วันพุธที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2560

เหล็กไหลชั้นหนึ่ง (น้ำหนึ่ง) จะต้องมีจิตของพระฤๅษีสิงสถิตย์อยู่


เหล็กไหลชั้นหนึ่ง (น้ำหนึ่ง) จะต้องมีจิตของพระฤๅษีสิงสถิตย์อยู่ โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 30 มี.ค. 2560
ผม (อู๋) ขอเล่าไว้เพื่อให้เป็นกรณีศึกษาเรื่องเกี่ยวกับเหล็กไหล เพราะคงจะมีน้อยคนนักที่จะได้ทราบและได้ครอบครองเหล็กไหลแบบนี้ เหล็กไหลองค์นี้ถูกบรรจุเอาไว้ด้วยอาคมลงในภาชนะกระเปาะที่ทำขึ้นจากเหล็กน้ำพี้ คือการสวดด้วยมนต์เพื่อให้เหล็กไหลเคลื่อนตัวเข้าไปอยู่ในกระเปาะนี้ เมื่อเข้าไปจนเต็มแล้วก็ทำการปิดผนึกกระเปาะเพื่อจะได้สามารถพกติดตัวไปไหนมาไหนได้ เป็นการสร้างรังให้เขาอยู่
ผมได้เหล็กไหลองค์นี้มาจากพระรูปหนึ่งที่ชอบท่องเที่ยวไปในดินแดนอาถรรพ์ เพื่อศึกษาหาความรู้จากครูบาอาจารย์ในดินแดนอันลี้ลับที่เรียกกันว่า "ภูเขาควาย" ในประเทศลาว คนธรรมดาไม่อาจที่จะตัดเอาเหล็กไหลชนิดนี้ออกมาได้ ผู้ที่จะสามารถตัดออกมาได้จะต้องเป็นผู้ที่มีคุณวิเศษสำเร็จอภิญญาแล้วเท่านั้น เพราะเหล็กไหลองค์นี้เมื่อถูกแบ่งออกมาจากตัวแม่แล้วเขาก็ยังคงคุณสมบัติเหมือนตัวแม่ คือเป็นเหล็กไหลที่ยังไม่ตาย เนื้อยังคงนิ่มเหมือนตังเมสีปีกแมลงทับ ยืดได้หดได้ ดึงยาวออกไปได้ไม่ขาดออกจากกัน และเมื่อถูกตัดแบ่งออกด้วยอาคม ส่วนที่เหลืออยู่ก็สามารถเพิ่มขนาดขึ้นมาได้เองจนมีขนาดเท่าเดิมได้อย่างปาฏิหาริย์ ผมได้มาฟรีๆ ครับ เพราะเหล็กไหลประเภทนี้ไม่สามารถซื้อขายได้ด้วยเงิน หากพยายามซื้อขายกันเขาจะทำให้เกิดเรื่องอาถรรพ์ต่างๆ จนไม่สามารถซื้อขายกันได้ (เกิดเรื่อง) และท้ายที่สุดเหล็กไหลเขาก็จะหนีหายไป...นี่เองจึงเป็นที่มาของชื่อที่นิยมเรียกกันว่า "เหล็กไหลบารมี"
3 พ.ค. 2546 คือวันที่ผมได้เหล็กไหลองค์นี้มาอยู่ด้วย แค่คืนแรกที่ท่านมาอยู่กับผม ผมก็ได้พบเจอกับท่านเจ้าของเลย คืนนั้นผมได้ฝันว่ามีพระฤๅษีองค์หนึ่งแต่งชุดผ้านุ่งห่มสีขาวท่าทางใจดี อายุน่าจะประมาณ 80-90 ปี (อายุจริงคงประมาณไม่ได้) สูงประมาณ 160 ซม. ผมยาวสีขาวทั้งศีรษะโดยปล่อยผมยาวลงมาเกือบถึงพื้น เดินทะลุห้องนอนเข้ามาเลย มายืนยิ้มอยู่ตรงหน้าแล้วท่านก็แสดงอภินิหาริย์อวดให้ผมดูหลายอย่าง เช่นท่านตัดแขนและขาให้ขาดออกไป สักพักแขนและขานั้นก็กลับยาวขึ้นมาใหม่ได้ดังเดิม แล้วท่านก็บอกว่า "ให้เรียกเราว่าหลวงปู่สิงห์ มีเรื่องอะไรจะให้ช่วยก็บอกมา" ท่านพูดกับผมโดยไม่ได้เปิดปากเลย แต่ผมก็ฟังได้อย่างชัดเจน ที่แปลกอีกก็คือในคืนนั้นผมฝันแบบนี้ซ้ำกันถึง 2 ครั้ง...ท่านคงกลัวว่าผมจะลืม แล้วผมก็ตื่นขึ้นมาตอน 6 โมงเช้าพอดี
ผมได้นำเรื่องนี้กลับไปเล่าให้พระที่ท่านมอบเหล็กไหลองค์นี้มา โดยบอกกับท่านว่าเจ้าของเหล็กไหลเขามาเข้าฝันผมบอกว่าท่านชื่อหลวงปู่สิงห์ และอธิบายถึงรูปร่างหน้าตาให้ฟัง เมื่อท่านฟังจบแล้วท่านก็บอกว่าผมฝันแม่นมาก เพราะพระฤๅษีองค์นี้ท่านก็เห็นอยู่ในถ้ำที่อยู่ของเหล็กไหลนี้แหละ เห็นท่านนั่งอยู่บนโขดหินอยู่สูงจากพื้นพอประมาณ รูปร่างหน้าตาเหมือนกับที่ผมพบในฝัน ท่านเองยังได้ถามพระฤๅษีท่านนี้ไปว่า "หลวงปู่ชื่ออะไรครับ" แต่ท่านไม่บอกกลับตอบมาเพียงว่า "เดี๋ยวอีกหน่อยก็จะรู้เอง จะมีคนไปบอกชื่อให้" แล้วก็เป็นผมเองที่ไปบอกว่าพระฤๅษีท่านนี้คือหลวงปู่สิงห์แห่งภูเขาควาย ประเทศลาว ตักศิลาของพระอภิญญา ดินแดนที่ลี้ลับและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในยุคนี้

วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2560

เล่าเรื่อง... หลวงปู่ใหญ่ (หลวงปู่เทพโลกอุดร)


เล่าเรื่อง... หลวงปู่ใหญ่ (หลวงปู่เทพโลกอุดร)

