัดแล้วพ่อของเธอก็ตายหลังจากหมอให้คีโมเพียงครั้งเดียว ทั้งนี้เพราะร่างกายของทั้งคุณพ่อและคุณเอ้กนั้นแพ้ต่อยาต่างๆ เวลาไม่สบายจึงกินยาไม่ได้เพราะแพ้ยาหมด พอหมอฉีดคีโมให้คุณพ่อท่านจึงเสียชีวิตทันที หลวงพ่อฟังเธอเล่ารายละเอียดให้ฟังแล้วก็เป็นห่วงเธอมากเพราะเป็นกรณีที่ ช่วยยากจริงๆ แต่ในเมื่อคุณเอ้กมีบุญคุณความดีที่เข้ามาช่วยเหลือวัดมาก หลวงพ่อท่านจึงยอมรับที่จะช่วยคุณเอ้ก
การช่วยเหลือคุณเอ้กนั้น นอกจากจะต้องทำวิชชาโดยเข้าไปทำลายให้ดวงมรณะ (ดวงดำ) ดับสลายไป ซึ่งดวงมรณะนี้จะเกิดมีขึ้นที่ศูนย์กลางกายของคนที่ใกล้จะตายทุกคน การทำให้ดวงมรณะนี้สลายหายไปจะต้องใช้บารมีของผู้ช่วยและบารมีของคุณเอ้กเอง ต่างคนก็ต่างต้องเสียบารมีของตัวเองไปบ้าง เพราะเป็นการฝืนดวงฝืนกรรมเพื่อขอขยายเวลาให้สามารถอยู่ในโลกมนุษย์ไปได้อีก หน่อย ดังนั้นคุณเอ้กจึงได้ทุ่มเทเงินทองโดยทำบุญใหญ่ถวายเงินสร้างพระมหาเจดีย์ ที่วัดกำลังดำเนินการก่อสร้าง ปล่อยนกปล่อยปลาในปริมาณมากๆ นับร้อยๆ กิโล ปล่อยวัวปล่อยควาย รักษาศีล 8 สวดมนต์นั่งสมาธิ ทำทุกอย่างเพื่อเพิ่มพูนบุญบารมีของตัวเอง
นอกจากนั้นหลวงพ่อท่านก็ยังต้องไปขอครูบาอาจารย์ พระพุทธเจ้าองค์ต้นๆ ให้ช่วยด้วยเพราะถือว่าคุณเอ้กเป็นผู้มีพระคุณต่อวัดและพระศาสนา ผลจากการที่หลวงพ่อเข้ามาช่วยปรากฏว่าอยู่ๆ คุณเอ้กก็ไปรู้จักคุณหมอที่เก่งที่สุดในประเทศเรื่องการรักษามะเร็ง คุณเอ้กจึงทำเรื่องขอย้ายโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัดกับคุณหมอที่เพิ่งรู้จัก กำหนดการผ่าตัดก็บังเอิญร่นคิวขึ้นมาได้เร็วขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ การวางยาสลบและการผ่าตัดสำเร็จผ่านไปด้วยดี 100% แล้วก็มาถึงขั้นตอนที่คุณเอ้กกลัวที่สุดก็คือการให้คีโมครั้งแรก คุณเอ้กกลัวว่าจะซ้ำรอยเหมือนกับที่คุณพ่อของเธอ แต่เธอก็มีกำลังใจดีเพราะมีหลวงพ่อท่านช่วยอยู่ หลังการให้คีโมครั้งแรกเธอไม่เกิดการแพ้คีโมเลย น่าอัศจรรย์จริงๆ แล้วหมอก็ให้คีโมเธอต่ออีก 2-3 ครั้ง จนคุณหมอบอกว่าเธอหายจากโรคมะเร็งแล้ว
คุณเอ้กเธอรอดตายแล้ว ทุกวันนี้เธอก็ยังมาช่วยเหลือดูแลวัดตามปกติ คุณเอ้กเป็นอีกคนหนึ่งที่ผมรู้จักที่หลวงพ่อท่านช่วยเอาไว้ได้ ไม่ใช่มีแต่คุณเอ้กคนเดียวที่รอดตายเพราะหลวงพ่อ ผมยังรู้ว่ายังมีอีก 4-5 คนที่ผมรู้จัก คนเหล่านี้รอดตายมาได้เพราะบังเอิญมาทำบุญที่วัดแห่งนี้และขอให้หลวงพ่อท่าน ช่วย แต่ก็ไม่ใช่ท่านจะช่วยทุกคนนะครับ เพราะการช่วยคนอื่นท่านก็ต้องใช้บารมีของท่านไปด้วย และคนที่ท่านจะให้ช่วยก็ต้องมีคุณค่าเหมาะสมที่จะอยู่ต่อไป บางคนวิญญาณออกจากร่างไปแล้วภรรยารีบโทรมาหาหลวงพ่อให้ช่วย ท่านยังต้องไปตามวิญญาณกลับมาเข้าร่างจนฟื้นขึ้นมาได้.....เรื่องนี้ผม ตัดสินใจเล่าไว้เพราะหลวงพ่อท่านคงไม่เล่าให้ใครฟังแน่ แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ตัวละครทุกตัวมีตัวตนอยู่จริง ผมขอเล่าไว้เพื่อมิให้เรื่องถูกลืมเลือนหายไปนะครับ

พญาครุฑมาดูแลรักษาหลวงป๋า


พญาครุฑมาดูแลรักษาหลวงป๋า โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋)
ผมรู้เรื่องนี้มานานนับ 10 ปีแล้วว่ามีท่านพญาครุฑอาสามาดูแลรักษาหลวงป๋า แต่ก็ไม่เคยได้ยินใครพูดถึงเรื่องนี้ให้ได้ยินเลย วันนี้ (21 ก.ย.59) มีน้องคนหนึ่งที่ได้ธรรมกายเขาโทรมาหาผมแต่เช้าตอนประมาณ 9.30 น. ด้วยเสียงที่ตื่นเต้น
น้องชายผม : "พี่อู๋ครับ วันนี้ผมกำลังจะเดินทางไปประเทศจีน ขณะที่ผมอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ผมได้เจอกับท่านพญาครุฑ ท่านพญาครุฑบอกผมว่าขณะนี้มีพระสงฆ์ที่ได้ธรรมกายมาอยู่ในสนามบินแห่งนี้ ด้วย ผมก็เลยมองหาไปรอบๆ ปรากฏว่าเห็นหลวงป๋ามากับพระอีกนับ 10 รูป ผมเลยรีบเข้าไปกราบหลวงป๋า"
ผมก็เลยเล่าให้น้องชายคนนี้ไปว่า ใช่เลยเพราะผมรู้เรื่องนี้มานานแล้วว่ามีท่านพญาครุฑอาสามาดูแลรักษาหลวงป๋า โดยเฉพาะตอนที่ท่านจะต้องใช้การเดินทางโดยเครื่องบิน ท่านพญาครุฑจะบินประคองเครื่องบินโดยจะแบกเครื่องบินไว้ที่หลังแล้วบินไป พร้อมกัน เพื่อป้องกันภัยทางอากาศให้หลวงป๋า และไม่ต้องกลัวว่าเครื่องบินจะตกหลุมอากาศ ท่านพญาครุฑท่านบอกมาแบบนี้
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีพยานเกิดขึ้นเพื่อยืนยันเรื่องพญาครุฑนี้ ผมดีใจมากที่น้องคนนี้พูดออกมาเองว่าเห็นท่านพญาครุฑ เพราะน้อยคนนักที่จะมีโอกาสเห็นท่าน หากหลวงป๋าไม่ได้เดินทางไปจีนเพื่อทำงานเผยแพร่วิชชาธรรมกายแล้ว น้องคนนี้เขาก็คงไม่มีโอกาสได้เห็นท่านพญาครุฑแน่ แล้วก็ได้มาเป็นพยานให้ผมว่ามีท่านพญาครุฑมาดูแลรักษาหลวงป๋าจริง ตามที่ผมได้ทราบมา สาธุและขออนุโมทนาบุญกับท่านพญาครุฑ ที่มาสร้างบารมีดูแลรักษาพระโพธิสัตว์พระองค์หนึ่งของยุคนี้

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2559

เล่าสู่กันฟังดวงแก้วพญานาคสีม่วง โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋)


เล่าสู่กันฟังดวงแก้วพญานาคสีม่วง โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) บันทึกเมื่อ 23 กันยายน 2558
ผม (อู๋) เพิ่งได้รับดวงแก้วพญานาคดวงนี้มาเมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน 2558 เมื่อคืนนี้ก็ได้มีนิมิตฝันเห็นงูใหญ่มาหา ตัวท่านใหญ่มากลำตัวขนาดประมาณเกือบเท่าเสาไฟฟ้า เกล็ดสีทอง ท่านชูตัวขึ้นมาขนาดหน้าอกของผม ในฝันนี้ผมกลับไม่รู้สึกกลัวท่านเลย คล้ายกับว่าเป็นเพื่อนกัน ท่านชูหัวขึ้นมาจนผมมองเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน ท่านดูยิ้มๆ (เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นงูยิ้ม) ไม่อ้าปากแล้วก็ไม่มีการเอาลิ้นแลบออกมาเหมือนงูทั่วไป ท่านทำตัวสงบอยู่นิ่งๆ ไม่ส่ายไปส่ายมา แล้วก็มาอยู่ใกล้กับผมห่างกันแค่ประมาณเมตรเดียว
ผมจึงเอามือเอื้อมไปลูบจับหัวและลำคอของท่าน เพื่อแสดงความเป็นมิตรและทักทาย (ทำเหมือนกับการเชคแฮนด์ แต่ท่านไม่มีมือให้ผมจับ) ดูเหมือนท่านมาเพื่อจะแนะนำตัวกับผม ในฝันได้คุยอยู่กับท่านเป็นเวลานานแต่เมื่อตื่นขึ้นมากลับจำบทสนทนาอะไรไม่ ได้เลย ขอกราบขอบพระคุณท่านมุจจรินทร์นาคราช ที่ประทานดวงแก้วพญานาคสีม่วงนี้มาให้ ซึ่งเป็นดวงแก้วที่ผมได้เพียรขอมานานนับเดือน เมื่อได้มาผมก็พยายามจะถ่ายรูปท่านแต่ก็ถ่ายไม่ได้เพราะกล้องที่ใช้อยู่ ประจำกลับไม่สามารถโฟกัสภาพได้ ผมเลยเอาแบตเตอรี่ไปชาร์ตไฟใหม่เพราะคิดว่าแบตคงอ่อน เมื่อชารต์ไฟเสร็จแล้วก็เอากล้องมาถ่ายใหม่ก็ยังถ่ายไม่ได้อยู่ดีเพราะกล้อง ไม่ยอมโฟกัสภาพ ผมจึงต้องกำหนดจิตขออนุญาตจึงถ่ายมาลงเฟสได้ ผมคิดว่าท่านคงมาหยอกล้อกับผมนะครับ... (สีม่วงในภาพตรงกับสีจริงของดวงแก้วพญานาค)
ก่อนหน้านั้นผมก็เคยมีนิมิตถึงท่านพญานาคีเจ้าของดวงแก้วพญานาคสีน้ำตาล (ดวงเล็กของในภาพ 2 ดวง) โดยได้ฝันว่ามีสตรีสูงศักดิ์มาหาพร้อมด้วยเหล่านางสนมกำนัล 4-5 คน ผู้หญิงท่านนี้มีหน้าตาสวยงาม ผิว 2 สี เกล้าผมเป็นมวยสูงดูแล้วสง่างามมาก สวมชุดแบบไทยโบราณมีสไบออกเป็นสีโทนน้ำตาลเข้ากับสีผิว ท่านได้อยู่สนทนาพูดคุยกับผมนานทีเดียว เมื่อถามชื่อก็บอกว่าชื่อ “สุทัศนี.............” ชื่อยาวมากแบบเจ้านายสมัยโบราณตื่นมาก็ยังพอจำได้ แต่ตอนที่เขียนบทความนี้ก็ลืมไปแล้วครับ ในฝันก็ทราบว่าท่านคือพญานาคีเจ้าของดวงแก้วพญานาคของผม ท่านมาพบเพื่อทำความรู้จักเพราะว่าผมอธิษฐานอยากพบเจ้าของดวงแก้วนี้
ดวงแก้วพญานาคนี้เป็นของหนึ่งเดียวในโลก ที่เกิดมีขึ้นที่วัดหลวงพ่อสดเพียงแห่งเดียว ผมยังไม่เคยได้ข่าวว่ามีที่ไหนมาก่อน ที่เกิดมีขึ้นได้ก็เพราะเหล่าพญานาคและเทพเทวาที่สำคัญ ท่านต้องการมาช่วยกันสร้างพระมหาเจดีย์ของวัดหลวงพ่อสดให้สำเร็จโดยไวนั่น เอง

