วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ลงมาเพื่อสร้างเจดีย์


Baramee Raktham
ลงมาเพื่อสร้างเจดีย์ เล่าโดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 7 พ.ย.59
ผม (อู๋) รู้จักเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งชื่อคุณไก่ เป็นชายหนุ่มหน้าตาดีอายุประมาณ 30 กว่าปี เคยบวชที่วัดปากน้ำและฝึกธรรมกายระหว่างบวช 3 เดือนจนสามารถเข้าถึงธรรมกาย อานุภาพของพระธรรมกายนี้เองที่ทำให้คุณไก่รู้เห็นสิ่งต่างๆ และมีประสบการณ์แปลกๆ ได้อย่างเหลือเชื่อ
เมื่อสึกออกมาก็ประกอบวิชาชีพส่วนตัว ต่อมาป่วยหนักจนคิดว่าตัวเองคงตายไปแล้วเพราะขณะที่นอนป่วยอยู่ เห็นราชรถคันหนึ่งใสเป็นแก้วประดับเพชรมีรัศมีสว่างไสว ส่วนบนของราชรถประดับด้วยเศวตฉัตรงดงามมากแล่นเข้ามาจอดใกล้ๆ มาพร้อมกับเหล่าเทวดาอีกหลายพันองค์ คุณไก่จึงลุกจากเตียงขึ้นไปนั่งบนรถ แล้วราชรถก็พาเหาะลอยขึ้นไปบนฟ้า ไปจอดที่หน้าวิมานหลังหนึ่งซึ่งเป็นวิมานที่ลอยอยู่กลางอากาศ เมื่อได้เข้าไปในวิมานก็รู้สึกร่มเย็นสบายกายและใจมาก รู้สึกว่ามีแต่ความสุขไม่มีความทุกข์เลย
นั่งได้เพียงแปล๊บเดียวเท่านั้นก็เห็นมีแสงสว่างมากราวกับดวงอาทิตย์หลายดวง มาปรากฏอยู่ที่หน้าวิมาน เมื่อเพ่งดูก็เห็นว่าเป็นเทวดาที่มีรัศมีสว่างไสวมาก รูปร่างก็สูงใหญ่กว่าเทวดาทั่วไป คุณไก่จึงส่งกระแสจิตถามไปว่า
คุณไก่ “ท่านคือผู้ใดครับ”
เทวดาท่านนั้น “เราคือท้าวสักกะเทวราชผู้ปกครองเหล่าเทวดา เธอจะตายตอนนี้ไม่ได้ ยังไม่ถึงเวลาตายของเธอ เธอยังมีงานที่จะต้องทำอีก”
ทันใดนั้นคุณไก่ก็ฟื้นกลับมาเข้าร่างเดิมอีกครั้ง เธอพยายามทบทวนคำพูดของท่านพระอินทร์ว่าเรายังมีงานอะไรที่ค้างอยู่หรือสัญญาอะไรกับท่านไว้ เมื่อนึกดูสักพักหนึ่งคุณไก่ก็จำได้ว่าตอนบวชอยู่ที่วัดปากน้ำ ขณะนั้นเธอเพิ่งได้ธรรมกายใหม่ๆ ครูผู้สอนได้เคยพาไปดูอดีตว่าเราเคยเป็นใครมาจากไหน เมื่อเข้าธรรมกายย้อนดูก็พบว่าก่อนที่จะลงมาเกิดเป็นมนุษย์นั้นคุณไก่เคยเกิดเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์มาก่อน และยังจำเหตุการณ์ได้ว่าเคยเข้าไปอยู่ในเทวสภาของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ซึ่งมีท้าวสักกะเทวราชเป็นประธาน
ในขณะนั้นมีเทวดาเข้าร่วมประชุมกันอย่างมากมาย ท้าวสักกะได้กล่าวว่าขณะนี้ทางโลกมนุษย์ได้เข้าถึงช่วงเวลากึ่งพุทธกาลแล้ว เทวดาท่านใดที่เคยตั้งจิตอธิษฐานที่จะลงมาค้ำชูพระศาสนาก็ได้เวลาลงมาเกิดตามคำมั่นสัญญาแล้ว พร้อมกันนั้นก็ได้เห็นนิมิตเป็นพระมหาเจดีย์องค์หนึ่งปรากฏขึ้นมาซึ่งในขณะนั้นก็ยังไม่ทราบว่าเป็นเจดีย์อะไร
และในระหว่างที่ท่านท้าวสักกะพูดอยู่นั้น คุณไก่ก็ระลึกได้ว่าในสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงกลับจากการโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ขณะเสด็จลงมาตามบันไดสวรรค์ก็ทรงทำปาฏิหาริย์เปิดโลก โดยโลกทั้งสามคือเทวโลก มนุษย์โลก และสัตว์นรกในยมโลกก็สามารถมองเห็นกันและกันได้ตลอดทั้ง 3 โลก ในระหว่างนั้นมีเทวดาและพรหมมาตามส่งเสด็จพระพุทธเจ้าเป็นจำนวนมาก และมีจำนวนไม่น้อยที่ได้ตั้งจิตอธิษฐานจะลงมาเกิดเพื่อรักษาพระพุทธศาสนาในช่วงกึ่งพุทธกาล หนึ่งในเหล่าเทวดานั้นก็คือคุณไก่นั่นเอง