โดย พระราชญาณวิสิฐ (หลวงป๋า หรือ พระเสริมชัย ชยมงฺคโล)
อาตมาภาพเคยได้ยินเรื่องราว และกิตติศัพท์เกี่ยวกับ “หลวงปู่ใหญ่” (หลวงปู่เทพโลกอุดร) มานานแล้ว
และเคยได้รับอาราธนาไปประกอบพิธีเททองรูปหล่อ (รูปเหมือน) ของหลวงปู่ท่าน ที่วัดเขาตะเกียบ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๙ โดยพระเดชพระคุณเจ้าประคุณ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ องค์ปัจจุบัน เป็นประธาน และได้ไปร่วมประดิษฐานรูปเหมือนหลวงปู่ ที่วัดเขาตะเกียบอีกครั้งหนึ่ง เมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๔๐
เมื่อเวลาเจริญสมถวิปัสสนากัมมัฏฐานก็ดี เวลาเจริญภาวนาอธิษฐานจิตบรรจุพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ และอิทธิมงคล...ลงในพระพุทธรูป หรือวัตถุมงคลทั้งหลายก็ดี นอกจากอธิษฐานขอบารมีธรรม (บุญศักดิ์สิทธิ์ บารมี รัศมี กำลังฤทธิ์ อำนาจ สิทธิ เฉียบขาด)
จาก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ถึง...พระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรม
หลวงพ่อวัดปากน้ำ (สด จนฺทสโร) และ พระอุปัชฌาย์อาจารย์ แล้ว
ก็ได้อธิษฐานถึง...
หลวงปู่ใหญ่ (หลวงปู่เทพโลกอุดร)
หลวงปู่ทวด
หลวงปู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)
หลวงปู่ศุข
หลวงปู่มั่น
หลวงปู่ปาน
ฯลฯ
เป็นประจำเสมอมา
ครั้นต่อมาในเทศกาลเข้าพรรษา พ.ศ.๒๕๔๐ อาตมาภาพได้สร้าง “สมเด็จพระธรรมกาย” รุ่นต่างๆ ได้แก่
- รุ่น เทพนิมิต (๑๙๙๙๙)
- รุ่น ๒๐๗
- รุ่น ๙๙
- รุ่น ๙๙๙
และ รุ่น ๔๐
(หมายเลขของรุ่น แสดงจำนวนพระที่สร้างแต่ละรุ่นนั้นๆ เท่าที่มวลสารพิเศษจะมีให้สร้างได้)
โดยได้นำพระภิกษุสามเณร วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม เจริญภาวนาวิชชาธรรมกายชั้นสูง บรรจุพลังพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ อธิษฐานจิตเพื่อให้เป็นสิริมงคลแก่ผู้มีพระนี้ไว้ในครอบครอง...ตลอดพรรษา และยังกระทำต่อมาอีก ๑ เดือนเศษ
ขณะเจิญภาวนาแต่ละครั้ง ก็ได้อธิษฐานรวมบารมีธรรมของบูรพาจารย์ (ดังที่กล่าวข้างต้น) มาช่วยเจริญภาวนาให้เกิดพลังเป็นมหิทธิผล...เป็นประจำ
ก็ปรากฏนิมิตของบูรพาจารย์ทุกท่านดังที่กล่าวข้างต้น
ได้หมุนเวียนกันมาปรากฏองค์ให้เห็นชัดๆแก่ผู้นำเจริญภาวนา ในขณะเจริญภาวนาอยู่ทุกรอบ
......นี้เป็นการแสดงถึง
การอธิษฐานรวมญาณ และบารมีธรรมของบูรพาจารย์...ขณะเจริญภาวนาวิชชาธรรมกายชั้นสูงนั้น
มีความสอดคล้องกัน เป็นสายธาตุธรรมเดียวกัน ตามธรรมปฏิบัติตามแนววิชชาธรรมกาย ถึงพระนิพพาน(นิพพานถอดกาย) และถึงพระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรม...ในอายตนะนิพพานเป็น
ครั้นปลายเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๔๑ ใกล้วันเทศกาลตรุษจีน ขณะเมื่ออาตมาภาพเดินตรวจงานเตรียมจัดนิทรรศการพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อให้สาธุชนได้มานมัสการบูชาระหว่างเทศกาลตรุษจีน ครั้นเดินผ่านไปถึงด้านหน้าศาลาอเนกประสงค์ โดยตั้งใจว่าจะเลยไปกราบนมัสการ หลวงพ่อวัดปากน้ำ...ที่วิหารหลวงพ่อสด ฯ
ก็พลันเห็นนิมิต “หลวงปู่ใหญ่” (หลวงปู่เทพโลกอุดร)
...นั่งอยู่บนอาสนะสงฆ์ที่หน้าพระประธานในอุโบสถ
ตรงที่อาตมาภาพกราบพระ และเคยนั่งสอนภาวนาอยู่เป็นประจำ เห็นท่านนั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออกตามพระประธาน ห้อยเท้าลง ชันเข่าเอียงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเล็กน้อย เหมือนกับท่านนั่งรออาตมาภาพอยู่
รูปร่างสูงใหญ่ขนาดฝรั่งตัวโต หน้าตาคล้ายๆ กับที่เคยเห็นในรูป แต่แสดงสีหน้ายิ้มนิดๆ ทักทายอาตมาภาพด้วยความเมตตา เหมือนกับรับทราบว่าอาตมาภาพเห็นท่านแล้ว
ท่านครองจีวรพาดสังฆาฏิบนไหล่ซ้าย สีย้อมฝาด ดูเก่าแต่เรียบร้อยมาก กิริยาที่นั่งก็เรียบร้อย ดูสง่าและทรงอำนาจ
อาตมาภาพขณะเดินไปที่วิหารหลวงพ่อสดฯ ก็ได้อธิษฐานเรียนท่านว่า...
“กระผมขอโอกาสไปกราบหลวงพ่อสดฯก่อนนะครับ แล้วจะรีบมากราบหลวงปู่”
เห็นท่านยิ้มนิดๆ แสดงอาการรับทราบและเข้าใจความรู้สึกของอาตมาภาพ ที่มีความเคารพเทิดทูนต่อ หลวงพ่อสดฯ ผู้สอนวิชชาธรรมกายอย่างสูง และความรู้สึกของอาตมาภาพที่มีต่อ หลวงปู่ใหญ่ ด้วยเป็นอย่างดี
ครั้นได้นมัสการบูชาหลวงพ่อที่วิหารหลวงพ่อสดฯ เรียบร้อยแล้ว ก็เดินกลับไปที่กุฏิพัก สั่งให้พระมหามณฑล อตฺตทนฺโต จัดดอกไม้ธุปเทียน และเปิดอุโบสถไว้รออาตมาภาพมานมัสการบูชาพระ เมื่อเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ไปถวายเครื่องสักการะนมัสการบูชา “หลวงปู่ใหญ่” ...ในอุโบสถ
แล้วขออาราธนาหลวงปู่ใหญ่...ขอให้ท่านอยู่เจริญวิชชาช่วยให้การศึกษาอบรมและเผยแพร่ที่วัดหลวงพ่อสดฯ นี้ด้วยอีกแรงหนึ่งพร้อมด้วย หลวงปู่ทวด และ หลวงปู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)
เพราะที่นั่นเป็น “ปราสาททำวิชชา...ของพระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรม”โดยมี หลวงพ่อวัดปากน้ำ (สด จนฺทสโร) นั่งอยู่ตรงกลางเป็นประธานอยู่แล้ว
เพราะเหตุนั้น ผู้ปฏิบัติภาวนาถึงธรรมกายแล้วจึงเห็นท่านได้มีเมตตาอยู่เจริญภาวนาที่ในปราสาททำวิชชานี้ด้วยเสมอ......นับแต่นั้นเป็นต้นมา
*** คัดลอกบางตอนจาก หนังสือ เหตุมหัศจรรย์ที่วัดหลวงพ่อสดฯและนิตยสารธรรมกาย ฉบับที่ ๔๗ มกราคม – มีนาคม ๒๕๔๑