-----------------------------------------------------


ดวงแก้วพญานาคชุดใหม่เสด็จมาแล้วครับ
เพิ่งเสด็จมาเมื่อคืนนี้เอง (12 ก.ย.59) ท่านกาลนาคราชซึ่งจำศีลอยู่ใต้แม่น้ำเนรัญชราในประเทศอินเดียประทานมาให้ เพื่อช่วยหลวงป๋าสร้างพระมหาเจดีย์ เทพเทวา พญานาค ยักษ์ คนธรรพ์ ตอนนี้ลงมาช่วยหลวงป๋ากันมากเพราะทางวัดไม่มีเงินแล้ว งานพระมหาเจดีย์ยังค้างอยู่ต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพราะถ้าหลวงป๋าไม่อยู่แล้วงานสร้างพระมหาเจดีย์ยิ่งจะทำได้ยาก
ใครที่รอคอยดวงแก้วพญานาคขอให้เตรียมปัจจัยไว้ได้เลย ดวงแก้วนี้เป็นของศักดิ์สิทธิ์และหวงแหนยิ่งของเหล่าพญานาค หนึ่่งเดียวในโลกมีแต่ที่วัดหลวงพ่อสดเท่านั้นครับ

คดขนุนทองคำวัดหลวงพ่อสด โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋)