เมื่อคุณไก่ระลึกถึงเรื่องนี้ได้จึงขอสมัครใจที่จะลงมาเกิด พอคิดได้ปั๊บก็ปรากฏชื่อของคุณไก่ในสมุดบัญชีรายชื่อเทวดาอาสาของเทวสภาทันที แต่ก็ยังมีเทวดาอีกจำนวนมากที่ไม่กล้าสมัครใจลงมาเกิด เพราะกลัวว่าเมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วจะไม่สามารถรักษากาย วาจา ใจ ให้เป็นกุศลได้ อาจไม่มีโอกาสได้กลับไปเป็นเทวดาเหมือนก่อน
ดังนั้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมื่อคุณไก่ไปที่ไหนแล้วเห็นเจดีย์ที่กำลังก่อสร้างก็จะร่วมทำบุญด้วยเสมอมา อยู่มาวันหนึ่งเพื่อนที่เจอกันในงานหล่อพระในที่แห่งหนึ่งแนะนำให้มาที่วัดหลวงพ่อสด อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี พอคุณไก่ได้มาเห็นพระมหาเจดีย์สมเด็จที่กำลังก่อสร้างเท่านั้น ก็จำได้ทันทีว่าเป็นเจดีย์องค์เดียวกับที่เคยเห็นมาก่อนในระหว่างประชุมในเทวสภานั่นเอง คุณไก่เฝ้าตามหาเจดีย์องค์นี้มานานหลายปีจนในที่สุดก็ได้มาพบเจดีย์องค์ที่ท่านพระอินทร์สั่งให้มาช่วยแล้ว
ขณะที่เพ่งมองพระมหาเจดีย์ จิตของคุณไก่ก็ได้สัมผัสกับเทวดาท่านหนึ่งที่มาเฝ้ารักษาพระมหาเจดีย์ คุณไก่เธอสงสัยว่าเจดีย์ยังสร้างไม่เสร็จทำไมท่านเทวดาจึงต้องมาเฝ้าด้วย เทวดาองค์นั้นทราบความสงสัยของคุณไก่ จึงได้ตอบกลับมาว่าก็เพราะพระมหาเจดีย์นี้เป็นเจดีย์ที่มีความสำคัญมาก จะเป็นที่สำหรับบรรจุพระเขี้ยวแก้วของพระพุทธเจ้า และจะเป็นเจดีย์ที่สักการะของทั้งมนุษย์ เทวดา และพรหม ไปอีกนานนับพันปี
เมื่อมาพบกับผม เธอจึงได้ถามว่าที่วัดหลวงพ่อสดนี้มีพระเขี้ยวแก้วด้วยหรือ ผมจึงบอกว่ามีอยู่จริงโดยมีถึง 4 องค์ เป็นพระเขี้ยวแก้วใสที่วัดได้มาจากหลายที่ด้วยกัน โดยเทพพรหมให้ยืมมาทั้งจากพระจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทุสสเจดีย์บนชั้นพรหม และจากเมืองบาดาลตามที่หลวงป๋าได้อธิษฐานขอไว้โดยขอยืมมาเพื่อให้มนุษย์ได้มีโอกาสเข้ากราบนมัสการบ้าง โดยจะอยู่ในเมืองมนุษย์ประมาณ 1,000 ปี จะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ประจำพระมหาเจดีย์สมเด็จองค์นี้
คุณไก่ดีใจมากที่ได้พบพระเจดีย์ที่ตามหามานาน และยังได้คุยกับเทวดาเรื่องพระเขี้ยวแก้วว่าเป็นเรื่องจริง ไม่ได้คิดปรุงแต่งไปเองแต่อย่างใด จึงได้ขอร้องให้ผมพาไปกราบหลวงป๋าที่กุฏิของท่าน เมื่อคุณไก่ได้พบกับหลวงป๋าคุณไก่จึงขอปวารณาตัวว่า จะขอถวายเงินเพื่อสร้างพระมหาเจดีย์เป็นเงินทั้งสิ้น 1 ล้านบาท โดยจะทยอยทำบุญเป็นงวดๆ ไปจนครบ 1 ล้านบาท (ปัจจุบันทำบุญไปมากกว่า 1 ล้านบาทแล้ว) และยังจะไปชักชวนเพื่อนๆ ที่รู้จักให้มาร่วมสร้างพระมหาเจดีย์องค์นี้อีกด้วย