วันอังคารที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560

ทำไมพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส) พระอาจารย์ของพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม จึงต้องไปสืบปฏิปทาหลวงพ่อวัดปากน้ำในทางลับ


ทำไมพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส) พระอาจารย์ของพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม จึงต้องไปสืบปฏิปทาหลวงพ่อวัดปากน้ำในทางลับ
(ในรูปนั่งแถวหน้าจากซ้าย พระเทพสิทธาจารย์ (จันทร์ เขมิโย) วัดศรีเทพประดิษฐาราม จ.สกลฯ พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) วัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรฯ พระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส) วัดเขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น
แถวที่สองจากซ้าย หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร หลวงปู่กว่า สุมโน วัดป่ากลางโนนกู่ จ.สกลฯ พระครูอุดมธรรมคุณ (ทองสุข สุจิตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลฯ หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลฯ
แถวหลังจากซ้าย พระราชธรรมเจติยาจารย์ (วิริยังค์ สิรินฺธโร) วัดธรรมมงคล จ.กรุงเทพฯ หลวงปู่บัว สิริปุณโณ วัดป่าหนองแซง จ.อุดรฯ พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงปู่มหาบัว ญาณสัมปันโน) วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรฯ)
คณะสงฆ์ทั้งฝ่ายมหานิกายและคณะธรรมยุติได้ส่งสายมาสืบปฏิปทาหลวงพ่อวัดปากน้ำในทางลับ เมื่อคำว่า “ธรรมกาย” แพร่หลายออกไป ถึงกับเข้าหูท่านผู้เป็นนักปราชญ์มหาบัณฑิต ทำความฉงนสนเท่ห์ให้เกิดในคณะสงฆ์ บางท่านปลงใจว่าหลวงพ่อมีความรู้และปฏิบัติธรรมเกินธง ถึงกับมีประชุมลับกันในพระเถระผู้ใหญ่และผู้เชี่ยวชาญกรรมฐาน ส่วนมากลงความเห็นหนักไปทางการละเมิดพระวินัย เข้าขั้นอวดอุตริมนุสธรรม ยกโทษสูงถึงเพียงนั้น ท่วงทีก็หาทางเพื่อจะคว่ำบาตรหลวงพ่อ
สงฆ์คณะมหานิกาย มีพระเถระรูปหนึ่งได้รับเกียรติเข้าประชุมอยู่ด้วย ท่านผู้นี้พูดว่าอันอุตริมนุส ธรรมนี้เป็นคำที่แปลว่า เป็นธรรมของมนุษย์อันยอดยิ่ง คือเป็นธรรมสูงสุดของมนุษย์ทางพระพุทธศาสนา เมื่อใครผู้ใดเข้าถึงแล้วย่อมข้ามพ้นโอฆะทั้งมวลถึงฝั่งพระนิพพานอันไม่มีภพชาติสืบต่อไป แต่ผู้ที่จะเข้าถึงอุตริมนุสธรรมต้องเป็นคนที่มีบารมีสูง มีความเพียรมาก งามทั้งปริยัติ งามทั้งปฏิบัติ งามทั้งศีลาจารวัตร์ ต้องมีสัจจะประจำสันดาน ไม่ใช่วิสัยคนพอดีพอร้าย ต้องเป็นคนใจกล้า เสียสละ มีเมตตาสูง
เจ้าคุณวัดปากน้ำเป็นคณาจารย์กล้าพูดกล้าสอน ไม่มีความครั่นคร้ามต่อใครผู้ใด เมื่อเห็นดีอย่างไร ก็ปฏิบัติไปตามความเห็น น่าจะมีความบริสุทธิ์ใจตามความรู้ความเห็น แม้แต่พระพุทธเจ้าเมื่อจะทรงประกาศสัจจะธรรมก็ตรัสแก่เบญจวัคคีย์ว่า เมื่อญาณทัศนะยังไม่บริสุทธิ์ตราบใด เราก็ไม่สามารถปฏิญาณความเป็นพระสัมพุทธะแก่สมณพราหมณ์ ประชาชน แก่เทวดา และมนุษย์โลก มารโลก พรหมโลกได้ ที่พระองค์กล้าปฏิญาณได้ ก็เพราะได้ญาณทัศนะ รู้ความจริงแล้ว นี่เป็นข้อความที่จำต้องคำนึงถึงเป็นบทมาติกาก่อน
เจ้าคุณวัดปากน้ำตามเสียงพูดกันมีเมตตาธรรมสูง ให้การศึกษาทั้งปริยัติ ทั้งการปฏิบัติแก่ภิกษุสามเณรวัดปากน้ำไม่น้อยกว่า ๓๐๐ รูป สอบนักธรรมและบาลีในสนามหลวงได้จำนวนตั้ง ๑๐๐ ลองตรึกตรองดูบ้างว่า ในประเทศไทยวัดไหนทำประโยชน์ศาสนาถึงขนาดนี้ ถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระภิกษุสามเณรทุกวัน ทุกเวลา เป็นจำนวนตั้ง ๓๐๐ ถึง ๔๐๐ องค์ ใครทำได้อย่างนี้
เจ้าคุณวัดปากน้ำจะเข้าขั้นไหนเราไม่ทราบ แต่ควรคิดไว้ก่อนว่า สำนักวัดปากน้ำสอนมานานพูดมานานแล้ว ธรรมวัดปากน้ำยังไม่เสื่อม มีแต่เพิ่มผู้ปฏิบัติยิ่งขึ้น ท่านยังตั้งเจตนาจะรับพระภิกษุสามเณรให้เข้ารับการศึกษาถึง ๕๐๐ องค์ เฉพาะวัดปากน้ำ ลักษณะนี้น่าจะมีอะไรดีอยู่มาก ถ้าเป็นเจตนาลวงโลกคงอยู่ไม่ได้ถึงเพียงนี้ เท่าที่พบมาพระอาจารย์ลามกอยู่ได้ ๕ – ๖ ปีก็สาบสูญไป แต่วัดปากน้ำสู้หน้าโลกโดยไม่ตกต่ำ ก็น่าจะมีอะไรดีเป็นหลักประกันอยู่มาก
พวกเราที่มาพิจารณาโทษวัดปากน้ำทั้งหมดนี้ ความจริงก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางพระกรรมฐานมากนัก รู้พอรักษาตัวรอดได้ ความรู้ทางธรรมปฏิบัติก็มีความลุ่มลึกสุขุมแตกต่างกัน แม้พระอรหันต์ก็ยังต่างกันโดยคุณสมบัติ อุตริมนุสธรรมนั้นผู้ปฏิบัติพึงรู้พึงถึง ต้องสามารถดำเนินปฏิปทาทางจิต มีวิริยะอย่างอุกฤษฏ์ พวกเรายังปฏิบัติไม่เข้าขั้นเช่นนี้ จะไปลงโทษผู้เชี่ยวชาญกรรมฐานได้อย่างไร เอาความรู้อะไรไปลงโทษเขา ที่ประชุมยอมรับความเห็นนั้น และให้พระเถระรูปนี้มาสอบสวนเป็นทางลับ และท่านมาในฐานะเป็นผู้สนใจในการปฏิบัติธรรม ในที่สุดเรื่องร้ายไม่เกิดขึ้น และไม่ถูกสงสัยในแง่อุตริมนุสธรรมอีกต่อไป”
(สมเด็จพระสังฆราชปุ่นครั้งมีสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระวันรัต, ๒๕๒๙, ประวัติพระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อวัดปากน้ำ)และอนุภาพธรรมกาย ใน พระมงคลเทพมุนี ประวัติหลวงพ่อ และคู่มือสมภาร. วัดปากน้ำ, ภาษีเจริญ, และสมาคมศิษย์หลวงพ่อวัดปากน้ำ, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ ไทยวัฒนาพานิช จำกัด, หน้า๑๐๖)