คดขนุนทองคำวัดหลวงพ่อสด โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋)
คด ก็คือธาตุกายสิทธิ์ของขลังชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ คดมีมาช้านานแต่โบราณแล้ว นิยมพกติดตัวเพื่อป้องกันอันตรายโดยเฉพาะเป็นมหาอุด นักรบโบราณต่างไขว่คว้าหาคดอย่างใดอย่างหนึ่งติดตัว เพื่อให้สามารถรอดชีวิตกลับมาจากการศึกสงคราม ถ้าคดไม่ดีจริงไม่มีอานุภาพจริงคงไม่มีผู้แสวงหามาจนทุกวันนี้
คดนั้นเชื่อกันว่า เกิดขึ้นได้ก็เพราะมีกายสิทธิ์เข้าไปอาศัยอยู่ในพืชหรือสัตว์จนทำให้พืชหรือ สัตว์นั้นกลายเป็นหิน ไม่เหมือนกับฟอสซิลนะครับคนละแบบกัน ฟอสซิลนั้นเกิดเพราะพืชหรือสัตว์ที่ตายแล้วอยู่ในดินเป็นเวลานานนับร้อยนับ พันปี ผ่านการทับถมของดินและมีสภาพแวดล้อมอุณหภูมิพอเหมาะจนเกิดเป็นหินฟอสซิลขึ้น มา แต่คดนั้นเกิดได้เพราะกายสิทธิ์เขาลงไปครองพืชหรือสัตว์นั้นจนเกิดเป็นหิน ขึ้นมา และไม่ได้เกิดเฉพาะพืชหรือสัตว์ที่อยู่ใต้ดินตามที่บางท่านเข้าใจ คดมีอานุภาพมากน้อยตามแต่บารมีของกายสิทธิ์ที่ลงมาครองในคดนั้นนั่นเอง
คดที่คนนิยมมากที่สุดก็คือ “คดขนุน” เพราะมีขนาดพอเหมาะและชื่อดีคือชื่อว่าขนุนหรือการหนุนชีวิต หนุนฐานะ หนุนดวงของผู้เป็นเจ้าของ เกิดพบในลูกขนุน คือเมื่อกินเนื้อขนุนแล้วพบว่าเมล็ดขนุนนั้นแข็งเป็นหินมีสีน้ำตาล ที่สำคัญมีน้ำหนักมากกว่าเมล็ดขนุนธรรมดา ถ้าเป็นสีน้ำตาลเข้มอมแดงก็เรียกว่าคดขนุนทองแดง เนื่องจากสีของมันดูเหมือนสีของทองแดงแต่ไม่ใช่เป็นโลหะทองแดง ถ้าเป็นสีดำก็เรียกว่าคดขนุนทองดำ ทั้งนี้ยังไม่เคยปรากฏว่ามีคดขนุนที่เป็นเนื้อโลหะจริงๆ เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้เลย ครั้งนี้ ยุคของเรานี้ พ.ศ.นี้ จึงเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกที่เกิดคดขนุนโลหะทองคำ (เทพประทาน) ขึ้นมาในโลก
ถ้าถามผมว่าตอนนี้ของศักดิ์สิทธิ์ หรือของขลังประเภทกายสิทธิ์อะไรมีพลังอิทธิคุณหรืออานุภาพแรงมากที่สุด ผมขอตอบเลยว่า “คดขนุนทองคำ” ที่เกิดขึ้นเองในวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี เพราะตั้งแต่ผมได้มีประสบการณ์ในการสัมผัสพลังพุทธคุณอิทธิคุณของพระเครื่อง และของกายสิทธิ์ต่างๆ เช่น คดขนุน (หิน) คดไม้สัก คดไม้ตะเคียน คดปลวก คดไม้งิ้วดำ คดตัวต่อ คดทับทิม คดหอย คดตับหิน คดสมองปลา คดดีปลา ฯลฯ ไม่มีพลังของคดใดจะแรงสู้คดขนุนทองคำได้เลย พลังของคดขนุนทองคำจัดอยู่ในระดับ A+ ซึ่งถือเป็นระดับสูงที่สุด ความแรงในระดับนี้ก็น่าจะมีเพียงเหล็กไหลชั้นหนึ่งโกฏิปีสีเขียวปีกแมลงทับ เท่านั้น ที่จะมีพลังใกล้เคียงในระดับเดียวกันกับคดขนุนทองคำ ส่วนคดแบบอื่นๆ ยังนับว่าห่างกับคดขนุนทองคำมาก
คดขนุนทองคำ (เทพประทาน) นี้จึงเป็นสุดยอดของคด เป็นหนึ่งไม่มีสอง
ผมจึงไม่แปลกใจเลยที่ได้ยินมาว่า มีผู้เอาคดขนุนทองคำนี้ไปลองยิงแล้วยิงไม่ออก ไม่ใช่ยิงด้วยปืนธรรมดานะครับ แต่เป็นปืนเอ็ม 16 ข่าวที่ได้มานี้จะเป็นจริงหรือไม่ก็ไม่อาจทราบได้เพราะเขาแอบเอาไปลองยิงกัน แต่ผมก็ได้เคยเจอตัวคนยิงผู้นั้นและได้ถามโดยตรงกับผู้ที่เอาไปลองยิง เขาก็ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง เขาเล่าว่าพอยิงชุดแรกไม่ออก ก็เอากระสุนชุดใหม่แกะกล่องกันเลยใส่เข้าไปใหม่แล้วยิงซ้ำก็ยังยิงไม่ออกอีก แต่เมื่อเอากระสุนที่ยิงไม่ออกนั้นยิงขึ้นฟ้าก็ออกทุกนัด โดยเอาไปลองยิงกันที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก (แต่ผู้ที่เอาไปทดลองยิงก็ถูกท่านพระวิษณุกรรมเอาโทษ ต้องขอขมาลาโทษยกใหญ่จึงบรรเทาลงได้) หรือข่าวตอนที่เกิดคดขนุนทองคำนี้ขึ้นมาใหม่ๆ ผู้ที่ได้ไปในชุดแรกๆ ก็ไปโดนยิงที่สำเพ็ง ปรากฏว่ายิงไม่ออกจึงรอดตายมาได้
ล่าสุดก็ในการชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ที่สี่แยกราชประสงค์เมื่อปี 2553 ที่ผ่านมา ปรากฏว่า มีทั้งสไนเปอร์ และหัวลูกระเบิดชนิดเอ็ม 79 ถูกยิงตกลงมาหลังเวทีผู้ชุมนุมแต่กลับไม่ระเบิดซักลูก รอดตายกันแบบปาฏิหาริย์จนเป็นข่าวออกทางสื่อมวลชน ซึ่งหนึ่งในผู้ชุมนุมนั้นก็ได้นำคดขนุนทองคำนี้พกติดตัวไปด้วยนั่นเอง เขาเหล่านั้นจึงเอามาเล่าให้ฟังด้วยความตื้นตันใจที่รอดชีวิตกลับมาได้
ทำไมคดขนุนทองคำนี้ จึงศักดิ์สิทธิ์และมีพลังอิทธิคุณแรงมากในระดับ A+ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ผ่านการปลุกเสกใดๆ ทางวัดหลวงพ่อสดฯ เอง ก็ไม่ได้สร้างหรือทำคดขนุนทองคำนี้ขึ้นมา แต่เพราะคดขนุนทองคำนี้ถูกปรุงหรือทำขึ้นจากท่านจอมเทพผู้ปกครองเหล่าเทวดา หรือที่เราเรียกท่านกันว่า “พระอินทร์” นั่นเอง ทำไมผมถึงได้ทราบว่าเป็นของท่านพระอินทร์สร้าง ผมไม่ได้รู้เองหรอกครับ ผมทราบเพราะตอนที่ผมได้สัมผัสพลังของคดขนุนทองคำในครั้งแรก ผมก็รู้สึกประทับใจและแปลกใจที่พลังของเขาหนักแน่น-รุนแรง-และว่องไวมาก ไม่เหมือนคดอื่นๆ ที่เคยสัมผัสมา คือใช้คดขนุนทองคำแล้วไม่จำเป็นต้องใช้คดอื่นๆ อีกเลย จึงได้สืบและสอบถามจากท่านผู้มีญาณทัศนะที่ไว้ใจได้ ก็ได้ทราบว่าผู้ที่สร้างก็คือท่านพระอินทร์นั่นเอง สำหรับคดชนิดอื่นๆ อาจสำเร็จด้วยฤทธิ์อำนาจของเหล่าพญานาค พญาครุฑ หรือเทพอื่นๆ ฯลฯ
ท่านพระอินทร์จอมเทพ ได้มีเทวราชโองการมอบหมายให้สร้างคดขนุนทองคำนี้แก่ท่านพระวิษณุกรรม ท่านพระวิษณุกรรมจึงได้ประกาศแจ้งเทวราชโองการนี้แก่เหล่าเทพยดาทั้งหลาย มีท่านพระสุริยเทพและท่านพระจันทิมเทพ (จันทราเทพ) พร้อมบริวาร เป็นต้น ให้ได้มีส่วนร่วมในเทวราชโองการที่สำคัญนี้ โดยมีวัตถุประสงค์ในการสร้างก็เพื่อให้เป็นทุนช่วยทางวัดหลวงพ่อสดฯ ก่อสร้างพระมหาเจดีย์สมเด็จฯ ให้สำเร็จเสร็จสิ้นโดยเร็วนั่นเอง
ทั้งนี้ก็เพราะท่านพระอินทร์คงจะทราบด้วยญาณทัศนะของท่านว่า ทางวัดหลวงพ่อสดฯ ได้ใช้งบประมาณในการก่อสร้างพระมหาเจดีย์ไปถึง 100 กว่าล้านบาทแล้ว เงินทุนในการสร้างก็ร่อยหรอลงไปมาก จนอาจทำให้การก่อสร้างพระมหาเจดีย์เกิดการสะดุดลงได้ ท่านพระอินทร์ซึ่งท่านเองก็เป็นพระอริยะบุคคลในระดับพระโสดาบัน ตั้งแต่ครั้งสมัยพุทธกาล และยังทรงเป็นผู้อธิษฐานค้ำจุนพระพุทธศาสนา ท่านจึงได้มีเมตตาช่วยเหลือโดยการปรุงธาตุกายสิทธิ์คดขนุนทองคำให้แก่วัด หลวงพ่อสดฯ เพื่อมอบเป็นของที่ระลึกให้แก่ผู้ร่วมสร้างพระมหาเจดีย์สมเด็จฯ และเฉพาะในช่วงนี้ก็จะมอบให้แก่ผู้ร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างพระมหาเจดีย์สมเด็จฯ รายละ 100,000 บาท (ผมได้มาตอนแรกต้องทำบุญถึง 300,000 บาท) ท่านจะมอบคดขนุนทองคำให้รายละ 1 เม็ด
นอกจากนั้น (ผมคิดเอาเอง) อาจเป็นเพราะท่านพระอินทร์จอมเทพพระองค์นี้ มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์เป็นพี่น้องหรือเป็นสหายกับท่านเจ้าอาวาส วัดหลวงพ่อสด พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล) ในอดีตชาติใดชาติหนึ่งที่ผ่านๆ มาก็เป็นได้ เพราะเคยมีแม่ชีผู้เจริญภาวนาวิชชาธรรมกายท่านหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี ซึ่งสามารถสื่อสัมผัสกับท่านพระอินทร์ได้ ก็เคยมาเล่าให้ฟังว่าทุกครั้งที่ท่านพระอินทร์พูดถึงท่านเจ้าอาวาสวัดหลวง พ่อสดฯ ท่านจะเรียกว่า “พระน้อง” เสมอ
ปัจจุบันเชื่อกันว่าท่านพระอินทร์ พระวิษณุกรรม พระสุริยเทพ และพระจันทิมเทพ ต่างก็ได้บรรลุคุณธรรมสำเร็จเป็นพระอริยะบุคคลในระดับพระอนาคามี หรือในระดับที่สูงกว่าเมื่อครั้งพุทธกาลที่พระพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์ ชีพอยู่
ไม่ใช่แต่เพียงแม่ชีท่านนี้เท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ แม้แต่พระลูกวัดของวัดหลวงพ่อสดฯ องค์หนึ่งที่มีหน้าที่จัดการดูแลรักษาคดขนุนทองคำและทองชมพูนุท ก็ยืนยันในเรื่องนี้ เพราะท่านมีหน้าที่ดูแลคดขนุน ท่านจึงได้มีโอกาสพบกับท่านพระอินทร์และพระวิษณุกรรมหลายครั้งหลายโอกาส และทุกครั้งที่ท่านพระอินทร์จะฝากเรื่องหรือพูดถึงท่านเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อ สดฯ ท่านก็จะเอ่ยถึงในลักษณะที่มีความสนิทสนมเป็นพิเศษ เช่น “ท่านไม่ต้องไปห่วงเขาเลยองค์นี้ (บางทีท่านเรียก “พระอนุชา”) แต่อดีต (ชาติ) ท่านสร้างอะไรต่ออะไรมามากแล้ว ใหญ่กว่านี้ ยากกว่านี้ เช่น ..... ท่านก็สร้างมาแล้ว” เป็นต้น
นับว่าท่านพระอินทร์ ได้มีเมตตาและรักพระน้องชายของท่านองค์นี้มาก จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไม ท่านพระอินทร์องค์นี้ถึงเมตตาช่วยเหลือวัดหลวงพ่อสดฯ เป็นกรณีพิเศษ ทั้งยังได้สร้างและมอบของศักดิ์สิทธิ์ในพระพุทธศาสนาและของเทวโลก ไว้ให้กับวัดหลวงพ่อสดฯ อีกมากมายหลายอย่าง (ของที่เทวดาสร้างหรือเนรมิตขึ้นมา จะสวยและประณีตกว่าของที่มนุษย์สร้างมาก จนช่างที่ชำนาญงานมาเห็นเข้าก็จะบอกว่าไม่สามารถสร้างให้สวยและประณีตอย่าง ที่เทวดาท่านสร้างได้)