หลวงป๋าท่านจึงได้เทศน์ให้คุณไก่และคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ในบริเวณนั้นอีกประมาณ 9-10 คนว่า ถ้าใครได้ร่วมสร้างพระมหาเจดีย์องค์นี้ก็จะมีอานิสงส์มาก ขนาดสามารถปิดอบายภูมิแก่ผู้นั้นได้ ชีวิตจะไม่ต้องถึงกับไปอบายภูมิเช่นนรกเป็นต้น เนื่องจากพระมหาเจดีย์นี้จะใช้เป็นสถานที่บรรจุพระเขี้ยวแก้วและพระบรมสารีริธาตุที่สำคัญๆ อีกมากมาย (ทั้งหมดเป็นพระธาตุที่เสด็จมาเอง) เป็นทั้งที่ปฏิบัติธรรม เป็นที่สำหรับจัดกิจกรรมและประชุมเผยแพร่พระธรรม และยังใช้เป็นสถานที่ศึกษาอบรมพระกรรมฐานแก่ทั้งพระภิษุสงฆ์และฆราวาสอีกด้วย
บุญแห่งการสร้างพระมหาเจดีย์นี้จึงเป็นมหานิสงส์ ที่จะส่งเสริมชีวิตของเราให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ตราบใดที่ทั้งมนุษย์ เทวดา และพรหมยังมากราบนมัสการพระมหาเจดีย์องค์นี้ หรือต่อให้พระเจดีย์ทรุดโทรมลงเหลือแต่ซากปรักหักพัง เหล่าเทวดาและพรหมก็จะยังมากราบนมัสการพระมหาเจดีย์นี้อยู่เหมือนเดิม บุญนี้จึงยังคงส่งมายังผู้บริจาคปัจจัยเพื่อสร้างพระมหาเจดีย์นี้ตลอดไปไม่ว่าเราจะตาย-เกิดไปอีกกี่ชาติก็ตาม คือบุญจะยังคงส่งผลให้เรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมออีกนับพันปีนั่นเอง
พอหลวงป๋าท่านเทศน์จบ คุณไก่ก็เห็นว่ารอบๆ ตัวเธอและทั่วทั้งกุฎิหลวงป๋านั้นเต็มไปด้วยเหล่าเทวดาและพรหมที่ลงมากันอย่างมากมายนับไม่ถ้วน แสงของเหล่าเทวดาและพรหมสว่างไสวไปทั่วทั้งบริเวณ พร้อมกับได้ยินเหล่าเทวดาและพรหมพร้อมกันเปล่งเสียงสาธุการดังกึกก้องขึ้นทันทีหลังคำสอนของหลวงป๋า เมื่อคุณไก่และคนอื่นๆ เข้าไปถวายปัจจัยเพื่อสร้างพระมหาเจดีย์กับหลวงป๋า เหล่าเทวดาและพรหมก็พากันเปล่งเสียง “สาธุ” ขึ้นมาอย่างกึกก้องอีกครั้ง
ภาพพระอินทร์ โดย Kriangkrai Wongpitirat
สร้างเจดีย์
บริจาคได้โดยตรงที่ ประชาสัมพันธ์วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี 70130
หรือบริจาคโดยการ
โอนเงินผ่านธนาคาร
บมจ. ธนาคารกรุงเทพ สาขาดำเนินสะดวก บัญชีสะสมทรัพย์ เลขที่ 422–0–25469–4
ชื่อบัญชี “วัดหลวงพ่อสดฯ เพื่อการก่อสร้างพระมหาเจดีย์สมเด็จฯ”
บมจ. ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาดำเนินสะดวก บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 540–2–18485–8
ชื่อบัญชี “วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม เพื่อสร้างพระมหาเจดีย์สมเด็จฯ”
ธนาคารกรุงไทย สาขาดำเนินสะดวก บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 707–0–12333–7
ชื่อบัญชี “วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม เพื่อการก่อสร้างพระมหาเจดีย์สมเด็จฯ”
ธนาคารกสิกรไทย สาขาดำเนินสะดวก บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 534-2-02908-8
ชื่อบัญชี “วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม เพื่อการก่อสร้างพระมหาเจดีย์สมเด็จฯ”

วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เมื่อสิ้นภัทรกัปนี้แล้ว จะไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้อีกเลยถึง”อสงไขยกัป



24.jpg

“…เมื่อสิ้นภัทรกัปนี้แล้ว จะไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้อีกเลยถึง”อสงไขยกัป…”


“……ภควา สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเทศนาแก่พระสารีบุตรสืบต่อไปว่า ในกาลเมื่อพระพุทธศาสนา แห่งองค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยเสื่อมสูญสิ้นแล้ว อันว่าประทีปแก้ว คือพระสัทธรรมนั้น ก็สูญสิ้น ฝูงสัตว์ทั้งหลายก็มืดมัวไม่รู้จักบาปและบุญ คุณและโทษ ประโยชน์และไม่ประโยชน์ ประการใด จนถึงไฟประลัยโลกล้างวินาศฉิบหายสิ้นทั้งแสนโกฏิจักรวาล เพลิงประลัยกัลป์เกิดขึ้นไหม้แผ่นดินภัทรกัปอันนี้ฉิบหายหมดแล้ว สิ้นกาลช้านาน จึงบังเกิดแผ่นดินใหม่ขึ้นมา มีมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายบังเกิดมีมาสำหรับแผ่นดิน ก็มีมาเสียเปล่า กัปป์แผ่นดินที่มีมาในเบื้องหน้านั้นเป็นสุญญกัปนับได้อสงไขยแผ่นดิน จะได้มีสมเด็จพระพุทธเจ้า ปัจเจกพุทธเจ้า และพระยาจักรผู้ประเสริฐบังเกิดมีมานั้นหามิได้ จึงมีนามว่าสุญญกัปป์ เกิดมีแต่มนุษย์ทั้งหลายหาบุณหาวาสนาบารมีมิได้ฯ เมื่อแผ่นดินเกิดขึ้นมา สูญเสียจากท่านผู้ทรงพระคุณแล้ว ฉิบหายไปด้วยไฟ ด้วยน้ำ ด้วยลม แล้วเกิดขึ้นใหม่อีกเล่าจนถ้วนอสงไขย แผ่นดินล่วงลับไปนับด้วยอสงไขยแผ่นดินแล้วฯ