สงฆ์คณะธรรมยุต ท่านเจ้าคุณพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส) วัดเขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น หรือฤาษีสันตจิต ท่านเป็นศิษย์รุ่นแรกของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ท่านเป็นอาจารย์ของพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม แม่ทัพธรรมสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญในวิชชาทิพยอำนาจ เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ท่านได้มีโอกาสเข้ามาในพระนคร ได้ยินเสียงโจษจันกันถึงเรื่องที่ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ได้พบเห็นเฝ้าแหนพระพุทธเจ้าและแสดงปาฏิหาริย์ให้คนเห็นพระพุทธเจ้าด้วย มีพระเถระชั้นผู้ใหญ่สงสัย และได้ปรึกษาเรื่องนี้กับท่าน ท่านแนะนำว่าควรไปสืบดูก่อน อย่าด่วนโต้แย้งคัดค้าน
เมื่อท่านไปพบหลวงพ่อแล้ว ท่านจึงเข้าใจหลวงพ่อด้วยดี ในกรณีของหลวงพ่อ แสดงปาฏิหาริย์ในเรื่องพระพุทธเจ้านั้น เข้าใจว่าท่านมุ่งต่อต้าน ปรับปวาท (คือวาทะของผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อพระพุทธศาสนา) ซึ่งกำลังมีอิทธิพลและได้รับความสนับสนุนอย่างดีในระยะกาลนั้นเป็นประมาณ ไม่ได้มุ่งอวดอ้างเพื่อลาภสักการะยศศักดิ์แต่ประการใด ท่านจึงได้อนุโมทนาและได้ช่วยยับยั้งพระเถระผู้ใหญ่ มิให้แสดงปฏิกริยาเป็นปฏิปักษ์ต่อหลวงพ่อ ดังใจความที่คัดจากหนังสืออิทธิปาฏิหาริย์ เกจิอาจารย์ ของดวงธรรม โชนเชิดประทีป, ๒๕๐๗, กรุงเทพฯ: บรรณาคาร, หน้า ๓ –๖ มีความว่าดังนี้ :
“เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ข้าพเจ้า (พระอริยคุณาธาร เส็ง ปุสฺโส) ได้มีโอกาสเข้าไปในพระนคร ได้ยินเสียงโจษจันกันถึงเรื่องที่ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ได้พบเห็นเฝ้าแหนพระพุทธเจ้าและแสดงปาฏิหาริย์ให้คนเห็นพระพุทธเจ้าด้วย มีผู้สงสัยกันมาก พระเถระชั้นผู้ใหญ่ก็สงสัย บางท่านทำทีจะโต้แย้งคัดค้าน และได้ปรึกษาเรื่องนี้กะข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าแนะนำว่าควรจะสืบสวนให้รู้ถ่องแท้ก่อน อย่าด่วนโต้แย้งคัดค้าน เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรู้ลึกซึ้ง อันยากแก่การพิสูจน์อิทธิวิสัย เป็นเรื่องที่คิดไม่ถึง และอภิญญาเป็นวิชชาชั้นสูงในพระพุทธศาสนา ถ้าเรารู้ไม่ถึงแล้วด่วนคัดค้านโต้แย้ง อาจได้รับความอับอายภายหลัง ท่านผู้นั้นขอร้องข้าพเจ้าให้เป็นผู้สืบสวน ข้าพเจ้ารับภาระนั้นด้วยเห็นแก่ความสวัสดีของพระพุทธศาสนา
วันหนึ่งข้าพเจ้ามีโอกาสดี ให้คนไปพบปะสนทนากับหลวงพ่อ ท่านนัด ๑๖. ๐๐ น. ข้าพเจ้าไปวัดปากน้ำตามเวลานัด ขณะนั้นหลวงพ่อยังอยู่ในที่ฝึกภาวนาแก่ภิกษุสามเณร อุบาสก-อุบาสิกา ข้าพเจ้ารอคอยอยู่ที่รับแขกราวครึ่งชั่วโมง มีคนไปบอกหลวงพ่อ ท่านออกมาปฏิสันถารเมื่อรู้ว่าเป็นบุคคลที่นัดไว้ จึงนำไปที่กุฏิของท่าน เพื่อมีโอกาสสนทนาโดยเฉพาะ เมื่อผ่านการปราศัยไต่ถามชื่อเสียงเรียงนามตำแหน่งแห่งที่พอรู้เรื่องแล้ว หลวงพ่อพูดถึงแนวการปฏิบัติและแนวการสอนของท่าน พร้อมกับเล่าเรื่องไปเฝ้าพระพุทธเจ้าให้ฟัง
ข้าพเจ้าสอบถามพระพุทธลักษณะกับหลวงพ่อเล็กน้อย ท่านชี้ให้ดูพระพุทธรูปว่ามีลักษณะอย่างนั้น และมีพระเกตุมาลายอดแหลม เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า หลวงพ่อให้หนังสือ “ธรรมกาย” แก่ข้าพเจ้า ๑ เล่ม ส่วนข้าพเจ้าได้ตอบแทนท่านด้วยหนังสือ “สีลวัต” ๑ เล่ม
จากคุณ : ธารณธรรม
พระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส) พระเกจิสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ก็เคยกล่าวเกี่ยวกับพระธรรมกายใว้ในหนังสือทิพยอำนาจ ดังนี้
พระธรรมกาย
ได้แก่พระกายอันบริสุทธิ์ ไม่สาธารณะทั่วไปแก่เทวดาและมนุษย์ หมายถึง พระจิตที่พ้นจากอาสวะแล้ว เป็นพระจิตที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง มีพระรัศมีแจ่มจ้า เปรียบเหมือนดวงอาทิตย์อุทัยใขแสง ในนภากาศฉะนั้น พระธรรมกายนี้ เป็นพระพุทธเจ้าที่จริงแท้ เป็นพระกายที่พ้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย และทุกข์โศกทั้งหลายได้จริง เป็นพระกายที่เที่ยงแท้ ถาวรไม่สูญสลาย เป็นอยู่ชั่วนิรันดร์ เป็นที่รวมแห่งธรรมทั้งปวง
คือความเป็นพระอรหันต์ไม่สูญ
ความเป็นพระอรหันต์นี้ ท่านจัดเป็นอินทรีย์ชนิดหนึ่งเรียกว่า อัญญินทรีย์ เป็นสภาพที่คล้ายคลึงวิสุทธาพรหมในสุทธาวาสชั้นสูง เป็นแต่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าเท่านั้น เมื่อมีอินทรีย์อยู่ก็ย่อมจะบำเพ็ญประโยชน์ได้ แต่ผู้จะรับประโยชน์จากท่านได้ ก็จะต้องมีอินทรีย์ผ่องแผ้วเพียงพอที่จะรับรู้รับเห็นได้ เพราะอินทรีย์ของพระอรหันต์ ประณีตสุขุมที่สุด เป็นอินทรีย์แก้ว ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจของท่านเป็นแก้ว คือใสบริสุทธิ์ดุจแก้วมณีโชติ ผู้บรรลุถึงภูมิแก้วแล้ว ย่อมสามารถพบเห็นพระแก้ว คือพระอรหันต์ที่นิพพานแล้วได้
ความรู้เรื่องนี้เป็นความรู้ลับในธรรมวินัย ผู้สนใจพึงศึกษาค้นคว้าต่อไป ถ้ารู้ไม่ถึงอย่าพึงค้าน อย่าพึงอนุโมทนา เป็นแต่จดจำเอาใว้ เมื่อใดเหตุผลลงกันจึงอนุโมทนา ถ้ารู้ไม่ถึงแล้วด่วนวิพากษ์วิจารณ์ ติเตียน จะเป็นไปเพื่อบอดตาบอดญาณตัวเอง
ข้าพเจ้านำเรื่องนี้มาพูดใว้ ด้วยมีความประสงค์จะให้นักศึกษาพระพุทธศาสนา ช่วยกันค้นคว้าความรู้ ส่วนลึกลับของพระพุทธศาสนาต่อไป
ที่มา......หนังสือ ทิพยอำนาจ
หน้า......509-512
เรียบเรียงโดย....พระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส)