ในช่วงแรกที่ผม (อู๋) ได้คดขนุนทองคำมาก็ปรากฏว่ามีนิมิตฝัน เห็นเทวดาผู้รักษาคดขนุนทองคำมาปรากฏกาย ผมเห็นเป็นเด็กหนุ่มอายุประมาณ 15-16 ปี กำลังอยู่ในวัยหนุ่มแน่นทีเดียว หน้าตาหล่อเหลา ผิวขาว ผมดำ ท่าทางใจดี แต่งตัวด้วยชุดขาวเดินเข้ามาหาด้วยความยิ้มแย้ม เหมือนการมาแนะนำตัวทุกครั้งที่ผมได้ธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้มาครอบครอง ซึ่งนับว่าเป็นเด็กหนุ่มที่ถือว่ามีบารมีสูงที่สุดกว่าคดกายสิทธิ์ชนิดอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด อย่างเช่นกายสิทธิ์ของคดตัวต่อหิน (ลักษณะแข็งใสขุ่นเหมือนแก้ว) ที่ผมได้มาก่อนหน้านั้นก็มาปรากฏให้เห็นเช่นกัน โดยมาในร่างของเด็กชายแต่งตัวด้วยชุดขาวอายุประมาณ 9-10 ขวบ ผิวขาว ผมดำ น่ารัก ท่าทางค่อนข้างจะซุกซนทีเดียว ยังคงมีนิสัยชอบเที่ยวชอบเล่นแบบเด็กๆ เมื่อเปรียบเทียบดูแล้ว กายสิทธิ์ของคดขนุนทองคำ (เทพประทาน) น่าจะมีบารมี วัยวุฒิ และคุณวุฒิสูงกว่าคดชนิดอื่นๆ มาก แต่ถ้าเป็นคดหินโดยทั่วไปจะมาในร่างของเด็กน้อยอายุประมาณแค่ 6-7 ขวบเท่านั้น
และถ้าเปรียบเทียบกับเหล็กไหลแล้ว ผู้ที่มาปรากฏกายให้เห็นในนิมิตฝันจะเป็นท่านพระฤๅษีหนวดเครายาวสีขาว ผมยาว หน้าตาสงบเคร่งมีตบะน่าเกรงขาม บางองค์ยืนถือไม้เท้า บางองค์ก็นั่งเข้าฌานสงบนิ่ง มีทั้งแบบครองผ้าขาวและครองผ้าลายเสือ แล้วแต่ว่าท่านพระฤๅษีท่านนั้นจะครองผ้าอย่างไร บางท่านก็จะมาบอกถึงชื่อเสียงเรียงนาม เพื่อให้สามารถเรียกชื่อของท่านได้อย่างถูกต้องอีกด้วย
ดังนั้นการใช้คดขนุนและเหล็กไหลจึงมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เพราะคดขนุนเป็นกายสิทธิ์ที่ปรุงขึ้นโดยเทพยดาอริยบุคคลสร้างไว้ให้ เราจึงสามารถที่จะขอในเรื่องโชคลาภ การค้าขาย เมตตา มหาอุด ความสำเร็จในกิจการต่างๆ ทางโลกได้มากกว่า เพราะการที่เราจะไปขอเรื่องทางโลก กับท่านพระฤๅษีซึ่งมีตบะฌานบารมีแก่กล้าย่อมไม่เป็นการสมควร เพราะท่านจะชำนาญในเรื่องของการทำฌานบารมี ปฏิบัติสมาธิ ควบคุมดินฟ้าอากาศ ฟ้าฝน หรือการคุ้มครองป้องกันขับไล่สิ่งชั่ววิญญาณร้ายมากกว่า
คดขนุนทองคำเม็ดแรกพบโดยพระท่านหนึ่ง (พักอยู่ที่กุฏิหมายเลข 1) ในปีพ.ศ. 2550 ท่านเป็นพระลูกวัดหลวงพ่อสดฯ บวชที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กทม. แต่มาปฏิบัติธรรมเข้าถึงธรรมกายที่วัดหลวงพ่อสดฯ ท่านจึงไม่ขอไปที่ไหนอีกแต่ขออยู่ทำงานช่วยวัดหลวงพ่อสดฯ เผยแพร่ธรรมะ ในขณะนั้นท่านรับหน้าที่ดูแลพระเถระที่เข้ามาอบรมพระกรรมฐาน ซึ่งทางวัดหลวงพ่อสดฯ จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีๆ ละ 2 รุ่น คือ รุ่นกลางปี (1-14 พ.ค.) และรุ่นปลายปี (1-14 ธ.ค.) ท่านปักกลดอยู่บริเวณวิหารหลวงพ่อสด ซึ่งบริเวณนั้นเป็นป่าปลูกมีต้นไม้ใหญ่อยู่หลายต้นรวมทั้งต้นขนุนด้วย ท่านเล่าว่าขณะเดินพักผ่อนรอบกลดสังเกตเห็นขนุนลูกหนึ่งถูกสัตว์กัดตกอยู่ ที่พื้น ขนุนต้นนี้อยู่ข้างวิหารหลวงพ่อสดด้านทิศตะวันออก ตัวต้นอยู่ในแนวบันไดขึ้นวิหารด้านทิศตะวันออกเยื้องมาด้านหน้าเล็กน้อย แม้ขนุนลูกนั้นจะถูกสัตว์กัดจนร่วงลงมาแล้วก็ตาม ท่านคิดว่าเนื้อขนุนบางส่วนก็น่าจะยังพอฉันได้ ท่านจึงบอกให้สามเณรนำไปผ่าแกะดูแล้วนำมาถวายท่าน
ปรากฏว่ามีขนุนอยู่เมล็ดหนึ่งที่มีน้ำหนักผิดปกติ เมื่อแกะเนื้อออกมาดูก็ปรากฏว่าขนุนเมล็ดนั้นมีลักษณะแข็งเป็นหิน มีสีน้ำตาลอ่อน ที่เขาเรียกกันว่า “คดหิน” นั่นเอง ต่อมาก็มีขนุนตกลงมาอีก ท่านก็ให้สามเณรที่มาช่วยดูแลพระเถระด้วยกันนั้นนำขนุนผลนั้นมาแกะดู ปรากฏว่ามีขนุนอยู่เมล็ดหนึ่งมีน้ำหนักมาก สีเหลืองทองงดงามผิดไปจากเมล็ดขนุนทั่วไป มีความแข็งมาก เป็นคดขนุนโลหะสีเหลืองทอง ไม่ใช่คดหินเหมือนเม็ดแรก ขนุนทั้งลูกเป็นคดขนุนโลหะสีเหลืองทองเพียงเมล็ดเดียวเท่านั้น ท่านเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าโลหะนั้นเป็นอะไรกันแน่ จึงได้วานให้ลูกศิษย์คนหนึ่งซึ่งทำงานเกี่ยวกับเครื่องประดับจิวเวอรี่มี ร้านตั้งอยู่แถวถนนสีลม เอาไปให้ที่ร้านตรวจพิสูจน์ดู ปรากฏว่าที่ร้านอยากได้ขอซื้อในราคานับแสนบาท เขาบอกว่าคดขนุนที่ให้ไปตรวจดูนั้นเป็นทองคำมีเปอร์เซ็นต์ทองสูงถึง 85% หนักประมาณ 4 บาท ถ้าเรียกเป็นภาษาร้านทองก็ต้องบอกว่าเป็นทอง 20k (ทอง 24k เท่ากับทองคำ 99.99% ส่วนทอง 18k มีเปอร์เซ็นต์ทอง 75%) แต่ท่านไม่ยอมขายเพราะมีเพียงเม็ดเดียวและเป็นของกายสิทธิ์หายากไม่เคยพบมา ก่อน
ดังนั้นเพื่อป้องกันการเข้าใจผิด คดขนุนทองคำเทพประทานนี้จึงไม่ใช่ทองคำแท้ 100% แต่เป็นคดขนุนที่มีเนื้อทองผสมอยู่จะมากจะน้อยก็แล้วแต่ท่านประทานมาให้ เพราะทางวัดเป็นเพียงแต่ผู้ได้รับมาจากท่านเทพเท่านั้น และต้องเข้าใจด้วยว่าคดนี้เทวดาท่านทำมาจากเมล็ดขนุนจริงๆ จึงต้องมีเนื้อของเมล็ดขนุนตามธรรมชาติผสมอยู่ไม่มากก็น้อย
ต่อมาท่านจึงได้นำคดขนุนทองคำเม็ดนั้นถวายแก่หลวงป๋า (ท่านเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดฯ) ซึ่งท่านนับถือเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของท่าน เป็นผู้ให้ชีวิตใหม่แก่ท่าน เพราะหลวงป๋าคือผู้สอนผู้ชี้แนะการปฏิบัติจนท่านเข้าถึงธรรมกายได้นั่นเอง
เมื่อหลวงป๋าเห็นว่าคดขนุนเกิดขึ้นเองภายในวัด แสดงว่ากายสิทธิ์ที่ลงมาน่าจะยังมีอยู่อีก จึงได้ให้พระเณรลองดูที่ต้นอื่นๆ ภายในวัด ทั้งบริเวณป่ารอบโบสถ์และอาคารต่างๆ รวมถึงต้นขนุนที่อยู่หลังกุฏิของท่านเจ้าอาวาส ก็ปรากฏว่าที่ต้นอื่นก็พบคดขนุนทองคำเช่นกัน โดยมีทั้งที่เป็นทองคำธรรมดาและทองชมพูนุท (Pink Gold) เมื่อเอาไปให้ร้านทองตรวจสอบก็ปรากฏว่า คดขนุนแบบทองชมพูนุทมีเปอร์เซ็นต์ทองสูงกว่าคดขนุนทองคำเล็กน้อย โดยแบบทองชมพูนุทมีเปอร์เซ็นต์ทองสูงถึง 90% เทียบเท่ากับทอง 22k ทีเดียว
ดังนั้นคดขนุนทองคำที่เกิดขึ้นเองในวัดจึงมี 2 สีด้วยกัน คือสีทองคำและสีทองชมพูนุท มีขนาดเล็กใหญ่ต่างกันบ้าง ขนาดใหญ่สุดจะหนักประมาณ 5 บาท สำหรับคดขนุนทองชมพูนุทนั้น เมื่อสอบถามไปยังผู้ที่มีญาณทัศนะแล้วท่านบอกว่าเป็นกายสิทธิ์ของท่านพระ สุริยเทพ ซึ่งจะมีพลังอิทธิคุณออกไปในทางเข้มขลัง รุนแรง ว่องไว เรียกตามภาษาชาวบ้านก็ต้องบอกว่าชอบออกทางแนวบู๊ มหาอุด ป้องกันภัยอันตราย และเกื้อหนุนหน้าที่การงาน
ส่วนคดขนุนทองคำสีเหลืองทองนั้นท่านว่าเป็นกายสิทธิ์ของท่านพระจันทิมเทพ (จันทราเทพ) พลังอิทธิคุณจะนุ่มนวลเยือกเย็นกว่าแบบทองชมพู ซึ่งเชื่อกันว่าอิทธิคุณจะเด่นออกไปทางด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด และโภคทรัพย์ อย่างไรก็ตามคดทั้ง 2 แบบนี้ก็ถูกปรุงขึ้นตามเทวราชโองการของท่านพระอินทร์จอมเทพ จึงเชื่อว่าคดทั้ง 2 แบบต่างก็มีเทวฤทธิ์อิทธิคุณครอบคลุมรอบด้านตามเจตนาของท่านผู้สร้างอยู่ แล้ว เรียกว่าชอบแบบไหนก็เลือกใช้แบบนั้นทดแทนกันได้นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม เมื่อสำรวจหาต้นขนุนกันจนทั่วทั้งวัดแล้ว แม้จะได้คดขนุนทองคำมาเพิ่มก็ยังถือว่าน้อยมาก รวมๆ แล้วก็มีเพียงไม่กี่เม็ด จึงเกิดความคิดว่าน่าจะขอโอกาสต่อท่านพระอินทร์ ในการที่ทางวัดจะทำการรวบรวมเมล็ดขนุนไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อเร่งกระบวนการปรุงธาตุของเหล่าเทพยดา ในครั้งแรกที่จัดเตรียมเมล็ดขนุนไว้ก็ปรากฏว่าไม่ได้ผล ไม่ได้คดขนุนทองคำตามที่คาดหวัง ทั้งนี้เพราะยังเป็นการลองผิดลองถูก ยังไม่รู้ขั้นตอนที่เหมาะสมว่าควรจะจัดเตรียมอะไรบ้าง
ต่อมาภายหลังจึงรู้ว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องคดขนุนไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนไหนก็ตามจะต้องเป็นผู้ ที่มีศีลบริสุทธิ์ เมล็ดขนุนที่เตรียมไว้เพื่อการนี้จะต้องผ่านการพรมน้ำมนต์จากท่านเจ้าอาวาส เพื่อให้เกิดสิริมงคลก่อน หลังจากนั้นจึงอธิษฐานอัญเชิญท่านพระอินทร์จอมเทพพร้อมเหล่าเทพยดาทั้งหลาย มาทำการปรุงธาตุและอัญเชิญกายสิทธิ์ให้ลงในเมล็ดขนุนที่ได้จัดเตรียมไว้ ซึ่งวันและเวลาที่ท่านพระอินทร์จะมาก็ต้องแล้วแต่ท่าน ส่วนทองคำที่จะต้องใช้มาลงในเนื้อของเมล็ดขนุน ก็ได้รับความเอื้อเฟื้อจากท่านท้าวเวสสุ-วรรณประทานมาให้