ในกาลนั้น บังเกิดแผ่นดินขึ้นมาใหม่เรียกชื่อว่ามัณฑกัปป์ พระพุทธเจ้าจักได้บังเกิด ๒ พระองค์ คือ – พระรามโพธิสัตว์ ๑ – พระเจ้าปเสนทิโกศล ๑….”

ที่มา: ตำราอนาคตวงศ์

เวลาเหลือไม่มากแล้ว ถ้าเลยยุคสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย
ก็จะต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกนานแสนนาน กว่าจะมีพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่มาตรัสรู้

ศาสนาขององค์ปัจจุบันเองก็จักตั้งอยู่ ๕,๐๐๐ ปี ปัจจุบัน ก็กึ่งพุทธกาล กว่าแล้ว เวลาเหลือไม่มาก

หลวงปู่ดู่(พรหมปัญโญ) ท่านสอนว่าให้เร่งปฎิบัติ ได้เกิดมาพบเจอพระพุทธศาสนาถือว่าโชคดีที่สุด

ปฎิบัติภาวนากันไว้อย่างน้อยถ้าท่านไม่ได้ นิพพานในศาสนาองค์ปัจจุบัน กำหนดหลวงปู่เวลาปฎิบัติ ตายไปขอให้ได้ขึ้นพรหมหรือสวรรค์ก็ยังดีเพื่อที่จะได้ ทันศาสนายุคของ สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย อย่า่ลืมดูจิต ดูตัวจิตเราให้ลด โลภะ โมหะ โทสะ ด้วย หมั่นทำจิตใจให้ผ่องใส ทรงพรหมวิหารให้เป็นนิสัย

ถ้าพลาดลงนรกนี้ ไม่ทัน ยุคของ สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยแน่ๆ เพราะถ้าได้ลงแล้วแค่ขุมแรกก็เป็นเวลานับได้หลายล้านปีโลกมนุษย์เลยละ

เสริมความรู้ กัป กัลป์ และอสงไขย คือ…

การนับกาลเวลามี ๒ แบบ คือ แบบที่นับเป็นตัวเลข ๑ ๒ ๓ …. เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เรียกว่านับเป็นตัวเลขสังขยา คือ ตัวเลขที่นับได้ ถ้ามากเกินจะนับไหวแล้ว ก็จะเปลี่ยนมานับโดยการอุปมา คือการเปรียบเทียบเอา

แล้วตัวเลขแค่ไหนล่ะที่นับไม่ได้ เราจะนับกันสูงสุดแค่ไหน ตัวเลขที่กำหนดว่าไม่นับแล้ว เลิกนับแบบสังขยากันดีกว่า คือ ๑ ตามด้วย ๐ อีก ๑๔๐ ตัว ซึ่งถือเป็นตัวเลขสูงสุดที่นับกัน ถ้าเกินไปกว่านี้ พระพรหมก็เบือนหน้าหนีแล้ว จำนวนที่เกินจาก ๑ ตามด้วย ๐ อีก ๑๔๐ ตัว จึงเรียกว่าเป็นจำนวน อสังขยา หรือ อสงไขยนั่นเอง