ทำดีกันไว้มากๆ นะครับ เวลาในโลกมนุษย์นั้นไม่นานเลย




ทำดีกันไว้มากๆ นะครับ เวลาในโลกมนุษย์นั้นไม่นานเลย โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 20 มี.ค. 2560
ตอนนี้อ่านข่าวแล้วรู้สึกว่าทำไมคนมันดุกันจัง ไม่พอใจกันก็ถึงกับต้องฆ่ากันเลย สังคมสมัยนี้อยู่ยากนะครับ เราทำความดีไว้คนอื่นไม่รู้แต่เทพเทวาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านรู้ ครูบาอาจารย์ท่านรู้ ทำความดีเราจะท้อไม่ได้ บางคนทำความดีนิดๆ หน่อยๆ ก็ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย ประเภททำร้อยแต่ขอเป็นล้าน สงสัยแกล้งขอไปก่อนเผื่อจะได้ แต่ผมก็เชื่อว่าคนอย่างพวกเราคงไม่ทำอย่างนั้นกัน
ถ้าเรามั่นคงในการทำความดีด้วย ทาน ศีล ภาวนา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านก็จะมาช่วยคุ้มครองเราเอง เพราะมันเป็นธรรมชาติที่ธาตุธรรมเดียวกันจะดึงดูดกันเองเป็นธรรมชาติ ผมเองกล้ามาพูดเรื่องนี้ก็เพราะได้ผ่านสิ่งต่างๆ เหล่านั้นมาด้วยตัวเองแล้ว ทำดีไปเรื่อยๆ วันหนึ่งก็จะเห็นผลเอง ผมเคยไปพบกับอาจารย์ท่านหนึ่งชื่ออาจารย์รังษีญานเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ท่านอยู่แถวถนนราษฎร์บูรณะ (ตอนนี้ท่านย้ายไปแล้ว) เพราะได้ยินกิตติศัพท์ว่าท่านเก่งมีญานพิเศษตรวจเรื่องราวต่างๆ ได้ แต่ผมเป็นคนที่เชื่ออะไรยากดังนั้นเมื่อผมไปพบท่านก็ต้องขอทดสอบดูก่อน โดยผมได้พกรูปพระองค์หนึ่งติดตัวไว้เสมอ ผมก็เอามือบังรูปแล้วคว่ำรูปนั้นลงบนโต๊ะให้เห็นแต่กระดาษขาวๆ แล้วขอให้ท่านอาจารย์รังษีญานเอามือมาแตะที่กระดาษแล้วบอกผมว่าคืออะไร
ถ้าอาจารย์รังษีญานไม่เก่งจริงก็คงจะโวยวายไปแล้ว แต่ท่านก็เฉยๆ ยอมเอามือมาแตะที่กระดาษเปล่าพักเดียวท่านก็พูดขึ้นว่า "นี่คือรูปของพระอรหันต์ผู้ไม่ตาย ท่านคือหลวงปู่เทพโลกอุดรซึ่งก็คือผู้ที่ส่งญานมาคุ้มครองคุณอยู่นั่นเอง" ผมได้ยินดังนั้นก็รู้สึกทึ่งกับญานทัศนะอันแม่นยำของท่านจริงๆ นี่ขนาดแค่เอามือแตะรูปที่มองไม่เห็นยังพูดออกมาได้อย่างถูกต้อง เพราะในสมัยนั้นผมต้องพกรูปของหลวงปู่เทพโลกอุดรไว้ในกระเป๋าเสื้อตลอดเวลา พกทุกวัน ไม่รู้พกทำไมเพราะเป็นแค่รูปถ่ายของท่าน แต่เพราะผมเคารพในองค์หลวงปู่เทพโลกอุดรมากก็เลยต้องพกรูปท่านติดตัวไว้ตลอดเวลา
แต่ที่ผมรู้สึกแปลกใจก็ตรงคำพูดของท่านอาจารย์รังษีญานที่บอกว่าหลวงปู่เทพโลกอุดรส่งญานมาคุ้มครองผม เพราะผมไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าท่านส่งญานไปคุ้มครองใคร ครูบาอาจารย์ที่เคารพในองค์หลวงปู่ก็ไม่เคยมีใครกล่าวถึงเรื่องนี้ ผมก็เลยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ต่อมาผมได้มีโอกาสไปกราบพระท่านหนึ่งแถวๆ จังหวัดสิงห์บุรีที่ลูกศิษยืของท่านมักเรียกท่านว่า "หลวงเตี่ย" พระท่านนี้ก็คือพระที่สร้างวัดต่างๆ ให้แก่หลวงปู่บุดดาพระอรหันต์ผู้เป็นที่เคารพอย่างสูงของหลวงปู่ดู่นั่นเอง วันนั้นผมไปกับเพื่อนคนหนึ่งขณะที่กำลังคุยกับท่าน อยู่ๆ ท่านก็หยิบวัตถุก้อนสีดำๆ ก้อนหนึ่งขึ้นมาแล้วพูดว่า "หลวงปู่เทพโลกอุดรฝากแม่ชีท่านหนึ่งที่มาจากภูเขาควายเอามาถวายให้ คุณช่วยดูให้หน่อยซิว่าเป็นอะไร ดีไหม"
อ้าว...อยู่ๆ ท่านก็เอาอะไรมาให้ผมช่วยดู ท่านคิดอย่างไรจึงเอาของมาให้ผมช่วยดู แต่เมื่อท่านขอร้องมา...เอาก็เอา ผมยื่นมือไปรับของสิ่งนั้นมากำไว้ในมือ หลับตาเพื่อกำหนดจิตดูแล้วก็ตอบท่านกลับไปว่า "นี่คงจะเป็นก้อนเหล็กไหลนะครับ แต่ไม่ใช่เหล็กไหลธรรมดาเพราะเป็นเหล็กไหลที่มีพลังเย็น" หลวงเตี่ยได้ยินที่ผมตอบก็หัวเราะชอบใจ แล้วก็พูดในสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง "คุณนี่ใช้ญานของหลวงปู่เทพโลกอุดรตรวจของเลยหรือ" ผมก็เลยแกล้งพูดตอบท่านไปว่า "หลวงเตี่ยทราบได้อย่างไรครับ" ท่านหัวเราะ "ทำไมข้าจะไม่รู้" นี่ก็เป็นท่านที่สองแล้วที่พูดกับผมแบบนี้
ผมเองก็เก็บความลับนี้ไว้กับตัวไม่กล้าบอกใคร เพราะเป็นเรื่องของครูบาอาจารย์ที่ท่านมีเมตตาต่อผมเป็นกรณีพิเศษ แต่ยิ่งเรารู้ว่าท่านส่งญานมาอยู่กับเรา ผมยิ่งไม่กล้าทำอะไรผิดเลย แค่คิดก็ยังไม่กล้าคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถือศีลผมยิ่งไม่กล้าละเมิดศีลเลยเพราะกลัวว่าท่านจะรู้เห็นว่าเราผิดศีล แต่ก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะยิ่งเรารักษาศีลให้บริสุทธิ์เพียงใดก็เป็นผลดีกับเราเท่านั้น เหมือนท่านติดกล้องทีวีวงจรปิดคอยดูเราตลอดเวลา 555
ต่อมาเมื่อผมมีโอกาสทำการตรวจพลังอานุภาพของพระเครื่องให้กับหลวงป๋าวัดหลวงพ่อสด หลวงป๋าท่านชอบมาทดสอบให้ผมตรวจดูพระเครื่องต่างๆ วันหนึ่งขณะที่ผมกำลังตรวจเพลินๆ หลวงป๋าท่านก็พูดขึ้นมาว่า "อู๋ เธอใช้ญานของหลวงปู่เทพโลกอุดรตรวจดูพระเครื่องหรือ" ผมก็สะดุ้งซิครับเพราะผมก็ไม่เคยบอกหลวงป๋าเรื่องนี้ ใครๆ ผมก็ไม่บอกเพราะเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะมีใครมีแบบผม ผมก็เลยยิ้มๆ ตอบท่านไปว่า "ครับ" หลวงป๋าท่านพูดไปแล้วพอนานๆ ไปท่านก็คงจะลืมเรื่องนี้ ภายหลังขณะที่อยู่ท่ามกลางลูกศิษย์ที่มาทำบุญกับท่าน ท่านเกิดสงสัยในพระเครื่ององค์หนึ่ง ท่านก็เลยส่งมาให้ผมแล้วบอกว่าให้ตรวจดูให้หน่อยซิ ขณะที่ผมหยิบพระองค์นั้นมาไว้ในมือเพื่อกำหนดจิต หลวงป๋าก็พูดเสียงดังขึ้นมาว่า "เอ๊ะ...เธอนี่ใช้ญานของหลวงปู่เทพโลกอุดรอยู่หรือ" ท่านพูดออกมาซะเสียงดังได้ยินกันหมดเลย ที่จริงผมก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้ในเรื่องนี้ แต่หลวงป๋าท่านพูดออกมาเพราะท่านรู้สึกประหลาดใจ (ท่านลืมไปว่าเคยบอกผมมาแล้ว)
ผมมีเพื่อนรุ่นน้องท่านหนึ่งที่ผมรักเหมือนน้องเหมือนลูก (ในอดีตชาติ) น้องท่านนี้เขาได้ธรรมกายชั้นสูงแล้ว ชอบตรวจโน่นตรวจนี่และทดสอบวิชาเรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ ทางจิต แกชอบมาคอยสอดญานดูผมว่านั่งสมาธิไปถึงไหนแล้ว ชอบมาคุยกับเจ้าที่ของบ้านผมบ่อยๆ วันหนึ่งแกโทรมาบอกผมว่า "พี่อู๋ ผมเห็นบนศีษะของพี่อู๋มีพระโบราณอยู่ด้วยนะ แปลกมากเลย ทำไมพี่อู๋มีพระโบราณมาอยู่บนหัวด้วย สูงขึ้นไปประมาณ 1 ศอก" ผมก็เลยบอกไปว่า "ท่านก็คือหลวงปู่เทพโลกอุดรไงล่ะ (น้องคนนี้ไม่รู้จักหลวงปู่เทพโลกอุดร) ท่านมาอยู่กับพี่อู๋เป็นสิบปีแล้ว ขนาดผมไปถ่ายรูปด้วยกล้องแสงออร่าก็ยังเห็นเป็นดาวสว่างอยู่บนหัวของพี่อู๋เลย"
ผมเล่าเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นหลักฐานพยานว่า การทำความดีนั้นเราอย่าท้อ อย่าคิดว่าไม่มีใครรู้ อย่าทำน้อยแล้วขอมาก ให้ทำไปเรื่อยๆ ตั้งใจทำความดีเรื่อยไป แล้ววันหนึ่งเทพเทวาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านจะมาอยู่ด้วยกับเรา จะมาคุ้มครองเราเอง ไม่ต้องร้องขอใดๆ ความดีที่เราทำนั้นจะดึงดูดสิ่งดีๆ มาอยู่กับเราเอง

วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2560

ความเป็นมาของพระอรหันต์จกบาตร




ความเป็นมาของพระอรหันต์จกบาตร โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 14 มี.ค. 2560
เมื่อหลายสิบปีมาแล้วที่ผมได้พระอรหันต์จกบาตรองค์แรกมาจากเพื่อนคนหนึ่ง ตอนนั้นผมต้องใช้เงินไปถึง 4 หมื่นบาทในการบูชาพระองค์นี้มาเพียงองค์เดียว เงิน 4 หมื่นสมัยนั้นก็น่าจะเท่ากับเงิน 8 หมื่นบาทในสมัยนี้ ถามว่าเสียดายเงินไหม ผมไม่เสียดายเลย เพราะเพื่อนคนนี้ก็จะนำเงิน 4 หมื่นบาทของผมไปหล่อรูปหลวงปู่เทพโลกอุดรในท่านั่งสมาธิขนาดหน้กตักประมาณ 30 นิ้ว ซึ่งค่าใช้จ่ายในการปั้นและหล่อก็ราวๆ 4-5 หมื่นบาท เท่ากับผมก็มีส่วนในการหล่อรูปเหมือนของหลวงปู่เทพโลกอุดรด้วย ในวันนั้นเจ้าของพระถามผมว่า "คุณอู๋ยังคิดจะบูชาหระอรหันต์จกบาตรอยู่อีกไหม (เพราะราคาแพงมาก) ถ้าคุณอู๋เปลี่ยนใจไม่เอาผมก็ไม่ว่าอะไรแต่จะให้คนอื่นเขาบูชาไป" เพื่อนผมท่านนี้พูดต่อหน้าคนอีก 4-5 คนที่นั่งล้อมวงกันอยู่ หลายคนในวงนั้นก็พยักหน้าว่าอยากได้พระองค์นี้พร้อมที่จะขอบูชาต่อจากผม
ผมก็บอกไปว่า "ตกลงผมขอบูชาแน่นอน อีก 1-2 วันจะมาเอาพระแล้วจ่ายเงินให้เลย" ก็เป็นอันว่าผมจะได้พระแน่นอน คนอื่นก็แห้วไปนะครับ สมัยนั้นการจะหาพระอรหันต์จกบาตรให้ได้ซัก 1 องค์มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะตั้งแต่วันแรกที่ผมเห็นพระอรหันต์จกบาตรผมก็อยากได้มาก เจ้าของพระก็ไม่ยอมปล่อยและกลับบอกว่า "คุณอู๋ไปหาพระในตลาดดูก่อน อาจจะได้พบเจอบ้าง ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ค่อยมาคุยกันใหม่ เพราะผมก็มีอยู่องค์เดียว" เขาให้เวลาผมไปหาพระประมาณเกือบๆ 1 ปีเต็ม ผมต้องเข้าไปเดินในตลาดพระจนทั่วทั้งท่าพระจันทร์ บางลำภู ตลาดใหม่ดอนเมือง พญาไม้ จตุจักร และตามงานประกวดพระ ฯลฯ แต่ก็ไม่อาจหาได้ซักองค์ ยอมรับว่าถอดใจเลยเพราะเสียเวลาและแรงกายไปมากจริงๆ
วันที่จะได้พระอรหันต์จกบาตรองค์แรกมาอยู่ในมือ ท่านก็แสดงปาฏิหาริย์ให้ผมเห็นเลย คือวันนั้นผมมีนิมิตฝันตอนเช้าตรู่ว่าพระอรหันต์จกบาตรองค์ของเพื่อนผมนั้นแหละท่านเสด็จเหาะลอยมาในอากาศ ผมเห็นดังนั้นก็เลยยื่นมือขวาแบมือออกไปรอรับท่าน แล้วพระอรหันต์จกบาตรองค์นั้นก็เสด็จลอยเข้ามาอยู่ในมือผม โอ้โหในฝันนั้นผมดีใจสุดๆ เลย แล้วก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา พอตอนสายๆ ประมาณ 9 โมงเช้าเพื่อนคนนั้นจึงได้โทรมาบอกผมว่าถ้ายังอยากได้พระอรหันต์จกบาตรของเขาก็ให้มาหาที่บ้านเขาในวันนี้ (ตามที่ผมเล่าไปในตอนต้น) ดูซิครับท่านจะมาอยู่กับผมแท้ๆ แล้วท่านยังมาบอกล่วงหน้าด้วย
พอได้พระมาใหม่ๆ ก็ต้องเอาไปตรวจกันหน่อย ผมมีเพื่อนรุ่นน้องชื่อคุณต๊ะ น้องคนนี้แกมีดีพอตัว คืออดีตชาติแกคงจะเป็นลูกศิษย์ของพระฤๅษีท่านหนึ่ง เพราะแกมีญานของพระฤๅษีอยู่กับตัว คุณต๊ะจึงนั่งสมาธิแบบฤๅษีในแบบฉบับที่ไม่เหมือนใครเป็นการนั่งสมาธิแบบสมาธิเคลื่อนไหว คือเอาสติไปจับอาการเคลื่อนไหวของมือ ขา ลำตัวด้วยท่าทางต่างๆ ดูๆ ไปก็คล้ายการรำไท้เก๊กของจีน แต่สมาธิแบบนี้ก็ทำให้แกเกิดมีตาทิพย์ได้ ผมก็เลยเอาพระอรหันต์จกบาตรไปให้แกตรวจดูหน่อยในฐานะที่ชอบพอกัน