ผู้ที่เกี่ยวข้องในขั้นตอนนี้ท่านหนึ่งได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อท่านพระอินทร์มาถึง บริเวณนั้นจะสว่างไสวเหมือนกับมีการเปิดสปอตไลท์หลายๆ ดวงพร้อมกัน ท่านมาด้วยเวชยันต์ราชรถโดยมีพระวิษณุกรรมเป็นสารถี ท่านพระอินทร์จะเป็นผู้มาอธิษฐานปรุงธาตุเป็นลำดับแรก ต่อมาก็เป็นท่านพระวิษณุกรรม โดยท่านจะเอามือทั้งสอง มาวางเหนือพานที่ใส่เมล็ดขนุนชั่วระยะเวลาหนึ่ง
หลังจากนั้นประมาณ 1-2 อาทิตย์ น้ำหนักของเมล็ดขนุนจะเพิ่มมากขึ้นแสดงว่ากายสิทธิ์ได้เริ่มลงมาแล้ว แต่สำหรับผู้มีตาในแล้วจะรู้ได้ทันทีว่ากายสิทธิ์ลงมาแล้วหรือไม่ โดยถ้าเห็นว่ามีแสงรัศมีสีเหลืองทองอยู่รอบๆ ภาชนะที่ใส่เมล็ดขนุนก็แสดงว่ากายสิทธิ์เขาลงมาแล้วนั่นเอง
เมื่อน้ำหนักเมล็ดขนุนเพิ่มมากขึ้นจนถึงประมาณ 15-20 เท่าจากเดิม ก็แสดงว่ากายสิทธิ์ลงมาเต็มที่แล้ว หากเปิดภาชนะดูก็จะสามารถตรวจนับได้เลยว่าคดขนุนทองคำเกิดมีขึ้นสำเร็จแล้ว จำนวนกี่เม็ด โดยมากจะเป็นขึ้นมาไม่เกิน 30% ของจำนวนที่เตรียมไว้เท่านั้น บางครั้งก็ไม่เป็นเลย ทั้งนี้ก็เนื่องจากขั้นตอนการลงของกายสิทธิ์นั้น เราไม่สามารถไปกำหนดบังคับกะเกณฑ์ได้ คงต้องแล้วแต่ความเหมาะสมที่ท่านจอมเทพจะพิจารณา และขึ้นอยู่กับความสมัครใจของเหล่ากายสิทธิ์นั้นๆ ที่ต้องการจะลงมาเพื่อช่วยพระศาสนา และสร้างบารมีร่วมกับผู้ที่จะได้เป็นเจ้าของคดนั้นนั่นเอง
แต่มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งก็คือ ทั้งคดขนุนสีทองคำและคดขนุนสีทองชมพูนุทมักจะเกิดในคราวเดียวกัน และมีจำนวนพอๆ กันอีกด้วย นับเป็นเรื่องที่แปลกมหัศจรรย์มาก
ในขั้นตอนที่กายสิทธิ์ลงแล้วนั้น เราจะต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก เรียกว่าต้องดูแลประคบประหงมเป็นพิเศษ เปรียบเสมือนการดูแลรักษาทารกแรกเกิดให้เติบโตขึ้นมาทีละน้อยๆ หากเกิดการผิดพลาดเช่นทำภาชนะที่ใส่หลุดมือตกลงพื้น คดขนุนที่เห็นว่าเป็นทองคำแล้วนั้นก็จะอันตรธานกลายเป็นไอ หายไปต่อหน้าต่อตาเลยทีเดียว เหมือนกับการหุงปรอทหรือเหล็กไหลอย่างไรอย่างนั้น คือห้ามทำหล่นในขณะที่ขั้นตอนทุกอย่างยังไม่เสร็จสิ้นนั่นเอง สรุปแล้วกว่าจะได้คดขนุนมาแต่ละเม็ดต้องใช้เวลานานนับเดือน บางเดือนไม่ได้เลยก็มี
สำหรับคดขนุนแบบที่มีเยื่อหุ้ม (รก) ติดอยู่ยิ่งยากขึ้นไปอีก เพราะต้องระมัดระวังไม่ให้เยื่อขาดหรือหลุดออกจากเมล็ด การควบคุมอุณหภูมิ (ฟักในตู้เย็น) ป้องกันแสงสว่าง และควบคุมสภาพแวดล้อมจะต้องกระทำอย่างระมัดระวัง ซึ่งเทคนิคเคล็ดลับการดูแลในระยะต่างๆ มีขั้นตอนและรายละเอียดมาก
บางท่านที่ได้ไปก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่า ข้างในคดขนุนจะเป็นทองทั้งเมล็ดหรือไม่ หรือเป็นทองแต่เพียงเฉพาะผิวด้านนอกเท่านั้น เมื่อความสงสัยมีมากขึ้นๆ ก็เลยเอาเลื่อยมาผ่าคดขนุนที่ได้มานั้นดู ปรากฏว่าข้างในก็มีลักษณะตันทั้งเมล็ด บางรายลองเอาไปขัด-ฝนดูเนื้อใน ก็ปรากฏว่าสีสันข้างในก็เหมือนกันกับข้างนอกทุกประการ
สำหรับคนที่นำคดขนุนไปผ่าดูเนื้อใน ต่อมาไม่นานปรากฎว่านิ้วชี้ของท่านโดนใบเลื่อยยนต์ตัดนิ้วเกือบขาดเลยครับ หลวงป๋าท่านรู้ข่าวถึงกับสั่งห้ามทุกคนเอาไปพิสูจน์อีกเป็นอันขาด เพราะถ้าคนบุญไม่มากก็อาจถึงตายครับ เทวดานะครับไม่ใช่มนุษย์ ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก เขาตรงไปตรงมา ทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ
ผมมีคดขนุนอยู่เม็ดหนึ่งเก็บไว้นานแล้ว ปรากฏว่าเยื่อหุ้มเขาเปลี่ยนเป็นผิวสีคล้ำดำไม่สวย ผมเลยไปให้พระท่านนำกลับไปทำพิธีใหม่ โดยขอให้ท่านพระวิษณุกรรมเอาเยื่อมาหุ้มคดให้ใหม่จะได้สวยๆ เชื่อไหมท่านก็มาทำให้ใหม่จริงๆ ซะด้วย แต่วันไปรับคดขนุนกลับมาโดนท่านฝากดุมาว่า "ไอ้อู๋นี่มันยุ่งจริงๆ มันถึงบวชยาก" 555 แต่คนอื่นอย่าไปทำอย่างผมนะครับ ดูรูปซิครับทำมาใหม่ซะสวยเลย
สรุปว่าคดขนุนทองคำที่เทวดาท่านสร้างนั้น ท่านสร้างไว้อย่างสมบูรณ์จริงแท้แน่นอนทุกประการ และขอท่านอื่นๆ อย่าได้เอาคดขนุนไปผ่าแบบนี้ หรือไปขัด-ฝนดูเนื้อในหรือเอาไปทดลองยิงอีกเลย พอเห็นหรือดูด้วยตาเปล่า ก็รู้ว่าเป็นของแท้อยู่แล้ว ก็ควรจะพอใจได้แล้ว เพราะการกระทำที่ไม่สมควรหรือลบหลู่แก่ธาตุกายสิทธิ์เทพประทานเช่นนี้ ก็ย่อมมีผลตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
การค้นพบคดขนุนทองคำที่วัดหลวงพ่อสดฯ ครั้งนี้ ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีและเป็นเรื่องมหามงคลอย่างยิ่ง เพราะนับเป็นครั้งแรกของประเทศไทยและของโลก ที่เกิดคดขนุนธาตุกายสิทธิ์เทพประทานอันศักดิ์สิทธิ์สำคัญแบบนี้ขึ้นมา พวกเราซึ่งเป็นพุทธศาสนิกชน ก็น่าจะใช้โอกาสอันเป็นมงคลนี้ร่วมทำบุญสร้างพระมหาเจดีย์สมเด็จฯ กันอย่างพร้อมเพรียง มีมากก็ทำมากมีน้อยก็ทำน้อย และจะเป็นการร่วมแรงร่วมใจกันระหว่างเทพยดาและมนุษย์ ที่จะบำรุงรักษาค้ำชูพระพุทธศาสนา ให้ดำรงอยู่อย่างมั่นคงตราบนานเท่านานในแผ่นดินทองของพวกเราแห่งนี้
เรื่องเล่าจากผู้ที่ได้คดขนุนไปจาก : Facebook of Angie Sampoltong posted to WatLuangPhorSodh - ธันวาคม 2012
เทวดามาช่วยรักษา
มีเรื่องมาเล่าให้ฟังค่ะ พอดีได้โอกาสไปเยี่อมคุณพ่อของเพื่อนที่โรงพยาบาล คุณพ่อเค้าเป็นโรคมะเร็งระยะที่สอง รักษาสารพัดวิธี ใช้สารเคมีมาก เมื่อเดือนก่อนไปทีนึง ต้องใช้คำว่าอาการบางตายเพราะแก่มากแล้ว เพื่อนยังพูดว่าทำใจแล้ว แต่เพื่อนได้ไปทำบุญกับหลวงป๋า หลวงป๋าให้คดขนุนมา (แต่เราก็ไม่รู้ว่าเพื่อนได้เล่าอาการของพ่อให้ฟังหรือยัง) เพื่อนก็นำคดขนุนนั้นมาให้คุณพ่อสวมใส่ห้อยคอที่โรงพยาบาล อธิษฐานให้ช่วยรักษาตัวให้คุณพ่อหายไวๆ หรือไม่ก็ไม่ต้องทรมานมากนัก
เมื่อวานไปเยี่ยมมา ปรากฏว่าอาการดีขึ้นมาก สีหน้าผ่องใส คุณพ่อของเพื่อนยังเล่าว่า เห็นเทวดาหนุ่มๆ มาคอยดูแล มาดูแม้กระทั่งคอยจับเม็ดยาทีละเม็ดๆ ก่อนจะป้อนเข้าปาก โดยที่คนอื่นๆมองไม่เห็น มีแต่คุณพ่อที่ห้อยคตขนุนอยู่เห็นคนเดียว คุณหมอที่รักษายังว่า มะเร็งเหมือนแห้งไปเอง ไม่ต้องผ่าตัด จึงคุยกันว่า คตขุนุนมีอานุภาพรักษาสุขภาพด้วย เพราะแม่ของเพื่อนอีกคน ก็มีอาการปวดหลังบ่อย ห้อยคตขนุนแล้วหายปวดถาวรเช่นกัน
เห็นเทวดา
เมื่อประมาณเดือนมีนาคม 2556 ผมพบกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง (คุณพูนศักดิ์ ทองใย) ที่วัดหลวงพ่อสด คุยเรื่องบุญกันหลายเรื่องก็วกกลับมาที่ใครพกอะไรมากันบ้าง ท่านนี้เล่าว่าท่านต้องเอาคดขนุนติดไว้ในกระเป๋าเสื้อตลอดเวลา ท่านบอกว่ามีคดขนุนอยู่ด้วยแล้วอุ่นใจเพราะเวลาเดินทางไป
ไหนๆ โดยเฉพาะตอนขับรถคนเดียว มักจะมีคนชอบมาถามภายหลังว่าขับรถไปกับใคร เห็นชายหนุ่มแต่งชุดขาวนั่งคู่ไปกับท่านตลอดเลย ผู้ใหญ่ท่านนี้เล่าไปก็หัวเราะไปด้วยความสุขใจ เพราะผมเคยบอกท่านไปว่าในคดขนุนเขามีเทวดาหนุ่มรักษาอยู่ ท่านเลยดีใจทุกครั้งที่คนชอบมาถามว่า "ขับรถไปกับใคร เด็กหนุ่มๆ คนนั้นน่ะ"
ทำคดหล่นหายเทวดานำมาคืน
ทำคดขนุนทองคำ (วัดหลวงพ่อสด) หล่นหายท่านพระอินทร์นำกลับมาส่งคืน (บันทึกเมื่อ 5 พ.ย.58)
เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณฐานเทพ ลิ้มสว่างวงศ์ ท่านได้เล่าเพื่อบันทึกไว้ดังนี้ (รูปคดขนุนทองคำที่เลี่ยมกรอบทองคือคดขนุนที่คุณฐานเทพทำหล่นหาย) ประสบการณ์ของทิดฐานเทพ ลิ้มสว่างวงศ์ เกี่ยวกับคดขนุนทองคำ มีดังนี้......
มีเรื่องจริงจะเล่าให้ฟังครับหลวงพี่ (พระมหาชัยนิพจน์) ผมทำคดขนุนทองคำหาย หายไปตอนไหนก็ไม่รู้ ผมมั่นใจว่าหายนอกบ้าน เพราะผมห้อยไว้ที่กระเป๋าสะพายครับ!
ผ่านไปประมาณ 2 เดือน ผมฝันว่า มีพราหมณ์ชุดขาวมาบอกว่า "ท่านท้าวสักกะเทวราชไปเจอคดขนุนทองคำของท่านถูกมอไซด์รับจ้างเก็บได้ เค้ากำลังจะเอามาขายที่ร้านทอง (คือผมเลี่ยมทองแล้วยังฝังเพชรด้วยครับ!)
ท่านว่าตอนนี้ คดขนุนทองคำได้กลับมาวางอยู่ที่หน้าพระประธานที่บ้านผมเรียบร้อยแล้ว" ผมออกไปดูที่หน้าพระประธานที่บ้าน ก็ปรากฏว่ามีมาวางอยู่ตรงนั้นจริงๆ
ผมถามคนในบ้านว่า "มีใครเก็บคดขนุนทองคำของผมมาวางเอาไว้ตรงหน้าพระประธานมั้ย?" คำตอบคือไม่มีใครรู้เรื่องเลยครับ!
อัศจรรย์บารมีท่านท้าวสักกะโดยแท้ครับ......
ผมเคยพูดไว้หลายครั้งแล้วว่าคดขนุนทองคำของวัดหลวงพ่อสด คือคดอันดับหนึ่งที่มีอานุภาพสูงที่สุด เป็นของที่หาได้ยากก็เพราะมนุษย์ทำไม่ได้ เป็นของที่ท่านจอมเทพท้าวสักกะเทวราชสร้างให้เพื่อการสร้างพระมหาเจดีย์ ท่านจึงประทานคดขนุนนี้มาให้พวกเรา ซึ่งก็ไม่มีในที่อื่นเลยนอกจากที่วัดหลวงพ่อสดเท่านั้น คดนี้เป็นของกายสิทธิ์หนึ่งเดียวในโลก การเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ในสิ่งที่ผมพูดครับ