กาลเวลาทางพุทธศาสนาที่พบเจอกันบ่อยๆ ก็คือ

๑. กัป
๒. อสงไขยปี
๓. รอบอสงไขย
๔. อันตรกัป
๕. อสงไขยกัป
๖. มหากัป
๗. อสงไขย
๘. พุทธันดร

กัป

ในความหมายแรก หมายถึงอายุกัป คือระยะเวลาที่เท่ากับอายุเฉลี่ยของมนุษย์ยุคนั้น ซึ่งผันแปรตั้งแต่ ๑๐ – อสงไขยปี สมัยพุทธกาล อายุกัปเท่ากับ ๑๐๐ ปี ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้บำเพ็ญอิทธิบาท ๔ สามารถมีอายุอยู่ได้ตลอดกัป ก็หมายถึงมีอายุอยู่ได้ ๑๐๐ ปี นั่นเอง และเนื่องจากตอนนี้อยู่ในช่วงอายุขาลง ทุก ๑๐๐ ปี อายุมนุษย์จะลดลง ๑ ปี ปัจจุปัน อายุกัปของเราจึงเหลืออยู่เพียง ๗๕ ปีเท่านั้น คำว่ากัป หรือกัปป์ หรือกัปปะ เป็นภาษาบาลี ส่วนภาษาสันสกฤติใช้คำว่า กัลป์ สรุปแล้ว กัป กับ กัลป์ ก็คือตัวเดียวกันนั่นเอง

อสงไขยปี

ก็คือ จำนวนปีที่ขึ้นต้นด้วย ๑ ตามด้วย ๐ อีก ๑๔๐ ปีนั่นเอง ตัวเลขนี้เป็นอายุของมนุษย์ยุคสร้างโลก เมื่อโลกเกิดขึ้นใหม่ พระพรหมที่หมดอายุก็จุติมาอุบัติเป็นสัตว์โลกผู้มีจิตประภัสสร ลอยไปลอยมาในอากาศได้ มีอาหารเป็นทิพย์ มีศีลธรรมดีดุจพระพรหม อายุจึงยืนยาวถึงอสงไขยหนึ่ง

รอบอสงไขย

ต่อมามนุษย์เริ่มไปกินง้วนดินเข้า จิตก็เริ่มหยาบ กายก็เริ่มหยาบ กิเลสก็พอกหนา เหาะไม่ได้ กลายเป็นมนุษย์เดินดิน อายุก็ค่อยๆ ลดลง ทุก ๑๐๐ ปี ลดลง ๑ ปี จนเหลือแค่ ๑๐ ปี ยุคนั้นก็เป็นยุคมิคสัญญี มนุษย์ฆ่าฟันกันเหมือนผักปลา ศีลธรรมก็ไม่มี พอฆ่ากันตายเกือบหมดโลก พวกที่เหลือสังเวชใจ เริ่มรักษาศีลกันอีกครั้ง อายุก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ทุก ๑๐๐ ปี ก็เพิ่มขึ้น ๑ ปี จนกลับไปยืนยาวถึงอสงไขยปีอีกครั้ง เวลาทั้งหมดนี้ เรียกว่ารอบอสงไขย

อันตรกัป

ก็คือ ๑ รอบอสงไขยนั่นเอง

อสงไขยกัป

โลกนี้มีเกิดดับเป็นวัฏจักร รอบหนึ่งใช้เวลาทั้งสิ้น ๒๕๖ อันตรกัป คือ

๑ โลกกำลังถูกทำลาย อาจโดนไฟประลัยกัปเผา หรือน้ำประลัยกัปตกกระหน่ำ หรือลมประลัยกัปพัดทำลาย ทุกสรรพสิ่งจะถูกทำลายย่อยยับไม่มีเหลือเลย ทำลายตั้งแต่มหานรกขึ้นไปถึงพรหมอีกหลายชั้น ใช้เวลาทำลายทั้งสิ้น ๖๔ อันตรกัป หรือเรียกว่า ๑ อสงไขยกัป โดยมีชื่อเฉพาะว่า สังวัฏฏอสงไขยกัป