 --------------------------------------
ด้านล่างเป็นเอกสารจากทางวัดครับ


การเกิดหรือกําเนิดของพระธาตุกายสิทธิ์เทพประทาน พิมพ์ “พระเจ้าชัยวรมัน” หรือ “พระพุทธชัยมงคล”และ “กําไลสิทธิโชค”
โดย พระเทพญาณมงคลวิ. (เสริมชัย ชยมงคโล) เจ้าอาวาส วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดําเนินสะดวก จ.ราชบุรี
ดังได้สดับและเรียนรู้มาจากบูรพาจารย์ผู้ล่วงลับไปแล้ว ผู้สืบทอดวิชา (โลกียวิชา) อัญเชิญ “เจ้าแม่ธรรมชาติพญาเหล็ก” ให้มาเกิดเองในบาตร หรือ ในภาชนะ หรือ สถานที่ที่ กําหนดให้ ในรูปแบบของ “พระพุทธรูป” หรือ “พระโพธิสัตว์” และ/หรือ ในรูปอื่นๆ ตาม อธิษฐานปรารถนา นั้น
ได้ทราบว่า แต่เดิมเกิดแต่เวทมนตร์ พรหมมนตร์ เทพมนตร์ อันฤาษีผู้ทรงฌาน - ทรงอภิญญา ได้ประกอบพิธีอธิษฐานเรียกอาโปธาตุ ธาตุน้ํา) ปฐวีธาตุ ธาตุดิน) เตโชธาตุ (ธาตุไฟ) และวาโยธาตุ ธาตุลม) จากพรหมโลก – เทวโลก- มนุษย์โลก และจากยมโลก มา ประกอบเป็น “ธาตุกายสิทธิ์” ชื่อว่า “เจ้าแม่ธรรมชาติพญาเหล็ก หรือ เหล็กไหล” ซึ่งมีหลาย ชนิด และทรงฤทธานุภาพตามแต่ฤาษีผู้ประกอบพิธีได้อธิษฐานไว้ในถ้ําหรือตามป่าเขา ไว้ให้ เป็นเครื่องป้องกันภัยอันตรายแก่ผู้มีไว้ในครอบครอง ก่อนที่ท่านฤาษีผู้ทรงฌาน – ทรง อภิญญา นั้นจะกระทํากาละ (มรณภาพ) แล้วไปบังเกิดในพรหมโลก - เทวโลก หรือมนุษย์โลก ต่อไป ตามสมควรแก่ภพภูมิของท่าน
ผู้ได้สืบทอดวิชา (โลกียวิชา) นี้ต่อๆ มาถึงกาลเสด็จอุบัติขึ้นของสมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เรียนรู้พระธรรมคําสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็อาศัยพระพุทธมนตร์ อันเป็นบทร้อยกรองจากพระธรรมมาย่อร้อยกรองเป็น “มนตร์”และ/หรือ เป็น “เลขยันต์ ร่วมกับพรหมมนตร์ เทพมนตร์ ที่เคยมีมาแต่เดิม เป็น “พระคาถา” และ/หรือ “เลขยันต์” อัน ศักดิ์สิทธิ์ ไว้ป้องกันตัว และเพื่อความเป็นสิริมงคล และ/หรือ ใช้อัญเชิญเจ้าแม่ธรรมชาติ
พญาเหล็ก (เป็นธาตุกายสิทธิ์ หรือ เหล็กไหลชนิดหนึ่ง) แล้วบูรพาจารย์ได้รวบรวมเรียบเรียง ขึ้นเป็นคัมภีร์เวทมนตร์ต่างๆ ใช้สืบทอดต่อๆ กันมา
ได้ยินมาว่าคัมภีร์เวทมนตร์ฉบับที่ใช้ประกอบพิธีอัญเชิญเจ้าแม่ธรรมชาติพญาเหล็ก หรือ ธาตุกายสิทธิ์ เหล็กไหลชนิดหนึ่ง นี้ ชื่อ “คัมภีร์พระร่วง” อันพระร่วงเจ้าทรงได้มาจาก พระเจ้าชัยวรมันผู้ครองอาณาจักรขอม และได้แผ่ขยายอาณาจักรอิทธิพล ศิลปวัฒนธรรมเข้า มาในประเทศไทย แล้วได้สืบทอดต่อๆ มาถึงเจ้าประคุณสมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว กรุง ศรีอยุธยา -เจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชสุก (ญาณสังวรมหาเถร) วัดราชสิทธาราม-เจ้า ประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆัง และถึงพระครูนิวาสธรรมขันธ์ (เดิม พุทธสรมหาเถร) วัดหนองโพธิ์ จังหวัดนครสวรรค์ และได้ถ่ายทอดลงมาถึงบูรพาจารย์ “ปู่ ผู้เป็นคฤหัสถ์ (ได้ล่วงลับไปแล้ว) และได้สืบทอดมาถึงอาตมาเมื่อประมาณ ๑๐ กว่าปีมาแล้ว ได้อัญเชิญธาตุกายสิทธิ์มาบังเกิดในบาตรในพิมพ์พระเจ้าชัยวรมันรุ่นต่างๆ ให้แก่ศิษยานุศิษย์ ผู้มาทําบุญบํารุงวัดหลวงพ่อสดธรรมกายารามอยู่อย่างเงียบๆ เป็นเวลาประมาณ ๒ ปี
ต่อมาความเรื่องนี้ได้ทราบถึงเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศราช วรมหาวิหาร กรรมการมหาเถรสมาคม และประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช องค์ปัจจุบัน ผู้เป็นพระอาจารย์ (พระกรรมวาจาจารย์) ของอาตมา ท่านไม่ประสงค์จะให้ อาตมาเด่นดังในทางนี้ จึงห้ามปรามด้วยความเมตตาห่วงใย อาตมภาพจึงหยุดทําไปเป็นเวลา ประมาณ ๔ - ๕ ปี จนต่อมาบัดนี้ กําลังก่อสร้างพระมหาเจดีย์สมเด็จฯเป็นที่ประดิษฐานพระ บรมสารีริกธาตุส่วนสําคัญของพระพุทธเจ้า ซึ่งต้องใช้ทุนทรัพย์เป็นค่าก่อสร้างมาก จึงขอคืน คํากับเทพยดาที่ได้ปฏิญาณไว้ก่อนว่าจะหยุดทํา เพื่อขอทําพิธีอัญเชิญพระพญาเหล็กนี้ไว้ แจกศิษยานุศิษย์ผู้ทําบุญบํารุงการให้การศึกษาอบรมเผยแผ่ และผู้ร่วมเป็นเจ้าภาพก่อสร้าง พระมหาเจดีย์สมเด็จฯ อย่างเงียบๆ อีก เพื่อช่วยเป็นทุนก่อสร้างพระมหาเจดีย์สมเด็จฯ มิให้ ขาดตอนจนกว่าการก่อสร้างพระมหาเจดีย์สมเด็จฯ จะเสร็จ
ส่วนกําเนิด คือ การเกิดขึ้นของพระ (พญาเหล็ก) ธาตุกายสิทธิ์ พิมพ์ “พระเจ้าชัยวร มัน” “พระพุทธชัยมงคล” และ “กําไลสิทธิโชค” ธาตุกายสิทธิ์ นี้ เนื่องด้วย “วิชา” นี้ ยังเป็น ที่หวงแหนของบูรพาจารย์ผู้เป็นเจ้าของวิชา ซึ่งมีทั้งที่เป็นพรหมและเทพยดา ผู้ไม่ประสงค์จะ ให้เปิดเผยวิชานี้แก่ชนทั่วไป แม้จะถ่ายภาพพิธีกรรมอัญเชิญก็มิให้ถ่ายทําภาพดังกล่าว ท่าน เจ้าของวิชาเขา(ท่าน)จะเลือกให้วิชานี้ และ/หรือ จะเมตตาประทานสิ่งอันเป็นมงคลให้ ก็แต่ เฉพาะผู้ที่เคยมีความสัมพันธ์ต่อกันโดยสายโลหิต หรือ ผู้ที่เคยร่วมบําเพ็ญบุญบารมีมา ด้วยกัน หรือผู้ที่เคยเป็นครู เป็นศิษย์กันมาก่อน และ/หรือ ผู้ทรงศีล ทรงธรรมเท่านั้น ตามพระพุทธดํารัสที่ตรัสไว้ว่า “วิเจยุย ทาน์ สุคตปปสตถ์ การเลือกให้ อันพระสุคตทรง สรรเสริญ” (ส.ส. ๑๕/๕๕/๓๐)
อาตมภาพจึงของดที่จะกล่าวถึงขั้นตอนการประกอบพิธีอัญเชิญไว้แต่เพียงเท่านี้
ความศักดิ์สิทธิ์เท่าที่ได้รับทราบจากผู้มีประสบการณ์ ปรากฏแก่ผู้มีไว้ใน
ครอบครอง คือ
  • (๑) เป็นคุณเครื่องป้องกันอันตรายตามพระพุทธดํารัสที่ตรัสไว้ว่า “ธมโม หเวรกุข
    ติ ธมมจารี ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม” เป็นที่ประจักษ์มาแล้วมาก
    ราย
  • (๒) เนื่องด้วยมีเทพยดาผู้เมตตาให้เกิด/เป็นขึ้นนั้นด้วยจึงช่วยให้ผู้มีไว้ใน
    ครอบครอง ผู้มีศีล มีธรรม ให้มีความเจริญในหน้าที่การงานและการ ประกอบสัมมาอาชีวะทั้งหลาย ตามอธิษฐานปรารถนาโดยชอบตามสมควร แก่วาสนาบารมีและภูมิธรรมอีกด้วย
  • (๓) โดยเฉพาะ “กําไลสิทธิโชค” นั้น ได้ยินจากประสบการณ์ของผู้มีไว้ใน
    ครอบครองว่า อธิษฐานดีๆ แล้วปรากฏว่าลูกค้า “เข้าร้านตรึม” ทีเดียว นี้คือ
    อานุภาพของ “กําไล กําไร”
  • (๔) อย่าลืมเวลาทําบุญแล้ว อุทิศส่วนกุศลให้เทพผู้สถิตอยู่ดูแลรักษาด้วยก็แล้วกัน
สําหรับผู้ที่มีจิตศรัทธาร่วมสร้างพระมหาเจดีย์สมเด็จฯ รายละ 50,000 บาท จะ ได้รับพระ (พญาเหล็ก) ธาตุกายสิทธิ์ พิมพ์ “พระเจ้าชัยวรมัน” รายละ 1 องค์ ผู้ที่มี จิตศรัทธาร่วมสร้างพระมหาเจดีย์สมเด็จฯ รายละ 40,000 บาท จะได้รับพระ (พญาเหล็ก) ธาตุกายสิทธิ์ พิมพ์ “พระพุทธชัยมงคล” รายละ 1 องค์ และผู้ที่มีจิตศรัทธาร่วมทําบุญ การอบรมเผยแผ่ธรรม รายละ 1,500 บาท จะได้รับ “กําไลสิทธิโชค” ธาตุกายสิทธิ์ ราย ละ 1 วง จนกว่าการสร้างพระมหาเจดีย์จะแล้วเสร็จ
ท่านสามารถติดต่อเพื่อร่วมทําบุญสร้างพระมหาเจดีย์สมเด็จฯ และขอชมพระ (พญา เหล็ก) ธาตุกายสิทธิ์ พิมพ์ “พระเจ้าชัยวรมัน” “พระพุทธชัยมงคล” และ “กําไลสิทธิโชค” ธาตุกายสิทธิ์ นี้ ได้ที่ประชาสัมพันธ์ วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ริมถนนสายบางแพ ดําเนินสะดวก กม.ที่ 14 ต.แพงพวย อ.ดําเนินสะดวก จ.ราชบุรี 70130 โทรศัพท์ 083-032 8907, 086-306-0920 , 086-306-0921, 086-306-0922 , 0-3274-5180 กดต่อ 220/191 หรือเข้า
เยี่ยมชมกิจกรรมของวัดได้ที่เว็บไซท์ http://www.dhammakaya.org


การเกิดหรือกําเนิดของ คดเม็ดขนุนธาตุกายสิทธิ์ทองคํา/ทองชมพูนุทเทพประทาน
หรือ ถ้ามีไว้ในครอบครองทั้งสองอย่าง จะเรียกชื่อว่า “คดเม็ดขนุนธาตุกายสิทธิ์ “สุริยัน จันทรา” ก็ได้
โดย พระเทพญาณมงคลวิ. (เสริมชัย ชยมงคโล) เจ้าอาวาส วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดําเนินสะดวก จ.ราชบุรี

ความเป็นมาของกําเนิดคดเม็ดขนุนธาตุกายสิทธิทองคํา/ทองชมพูนุท
เทพประทาน ก็มีนัยเดียวกันกับธาตุกายสิทธิ์ที่กล่าวข้างต้น
แต่เฉพาะที่เกิดขึ้นที่วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อําเภอดําเนินสะดวก จังหวัด ราชบุรี นี้ เข้าใจว่า เป็นด้วยพระเมตตาของท่านท้าวสักกะเทวราชที่ทรงประสงค์จะให้เกิดขึ้น เพื่อให้เป็นทุนในการก่อสร้างพระมหาเจดีย์สมเด็จฯ ไว้ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุส่วน สําคัญของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเพื่อช่วยสืบบวรพระพุทธศาสนาในช่วงกึ่ง พุทธกาล (2,500 ปี) หลังนี้ให้เจริญรุ่งเรืองและมั่นคงก่อนจะสิ้นพุทธกาลของสมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดมนี้ ท่านท้าววิษณุกรรมเทพบุตรเมื่อทราบเทวราชโองการจึง ประกาศข่าวนี้ และเข้าใจว่า ท่านสุริยเทพเมื่อทราบเทวราชประสงค์จึงช่วยอธิษฐานให้เม็ด ขนุนที่วัดหลวงพ่อสดธรรมกายารามส่วนหนึ่งกลายเป็น “คดเม็ดขนุนธาตุกายสิทธิ์ทอง ชมพูนุท” และท่านจันทิมเทพก็ช่วยอธิษฐานให้เม็ดขนุนที่วัดฯอีกส่วนหนึ่งกลายเป็น “คดเม็ด ขนุนธาตุกายสิทธิ์ทองคํา” พอไว้แจกให้แก่ผู้ทําบุญบํารุงวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม และ เป็นทุนก่อสร้างพระมหาเจดีย์สมเด็จฯ

ผู้มีไว้ในครอบครองทั้ง ๒ ประเภท คือ คดเม็ดขนุนทองคําและทองชมพูนุท จะ เรียกชื่อว่า คดเม็ดขนุนธาตุกายสิทธิ์ “สุริยัน จันทรา” ก็ได้ และพึงทราบว่า ธาตุกายสิทธิ์ ทั้งหลายเหล่านี้มีเทพสถิตอยู่ดูแลรักษาอีกด้วยเท่าที่ทราบจากประสบการณ์ของผู้มีไว้ในครอบครอง ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ว่า มี อานุภาพสูงทุกด้าน เพราะสําเร็จด้วยเทพยดาผู้มเหสักข์ ได้แก่ ท่านท้าวสักกะเทวราชทาน ท้าววิษณุกรรมเทพบุตร ท่านสุริยเทพ และจันทิมเทพ และแม้ท่านท้าวเวสสุวรรณ อีกด้วย เป็นต้น ผู้ล้วนเป็นพระอริยเจ้าชั้นสูงทั้งนั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางด้านป้องกันอันตรายนั้น มีอานุภาพสูงยิ่งนัก ที่ จะมีอานุภาพสูงเท่าเทียมกัน ก็เห็นจะมีแต่เหล็กไหลโกฏิปีสีปีกแมลงทับเท่านั้น ส่วน ทางด้านมหาอํานาจ มหาเมตตา และมหาลาภ นั้น ก็ได้ยินข่าวจากผู้มีไว้ในครอบครองว่า มี อานุภาพสูงมากด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “หนุนดวง - หนุนฐานะ” อนึ่ง คดเม็ดขนุน ทองชมพูนุทนั้นจะหนักทางด้านมหาอํานาจ ส่วนคดเม็ดขนุนทองคํานั้นจะหนักทางด้าน เมตตา เพราะเหตุนั้น หากผู้ใดมีไว้ในครอบครองครบคู่เป็นคดเม็ดขนุนทองคําธาตุกายสิทธิ์ เทพประทาน “สุริยัน จันทรา” แล้ว จัดว่ามีอานุภาพครบเครื่องเต็มสูตรทีเดียว จึงเป็น อุดมมงคลอย่างยิ่งแก่ผู้มีไว้ในครอบครอง ผู้ทรงศีล – ทรงธรรม สมตามพระพุทธดํารัสตรัส ไว้ว่า “ธมโม หเวรกุขติ ธมมจารี - ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม”นั้นเอง
อย่าลืม เวลาบําเพ็ญบุญกุศลแล้ว อุทิศส่วนกุศลให้เทพผู้สถิตอยู่ด้วย – ช่วย คุ้มครองรักษาเราด้วย ก็แล้วกัน
สําหรับผู้ที่มีจิตศรัทธาร่วมสร้างพระมหาเจดีย์สมเด็จฯ รายละ 300,000 บาท และ/หรือ ร่วมทําบุญซื้อที่ดินเพื่อถมที่รอบพระมหาเจดีย์สมเด็จฯ รายละ 300,000 บาท ขึ้นไป จะได้รับคดเม็ดขนุนธาตุกายสิทธิ์ทองคํา/ทองชมพูนุท ราย

ละ 1 องค์ และตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จนถึง วันวิสาขบูชาปี พ.ศ.2556 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทย ของเราร่วมจัดงานพุทธชยันตีเฉลิมฉลองการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าครบ 2,600 ปี ผู้ที่ ทําบุญร่วมเผยแผ่ธรรม 900,000 บาท ขึ้นไป ก็จะได้รับคดเม็ดขนุนธาตุกายสิทธิ์ ทองคํา/ทองชมพูนุท รายละ 1 องค์ (เป็นกรณีพิเศษ)
ท่านสามารถติดต่อเพื่อร่วมทําบุญสร้างพระมหาเจดีย์สมเด็จฯ และขอชมคดขนุน ทองคํานี้ได้ที่ประชาสัมพันธ์ วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ริมถนนสายบางแพ-ดําเนิน สะดวก กม.ที่ 14 ต.แพงพวย อ.ดําเนินสะดวก จ.ราชบุรี 70130 โทรศัพท์ 083-032-8907, 086-306-0920 , 086-306-0921, 086-306-0922, 0-3274-5180 กดต่อ 220/191 หรือเข้าเยี่ยมชม
กิจกรรมของวัดได้ที่เว็บไซท์ http://www.dhammakaya.org


ติดตามบทความใหม่ๆ คลิก dhammakaya.tv

พระกริ่งเขมรทองคำของหลวงป๋า โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋)


พระกริ่งเขมรทองคำของหลวงป๋า โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋)
วันหนึ่งหลวงพ่อภาวนาโกศลเถระ (วีระ คณุตตโม) วัดปากน้ำภาษีเจริญผู้ถ่ายทอดวิชชาธรรมกายให้แก่หลวงป๋า ได้ใช้ให้ลูกศิษย์ชื่อคุณทองหล่อ นำน้ำมนต์ของท่านไปที่ท้องนาของจังหวัดหนึ่งซึ่งจุดนั้นกำลังจะถูกน้ำท่วม เพราะทางกรมชลประทานจะใช้บริเวณนั้นเป็นเขื่อนเก็บน้ำ ท่านบอกว่าต้องรีบไปเพราะเดี๋ยวน้ำจะท่วมแล้วจะไม่สามารถทำการได้ ท่านสั่งว่าเมื่อไปถึงจุดนั้นก็ให้เอาน้ำมนต์นี้ไปเทลงบนพื้นดินให้รอบ เมื่อเทเสร็จก็ให้ขุดดินตรงจุดนั้น คุณทองหล่อก็ทำตามที่ท่านสั่งทุกขั้นตอนโดยขุดดินลงไปเพียง 1 เมตร ก็ไปพบกับหินทรายซึ่งถูกแกะสลักให้เหมือนกับฝาปิด เมื่อเปิดฝาหินออกมาก็เห็นผอบดินเผาอยู่ด้านใน เมื่อเปิดผอบออกมาก็เห็นพระกริ่งองค์หนึ่งเก่าแก่มาก ผิวเต็มไปด้วยขี้ดินและหินสีพระออกสนิมเขียวติดอยู่จนมองไม่เห็นผิวเดิม องค์พระจุดที่ขุดเจอนี้ก็คือบริเวณยอดหลังคาของ "อโรคยาสถาน" ซึ่งเป็นสถานพยาบาลของคนเดินทางของพวกขอมโบราณ เป็นเส้นทางที่พวกขอมใช้เดินทางเพื่อค้าขายและการปกครองในดินแดนแถบนี้คาด ว่าอโรคยาสถานนี้สร้างในยุคสมัยของพระชัยวรมันที่ 7
ญาณทรรศนะของหลวงพ่อภาวนานี้นับว่ามีความแม่นยำมาก เพราะจุดที่ท่านสั่งการให้ไปนั้นท่านจะบอกลักษณะของสถานที่โดยละเอียด แม้ท่านยังไม่เคยไปแต่ก็บอกเส้นทางลักษณะของสถานที่ได้อย่างถูกต้องทุก ประการ ทำให้การเดินทางเพื่อค้นหาสถานที่และขุดหาของทำได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังมอบน้ำมนต์ไปเทก่อนขุดเพื่อป้องกันไม่ให้ของนั้นถูกเคลื่อนย้ายหนีไป อีกด้วย (ผู้ทำหน้ามี่เฝ้าสมบัติมักไม่ยอมให้เพราะเฝ้ามานานจนเกิดความหึงหวงสมบัติ นั้น) เมื่อคุณทองหล่อได้พระมาตามสั่งก็รีบนำกลับมาให้แก่หลวงพ่อภาวนา หลวงพ่อภาวนาบอกว่าไม่ต้องเอามาให้ท่านแต่ให้รีบเอาไปคืน "เจ้าของ" ซึ่งก็คือหลวงป๋าวัดหลวงพ่อสดของพวกเรานั่นเอง
หลวงพ่อภาวนาบอกว่าองค์นี้เป็นพระกริ่งทองคำองค์ที่ 4 และเป็นองค์สุดท้าย ส่วนองค์อื่นๆ นั้นถูกขุดเอาพระไปอยู่กับคนอื่นหมดแล้ว เพราะอโรคยาสถานแบบนี้มีทั้งหมด 4 แห่งแล้วก็บรรจุพระแบบนี้เหมือนกัน เมื่อหลวงป๋าท่านได้มาแล้วท่านก็นำพระไปล้างน้ำ คราบกรุติดเต็มทั้งองค์เห็นแต่สนิมเขียวและเศษขี้ดิน แต่เมื่อค่อยๆ ล้างออกมาจนเห็นผิวองค์พระก็ต้องตกตะลึง เพราะเป็นพระกริ่งทองคำแท้ ศิลปะการสร้างก็งดงามละเอียดลออ องค์พระสวยงามสมบูรณ์ดีทั้งองค์ ถือเป็นพระที่สวยงามที่สุดของยุคสมัยนั้นองค์หนึ่ง
ต่อมาหลวงป๋าท่านจึงได้สร้างพระกริ่งชัยวรมันที่ 7 เพื่อเป็นการย้อนระลึกถึงการสร้างพระกริ่งทองคำแบบองค์ที่ได้มานี้ด้วยเนื้อ พญาเหล็กไหล (เป็นการสร้างย้อนยุค) และต่อมาท่านพญาสุทธิสุทโธนาคราชก็ได้นำพระชัยวรมันที่ 7 องค์ใหญ่ ขนาดหน้าตักประมาณ 16 นิ้วมาถวายหลวงป๋า โดยต้องไปนำมาจากถ้ำแห่งหนึ่งในจังหวัดสกลนคร คาดว่าในสมัยนั้นมีการสร้างรูปเหมือนของพระชัยวรมันที่ 7 ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ถ้าใครอยากรู้ว่าพระชัยวรมันที่ 7 มีใบหน้าอย่างไรก็ให้ดูได้จากใบหน้าของพระองค์นี้

หลวงพ่อภาวนาตามพระคู่บารมีเนื้อทองคำและนากมาให้หลวงป๋า โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋)