๒ จากนั้นทุกอย่างก็ว่างเปล่า มืดมิด ไม่มีอะไรเลย เป็นเวลาอีก ๖๔ อันตรกัป หรือเรียกว่า ๑ อสงไขยกัป โดยมีชื่อเรียกเฉพาะว่า สังวัฏฏฐายีอสงไขยกัป

๓ จากนั้นโลกก็จะเริ่มก่อตัวขึ้นมาใหม่ มีผืนน้ำ มีแผ่นดิน รวมเวลาอีก ๖๔ อันตรกัป หรือเรียกว่า ๑ อสงไขยกัป โดยมีชื่อเรียกเฉพาะว่า วิวัฏฏอสงไขยกัป

๔ จากนั้นโลกจึงมนุษย์และสัตว์อาศัยอยู่ได้ เป็นเวลาอีก ๖๔ อันตรกัป หรือเรียกว่า ๑ อสงไขยกัป โดยมีชื่อเรียกเฉพาะว่า วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป

มหากัป

คือเวลา ๑ รอบวัฏจักรการแตกดับของโลก หรือเท่ากับ ๒๕๖ อันตรกัป
๑ มหากัป อุปมาว่ามีพื้นที่ขนาดกว้าง ๑ โยชน์ ยาว ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ บรรจุเมล็ดพันธุ์ผักกาดไว้เต็ม ทุก ๑๐๐ ปีก็มาหยิบเมล็ดผักกาดออกเมล็ดหนึ่ง แม้จะหยิบเมล็ดผักกาดออกหมดแล้วก็ยังไม่นานเท่า ๑ มหากัป
คำว่ามหากัป มักเรียกสั้นๆ ว่า กัป

อสงไขย

คงเคยได้ยินคำว่า ๔ อสงไขยกำไรแสนกัป คำว่าอสงไขยในที่นี้หมายถึงระยะยาวนานมาก นับเป็นจำนวนกัปแล้วยังนับไม่ได้ คือจำนวนกัปมากกว่า ๑ ตามด้วย ๐ อีก ๑๔๐ ตัวเสียอีก ๔ อสงไขยกำไรแสนกัป ก็คือระยะเวลาที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีในช่วงปรมัตถ์ ก่อนจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

พุทธันดร

คือระยะเวลาตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งตรัสรู้ จนกระทั่งถึงพระพุทธเจ้าองค์ต่อปมาตรัสรู้ เรียกว่า ๑ พุทธันดร พุทธันดรของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ยาวไม่เท่ากัน ตัวอย่างเช่น ปัจจุบันเราอยู่ในอันตรกัปที่ ๑๒ และพระศรีอาริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ในอันตรกัปที่ ๑๓ จากนั้นไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เลยนานถึงอสงไขยหนึ่ง ดังนั้น ๑ พุทธันดรของพระสมณโคดมพุทธเจ้าจึงยาวนานแค่ ๑ อันตรกัป ส่วน ๑ พุทธันดรของพระศรีอาริยเมตไตรยยาวนานถึงอสงไขยหนึ่ง

ระยะเวลาช่างยาวนาน แต่สัตว์โลกก็ยังคงวนเวียนเวียนว่ายตายเกิด ชั่วกัปชั่วกัลป์ เมื่อใดพบพระธรรมแล้วจึงอย่าได้ประมาทพากันสั่งสมบุญบารมี ภาวนาปฎิบัติ เพื่อถึงซึ่งพระนิพพานโดยพลัน ออกจากวงจรแห่งความทุกข์ที่ไม่จบไม่สิ้นนี้เสียเทิอญ…

ที่มา : ตำราอนาคตวงศ์ และโอวาทธรรมหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของภาพถ่ายนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน



ที่มา เมตตาธรรม ศิษย์พระธุดงค์กรรมฐาน สายหลวงปู่เสาร์-หลวงปู่มั่น

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

วัดหลวงพ่อสดคือวัดที่พระโพธิสัตว์ท่านมาสร้างบารมี


วัดหลวงพ่อสดคือวัดที่พระโพธิสัตว์ท่านมาสร้างบารมี โดย หลวงตาอู๋ 6 พ.ย. 2560
วัดนี้ก่อสร้างขึ้นมาจากเจตนารมณ์ของหลวงป๋าที่จะสร้างวัดให้มีทั้งการปฏิบัติธรรมและการเล่าเรียนพระปริยัติ เป็นวัดที่สร้างขึ้นมาจากท้องนาแท้ๆ แล้วก็ขุดดินขึ้นมาเพื่อถมที่ตัววัดให้สูงขึ้น ส่วนที่ขุดดินออกไปก็ทำเป็นบ่อน้ำเพื่อกักน้ำไว้ใช้ จึงเป็นวัดที่มีบ้านเรือนของชาวบ้านอยู่รอบวัดเพียงไม่กี่หลังไม่สามารถที่จะให้พระออกบิณฑบาตทั้งหมดได้ จำเป็นต้องแบ่งเวรกันออกบิณฑบาตเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนชาวบ้านมากเกินไป
พระที่เหลืออีก 90% จึงฉันอาหารจากโรงครัวที่หลวงป๋าตั้งขึ้นมา ท่านเลี้ยงพระแบบนี้มา 30 กว่าปีแล้ว เลี้ยงทั้งพระทั้งเณรที่มาปฏิบัติธรรมและมาขอเรียนบาลี รวมทั้งเลี้ยงฆราวาสที่แวะเวียนมาทำบุญที่วัดอีกด้วย วัดหลวงพ่อสดจึงเป็นวัดที่หลวงป๋าซึ่งปรารถนาที่จะสร้างบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ท่านหล่อเลี้ยงอุปถัมภ์เอาไว้ พระภิกษุที่อยู่ในวัดจึงไม่ต้องดิ้นรนในเรื่องอาหารขบฉัน ถึงเวลาก็มาฉัน แม้แต่ถ้วยชามก็ไม่ต้องล้างเพราะหลวงป๋าท่านจ้างคนงานแม่ครัวเอาไว้ดูแลพระเณรเป็นอย่างดี ฉันเสร็จก็กลับไปปฏิบัติธรรมหรือเล่าเรียนหนังสือได้เลย จะมีวัดแบบนี้กี่แห่งในประเทศไทยครับ
ตอนนี้หลวงป๋าท่านกวดขันพระเณรให้เร่งการปฏิบัติธรรม ใครจะเรียนก็เรียนแต่ต้องปฏิบัติธรรมกรรมฐานด้วย จะเรียนแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะการจะได้คุณธรรมเป็นพระอริยสงฆ์นั้นต้องมาจากการปฏิบัติธรรม การเรียนเป็นเพียงแนวทางแผนที่ให้เรารู้ทางที่จะเดินก้าวไปเท่านั้น ไม่ใช่เรียนเพื่อพัดยศ ยิ่งเรียนยิ่งคิดว่าตนมีความรู้เหนือผู้อื่น ข้อนี้ก็น่าเห็นใจเพราะท่านเรียนมามากเรียนมานานจริง ท่านย่อมอดที่จะภาคภูมิใจในความสำเร็จของตัวเองไม่ได้ (มันเคลิ้มไป) ทำให้เหมือนทัพพีที่แม้จะแช่อยู่ในแกงแต่ก็ไม่รู้รสแกง....หลวงป๋าท่านจึงได้พูดเตือนพระเณรไว้ว่าให้เร่งทำความเพียรกันได้แล้ว เพราะหลวงป๋าเองก็ไม่รู้ว่าท่านจะอยู่ได้อีกกี่ปี.....