หลวงพ่อภาวนาตามพระคู่บารมีเนื้อทองคำและนากมาให้หลวงป๋า โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋)
จะมีใครรู้บ้างว่ามีพระสำคัญในโบสถ์ของวัดหลวงพ่อสดอยู่ 2 องค์ คือพระทองคำและพระนากนั้นได้มาเพราะฝีมือของหลวงพ่อภาวนาโกศลเถระ (วีระ คณุตตโม) อดีตพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาของวัดปากน้ำภาษีเจริญ เมื่อหลวงป๋าได้เรียนวิชชาธรรมกายจากหลวงพ่อภาวนาแล้วก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์ ของท่านเต็มตัว ดังนั้นหลวงพ่อท่านจึงได้ตรวจดูว่าจะช่วยเหลือหลวงป๋าในการสร้างบารมีได้ อย่างไรบ้าง ก็ปรากฏว่าเมื่อท่านได้ใช้ญาณทัศนะในวิชชาธรรมกายตรวจดูจนรู้ว่า ในอดีตชาตินั้นหลวงป๋าท่านได้สร้างพระที่สำคัญเอาไว้ แต่ตอนนี้พระไม่ได้อยู่ในประเทศไทย พระท่านกระจัดกระจายอยู่ในแถบเมืองเชียงตุงในเขตแดนของพม่า
ดังนั้นเพื่อให้หลวงป๋าได้พระที่สำคัญกลับคืนมา หลวงพ่อภาวนาท่านจึงได้ใช้วิชชาธรรมกาย "ตะล่อม" (วางผังสำเร็จ) เพื่อให้พระเดินทางกลับมาสู่ประเทศไทย โดยอาจเป็นการดลใจให้เจ้าของถวายหรือปล่อยให้เช่าต่อๆ กันมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จนกระทั่งพระที่สร้างด้วยเนื้อนากได้เดินทางมาถึงจังหวัดแถวเชียงใหม่หรือ ลำพูน หลวงพ่อภาวนาท่านก็รีบแจ้งให้หลวงป๋า (ตอนนั้นหลวงป๋าท่านยังไม่ได้บวช) ให้รีบขึ้นไปที่ร้าน.....ซึ่งเป็นร้านรับซื้อขายพระและของเก่าต่างๆ หลวงพ่อภาวนาท่านจะบอกรายละเอียดที่อยู่พร้อมกับรูปร่างและขนาดของพระอย่าง ละเอียด เมื่อหลวงป๋าเดินทางไปจนถึงจุดที่หลวงพ่อภาวนาบอก ก็สามารถเจอะเจอพระนากขนาดหน้าตักประมาณ 17 นิ้ว และสามารถบูชามาได้อย่างง่ายดาย โดยหลวงป๋าทำทีว่าไม่รู้ว่าพระองค์นี้มีความสำคัญ แกล้งติโน่นต่อนี่เพื่อให้ผู้ขายลดราคาลงมา คนขายก็ตกลงขายให้แบบงงๆ ท่านจึงได้พระมาในราคาที่ไม่แพงเลย ถ้าคนขายรู้ว่าพระองค์นี้เป็นพระเก่าแก่และหล่อขึ้นด้วยเนื้อนากทั้งองค์ ต่อให้มีเงิน 1 ล้านบาทเขาก็คงไม่ปล่อยให้บูชามาได้
เมื่อได้พระองค์แรกมาแล้วหลวงพ่อภาวนาก็ "ตะล่อม" พระทองคำมาอีก คราวนี้องค์พระท่านได้เดินทางเข้ามาสู่ประเทศไทยที่จังหวัดเชียงราย พอพระเดินทางมาถึงหลวงพ่อภาวนาก็รีบโทรศัพท์บอกหลวงป๋าให้ขึ้นไปรับมาทันที เมื่อไปถึงร้านนั้นแล้วก็มองไม่เห็นพระทองคำ ทั้งนี้เพราะเจ้าของเดิมเขาหวงพระองค์นี้มากจึงได้เอาสีดำด้านๆ ทาไว้ทั้งองค์ดูจากภายนอกไม่มีความสวยงามเลย ใครเห็นก็ไม่สนใจเพราะคิดว่าเป็นพระธรรมดาไม่มีค่าอะไร แต่หลวงป๋าท่านรู้ได้เพราะลักษณะรูปร่างและขนาดตรงตามที่หลวงพ่อภาวนาบอกไว้ ไม่มีผิด
หลวงป๋าท่านจึงสามารถบูชาพระทองคำแท้องค์ใหญ่ขนาดหน้าตักประมาณ 19 นิ้วมาในราคาที่ไม่แพงเลย เนื่องจากพ่อค้าเขาก็ไม่รู้ว่าพระองค์นั้นคือพระทองคำอันล้ำค่าทั้งองค์ เมื่อได้มาแล้วลองขูดเนื้อดูก็รู้ว่าเป็นพระทองคำแท้ ขอบอกไว้นิดหนึ่งว่าปัจจุบันนี้ถ้าเราจะสร้างพระทองคำขนาด 9 นิ้วยังต้องใช้เงินสร้างไม่ต่ำกว่า 14 ล้านบาท แต่หลวงป๋าท่านสามารถบูชาพระองค์นี้มาได้ในราคาเพียงไม่กี่หมื่น มันเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ไหมครับ แต่มันก็เป็นไปแล้วเพราะว่าพระองค์นี้เคยเป็นพระของหลวงป๋าท่านมาก่อนนั่น เอง...พระท่านจึงกลับมาหาเจ้าของด้วยฤทธิ์ของหลวงพ่อภาวนา
ที่จริงหลวงป๋าท่านจะต้องได้พระมาอีก 1 องค์ คือพระเงินน้องเล็ก เพราะในอดีตท่านได้สร้างไว้เป็นพระ 3 พี่น้อง คือพระทองคำ พระนาก และพระเงิน แต่เนื่องจากพระเงินยังอยู่กับคุณแม่ชีผู้มีบารมีท่านหนึ่งแถบจังหวัด นครสวรรค์หรือพิษณุโลกนี่แหละ เจ้าของหวงแหนมาก แต่สักวันหนึ่งก็คงจะได้กลับมาอยู่รวมกันเป็นพระ 3 พี่น้อง ทองคำ นาก เงิน เหมือนกับในอดีตที่ผ่านมา
บางคนชอบพูดว่าพวกที่นั่งสมาธิแล้วเห็นโน่นเห็นนี่ ไม่รู้ว่าคิดเห็นไปเองหรือเปล่า แต่ถ้าเขาเหล่านั้นได้มาทราบเรื่องที่หลวงพ่อภาวนา ได้ตรวจไปถึงอดีตชาติของหลวงป๋า แล้วยังได้รู้ว่าพระที่หลวงป๋าสร้างไว้นั้นยังอยู่ในโลก ท่านยังสามารถทำวิชชาให้พระเดินทางมาจากนอกประเทศให้เข้ามาในไทยเพื่อที่ หลวงป๋าจะสามารถเดินทางขึ้นไปรับมาได้อีก แล้วหลวงพ่อภาวนาท่านยังสามารถระบุรายละเอียดของสถานที่ที่พระนั้นอยู่ได้ อย่างถูกต้องแม่นยำ ญาณทัศนะและสิทธิอำนาจในวิชชาธรรมกายจึงเป็นของจริงที่ทั้งรู้และทั้งเห็น ทั้งสามารถทำได้จริงอีกด้วย
มาในชาตินี้หลวงป๋าท่านก็ยังได้พระ 3 พี่น้อง 3 เนื้อชุดใหม่อีก แต่ครั้งนี้ผม (อู๋) และเหล่าญาติมิตรได้เป็นคนสร้างถวายท่าน โดยสร้างขึ้นมาด้วยเนื้อธาตุกายสิทธิ์คือเหล็กไหลวัชรธาตุ เหล็กไหลช่อทิพย์เงินยวง และเหล็กไหลสุริยันราชา และได้นำถวายท่านไปแล้วเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2559 เอาไว้ชาติหน้าพวกเราคงจะได้สร้างพระสามพี่น้องถวายหลวงป๋ากันอีกนะครับ
(เพิ่มเติม) วันหนึ่งมีสามเณรรูปหนึ่งได้เข้าไปนั่งสวดมนต์นั่งสมาธิในโบสถ์ของวัดหลวง พ่อสด ตอนนั้นคงจะเป็นเวลาบ่ายแก่ๆ สามเณรนั่งสมาธิไปนานเข้าก็เริ่มง่วงตามประสาเด็ก นั่งโงกไปโงกมาจะหลับแหล่มิหลับแหล่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เพราะมีพระองค์หนึ่งมายืนอยู่ข้างหน้าสามเณรแล้วเอามือเขกศีรษะเณรดังโป้ก เณรหายง่วงเลยลืมตาขึ้นมาดูว่าพระที่ไหนมาเขกศีรษะ มองขึ้นไปยิ่งตกใจใหญ่เพราะเห็นเป็นหลวงพ่อนากซึ่งอยู่ในตู้กระจกของโบสถ์ ท่านออกมายืนอยู่ตรงหน้าได้อย่างไร สามเณรองค์นั้นถึงกับร้องลั่นออกมาด้วยความตกใจพร้อมกับหงายหลังล้มลงไปเลย พอลุกขึ้นมาได้ก็วิ่งโกยออกจากโบสถ์ไปด้วยความตกใจสุดขีด พอไปเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังคนฟังก็อดขำไม่ได้ถึงความขี้เล่นของหลวงพ่อนาก องค์นี้
ที่จริงก่อนหน้านี้ก็มีเรื่องเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว ตอนที่ได้พระมาไม่นานสมัยนั้นหลวงป๋าท่านยังไม่ได้บวช ท่านมีความคิดว่าจะนำพระนากนี้ถวายแก่เจ้าอาวาสของวัดใหญ่มากแห่งหนึ่งที่ ตั้งอยู่ที่จังหวัดปทุมธานีเพื่อเอาบุญ เมื่อถวายพระนากไปแล้วทางวัดนั้นก็ให้คนมาทำการขัดผิวองค์พระเพื่อให้พระดู งดงามขึ้น ขณะที่คนนั้นกำลังขัดพระอยู่เพลินๆ ปรากฏว่านิ้วของหลวงพ่อนากท่านกระดุกกระดิกได้เอง คนนั้นเขาไม่ทันตั้งตัวเลยตกใจสุดขีด ดีดตัวเองลอยออกไปทางหน้าต่างของห้องนั้นแบบลืมคิดชีวิต ดีที่เป็นกุฏิชั้นเดียวถ้าสูงหลายชั้นคงเจ็บหรือตายแน่ หลวงพ่อนากองค์นี้ท่านศักดิ์สิทธิ์จริงแถมอารมณ์ดีขี้เล่นอีกด้วย แต่ท่านคงไม่อยากจะอยู่ที่วัดใหญ่แห่งนั้น เพราะต่อมาปรากฏว่าทางวัดได้ส่งพระมาคืนให้หลวงป๋า ถามดูเหตุผลเขาบอกว่า "พระคงอยากมาอยู่กับเจ้าของ"
----------------------------------------
หลวงพ่อภาวนาใช้อานุภาพของพระธรรมกายดับดาว
เล่าโดย เมธีกิตติ์ เล็ก
อานุภาพวิชชาธรรมกายของหลวงพ่อภาวนาโกศลเถระ (วีระ คณุตตโม) จากปากหลวงน้าสัมรินทร์ว่าสมัยที่หลวงพ่อภาวนาท่านอายุประมาณ 70 ปี มีครั้งหนึ่งได้ไปที่น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ พอตกกลางคืนคณะศิษย์ก็มานั่งล้อมวงคุยกับท่าน และพูดเชิงอยากเห็นอานุภาพพลังจิตของท่าน จึงพูดเชิงให้หลวงพ่อท่านลองดับรัศมีดวงดาวกลุ่มนี้ให้ดูสักหน่อย หลวงพ่อภาวนาท่านก็ตอบว่าจะไปดับทำไมแค่ดวงดาวกลุ่มนั้น มันต้องแบบนี้ซิ ท่านกล่าวพร้อมกับโบกมือไปในอากาศ ปรากฏว่ารัศมีของดวงดาวครึ่งหนึ่งของท้องฟ้าดับมืดไป คือสว่างครึ่งฟ้าและมืดไร้แสงดาวไปครึ่งฟ้า ปาฏิหาริย์นี้เกิดขึ้นยาวนานประมาณครึ่งชั่วโมงหลวงพ่อท่านจึงคลายพลังจิต ดวงดาวก็กลับมาส่องแสงดั่งเดิม ขอเล่าถวายเกียรติคุณไว้เท่านี้ครับ

พระโพธิสัตว์ โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋)


พระโพธิสัตว์ โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 11 ก.ย. 2559
เราคงเคยได้ยินเรื่องราวของพระโพธิสัตว์กันมาบ้าง แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าพระองค์ไหนคือพระโพธิสัตว์ เราก็คงจะดูจากสิ่งที่พระท่านทำ เช่น ท่านชอบช่วยเหลือผู้อื่น ชอบเทศน์โปรดสัตว์ ชอบสร้างวัด-สะพาน-โรงพยาบาล ฯลฯ เราก็คงต้องใช้การเดาและมองดูกันเพียงเท่านั้นเพราะเรื่องนี้ยังไม่เคยมี ตำราเขียนเอาไว้ มันเป็นเรื่องนอกตำรา ทำให้ผมคิดว่าจะเล่าเอาไว้ดีไหมเพื่อให้เป็นข้อมูลบันทึกไว้ในโลก
เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้วกว่า 30 ปี แต่ ทุกวันนี้ก็ยังมีคนทราบกันน้อยมาก สมัยนั้นพระองค์นี้ท่านยังเป็นฆราวาสท่านยังไม่ได้บวช ท่านยังทำงานเป็นพนักงานของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เมื่อท่านได้เริ่มมาฝึกวิชชาธรรมกายของวัดปากน้ำแล้วประมาณ 2 ปีท่านก็ได้ถึงธรรมกาย และได้เข้าไปกราบขอเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อภาวนาโกศลเถระ วัดปากน้ำภาษีเจริญ วันหนึ่งท่านก็เกิดความประหลาดใจที่เห็นพระธรรมกายของท่านนั้นปรากฏว่ามี ฉัตรอยู่เหนือพระเศียร เป็นฉัตร 3 ชั้นแบบเดียวกับที่เขาสร้างถวายพระประธานในโบสถ์ ท่านก็เลยเกิดความสงสัยว่าเป็นการนึกเห็นไปเองหรือว่ามีฉัตรอยู่จริงกันแน่ เพราะแม้แต่ในตำราของวิชชาธรรมกายหรือตำราทางสมาธิของสายอื่นๆ ก็ไม่เห็นมีใครบอกไว้ ครูบาอาจารย์หรือผู้ที่ถึงธรรมกายท่านอื่นๆ ก็ไม่มีใครพูดถึง “ท่านเห็นน่ะเห็นจริง แต่สิ่งที่เห็นนั้นจะมีอยู่จริงหรือไม่” คำพูดเหล่านี้คือคำพูดที่เหล่านักปฏิบัติจะต้องเตือนตนเองอยู่เสมอๆ
ท่านจึงได้นำความสงสัยนี้ไปถามกับหลวงพ่อภาวนาซึ่งเป็นอาจารย์ของท่าน หลวงพ่อภาวนาท่านจึงได้ใช้ญาณทัศนะทำการตรวจสอบให้แล้วท่านก็ยืนยันว่าพระ ธรรมกายของลูกศิษย์ท่านนี้มีฉัตรอยู่จริง เหตุที่มีฉัตรประดับไว้ก็เพราะเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นนิยตะพระโพธิสัตว์คือพระโพธิสัตว์ที่ได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า แล้วนั่นเอง อ๋อ...นี่เองที่คนโบราณท่านจึงสามารถบอกได้ว่าพระองค์ไหนคือพระโพธิสัตว์ ก็เพราะท่านคงเห็นว่าพระธรรมกายของพระองค์นั้นมีฉัตรประดับอยู่นั่นเอง
ต่อไปนี้ถ้าเราตรวจโดยใช้ญาณของพระธรรมกายแล้วเห็นว่าใครมีฉัตรประดับอยู่ก็ พอจะบอกได้ว่าท่านผู้นั้นคือพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งแน่นอน และเมื่อท่านผู้นั้นได้สร้างบารมีเพิ่มมากขึ้น จำนวนชั้นของฉัตรก็จะเพิ่มมากขึ้นเป็น 5 ชั้น 7 ชั้น และสูงสุด 9 ชั้นตามลำดับ และเวลาที่พระโพธิสัตว์ท่านนั้นจะต้องไปเดินทำธุระอยู่กลางแดด ฉัตรเขาก็จะทำหน้าที่บังความร้อนจากแสงพระอาทิตย์ให้ ฉัตรนี้เขาก็ทำหน้าที่ของเขา เพราะเขาเป็นฉัตรกายสิทธิ์เป็นของเป็นไม่ใช่ของตายนะครับ เรื่องนี้ผม (อู๋) เล่าออกมาจากความทรงจำของผมเมื่อ 30 กว่าปีมาแล้ว ปัจจุบันท่านผู้นี้ได้ออกบวชและทำหน้าที่ทำนุบำรุงพระศาสนาอย่างสุดความ สามารถของท่านที่ในจังหวัดราชบุรีครับ