สถานที่คุณต๊ะทำงานก็ตั้งอยู่ในเขตของวังหน้า อาณาเขตของวังหน้านั้นกว้างใหญ่กว่าที่พวกเราคิดมากนะครับแต่ผมขอปิดไว้ว่าเป็นที่ไหนเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบตามมา พอคุณต๊ะเอาพระอรหันต์จกบาตรมาไว้ในมือแกก็บอกว่าให้ผมเดินตามมา แล้วแกก็พาผมเข้าไปในห้องที่กว้างขวางห้องหนึ่งเพื่อให้ได้อยู่กันเพียงลำพัง แล้วแกก็กำพระลงนั่งสมาธิได้พักเดียว แกก็มีท่าทางเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ลุกขึ้นยืนทำท่าขึงขัง เอาละซิผมก็ตกใจเหมือนกันไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาที่อยู่ๆ การตรวจพุทธคุณพระกลายเป็นการเข้าทรงซะอย่างนั้น
คุณต๊ะลุกขึ้นยืนแล้วก็ย่อตัวลงมาพนมมือเหมือนการไหว้ครูทำความเคารพด้วยความอ่อนน้อมมาก การพนมมือการร่ายรำออกท่าทางไม่เหมือนกับที่เราเคยเห็น มือไม้อ่อนช้อยไปหมด ท่วงท่าน่าดูชมจริงๆ แล้วแกก็กระโดดพรวดพราดออกไปกลางห้อง ตั้งท่าวางตัวแบบนักมวยกำมือแน่นออกท่าทางเหมือนจะรำมวยให้ดู ยกแข้งยกขาเตะซ้ายเตะขวา ฟาดไปข้างหน้า ฟาดไปข้างหลัง ฟันศอกซ้ายสลับศอกขวา การยืนตั้งการ์ดมวยก็ไม่เหมือนสมัยนี้ เพราะไม่ใช่ยืนตรงกำหมัดเหมือนนักมวย แต่เป็นการย่อตัวกึ่งยืนกึ่งนั่งเพื่อพร้อมที่จะกระโจนเข้าหาคู่ต่อสู้ คือบางจังหวะแกก็จะโดดตัวลอยขึ้นสูงตีเข่าบ้าง ตีศอกบ้าง อย่างที่เขาเรียกว่าเข่าลอยคือเข่ามันลอยไปในอากาศจริงๆ ผมขอบอกเลยว่าการได้ชมทหารโบราณแสดงท่าแม่ไม้มวยไทยครั้งนั้นมันช่างงดงามติดตาตรึงใจ มันเป็นศิลปะการต่อสู้ที่จริงจังว่องไวอันตรายในทุกท่วงท่า มันน่าภูมิใจในศิลปะแม่ไม้มวยไทยของเราที่สามารถเอาอวัยวะต่างๆ ในร่างกายมาเป็นอาวุธเข้าพิฆาตศัตรูได้อย่างแท้จริง
เมื่อวิญญาณทหารโบราณร่ายรำมวยไทยให้ผมดูได้พักใหญ่ เขาก็นั่งคุกเค่าลงพนมมือขึ้นเหมือนการแสดงความเคารพกับผมที่นั่งดูอยู่ห่างกันประมาณ 3 เมตร แล้วเขาก็น้อมตัวลงคลานเข้ามาหาผม การคลานของเขาก็ไม่เหมือนที่เราเคยเห็น เพราะที่เราเคยเห็นเขาก็คลานโดยใช้มือแบยันกับพื้นไว้แล้วคุกเข่าค่อยๆ เคลื่อนตัวเหมือนการเดินแต่ใช้มือและเข่าเดิน แต่นี่เขาคลานโดยการเอาข้อศอกและมือแนบไปที่พื้นก้มตัวลงต่ำแทบติดพื้น ไม่ใช่การคลานเข่าแต่เป็นการคลานศอกมากกว่า ท่วงท่าการคลานก็ว่องไว บิดตัวไปมาหัวไปทางหางไปทางยึกยักๆ ด้วยความคล่องแคล่วแปล๊บเดียวก็คลานมาถึงตัวผม พร้อมกับเอามือขวาที่ถือพระยื่นส่งพระอรหันต์จกบาตรคืนมาให้ผมด้วยท่าทำนองเหมือนกับการทูลเกล้า
ผมก็รับพระไว้แบบงงๆ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดว่าจะต้องมาเจอเหตุการณ์เช่นนี้ เรื่องมันยังไม่จบครับ ไม่ทันไรน้องต๊ะก็เปลี่ยนไปอีกเหมือนเป็นคนละคน ลุกขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้ด้านหลังของผมแล้วก็หัวเราะเสียงดังมากอย่างคนอารมณ์ดี ฮ่าๆๆๆ สีหน้าท่าทางดีอกดีใจที่ได้เจอกับผม เอามือชี้ที่ตัวเองแล้วก็ชี้ไปที่รูปหล่อองค์หนึ่งที่ตั้งประดิษฐานไว้บนหิ้งที่มุมหนึ่งของห้อง ซึ่งในห้องนั้นเป็นห้องที่มีการตกแต่งเป็นพิเศษพื้นห้องปูด้วยพรมสีแดง มุมห้องด้านหนึ่งมีการตั้งประดิษฐานรูปหล่อโลหะสูงประมาณ 16 นิ้ว เป็นรูปคนโบราณยืนไม่สวมเสื้อ นุ่งคล้ายผ้าโสร่งคาดเข็มขัด รูปร่างท้วม ผมสั้นเกรียน ผมมองไปที่รูปปั้นนั้นก็รู้ความหมายในทันทีแต่ผมไม่กล้าเขียนบอกไว้ในที่นี้ ท่านบอกว่าท่านคือคนเดียวกับรูปปั้นนั้น แล้วก็ยื่นมือทั้งสองเข้ามาโอบกอดผมจับหัวจับตัวผมด้วยความรักใคร่เอ็นดู.....

วันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2560

นิมิตครั้งแรกถึงหลวงปู่เทพโลกอุดร


นิมิตครั้งแรกถึงหลวงปู่เทพโลกอุดร โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 10 มี.ค.60
หลายครั้งที่ผมได้ยินเรื่องราวที่ผู้ปฏิบัติธรรมต้องเดินทางไปเพื่อเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้พบครูบาอาจารย์ที่เก่งๆ เพื่อขอเรียนวิชากับท่าน บางคนก็ได้พบ บางคนก็ไม่ได้พบ แต่บางครั้งผมก็กลับมีความคิดว่าใครตามหาใครกันแน่ ครูบาอาจารย์ท่านตามหาเรา หรือเราไปตามหาครูบาอาจารย์ หรือต่างฝ่ายต่างก็ตามหากัน เพราะเท่าที่ผมได้มีประสบการณ์ก็คือท่านเมตตาตามหาเราจนเจอมากกว่า....
ตอนที่ผมยังหนุ่มๆ อยู่นั้นเรื่องราวของหลวงปู่เทพโลกอุดรยังมีการพูดถึงกันน้อยมาก เรื่องราวของท่านอาจจะมีการพูดถึงกันในกลุ่มของพระป่าที่ออกธุดงค์ หรือในหมู่คนที่ปฏิบัติธรรมกันอย่างเอาจริงเอาจังเท่านั้น แต่ยังไม่มีการพูดถึงหลวงปู่กันอย่างกว้างขวางเหมือนในปัจจุบัน สำหรับผมเองในช่วงนั้นก็ยังไม่รู้จักหลวงปู่ด้วยซ้ำ
เหตุการณ์นี้แม้จะล่วงเลยผ่านมาหลายสิบปีแล้วแต่เมื่อนึกถึงครั้งใดก็ยังเกิดปีติทุกครั้งในความเมตตาของท่านที่มีต่อผม ในตอนค่อนรุ่งของเช้าวันหนึ่งผมได้มีนิมิตว่าได้ไปยืนอยู่ที่สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมีความสวยงามมาก ที่แห่งนั้นเหมือนเป็นสวนดอกไม้ที่อยู่กันเป็นกลุ่มๆ ใหญ่บ้างเล็กบ้าง ดอกไม้ก็มีสีสันต่างๆ งดงามมาก ระหว่างกลุ่มดอกไม้ก็เป็นสนามหญ้าที่เรียบเนียนยาวเสมอกันงามตาสีเขียวสดใสตัดกับสีดอกไม้ บรรยากาศสดใสเย็นสบายๆ สถานที่แห่งนั้นก็ไม่ใช่ที่เรียบๆ เสมอกันไป แต่เป็นเหมือนเนินดินสูงบ้างต่ำบ้าง เป็นสถานที่สวยงามที่สุดที่ผมเคยเห็นและคงไม่ใช่สถานที่ในโลกมนุษย์อย่างแน่นอน เพราะสถานที่แห่งนั้นแม้จะมีความสว่างแต่ก็เป็นที่ๆ ไม่มีแดด ไม่มีเงา ความสว่างของแสงสว่างทั่วถึงเท่ากันทุกที่ ไม่รู้แสงนั้นมาจากไหนเพราะไม่มีดวงอาทิตย์ อากาศก็สดชื่นเย็นสบาย (ในภายหลังผมได้ไปกราบเรียนถามหลวงป๋าว่าที่ผมไปในนิมิตนั้นเป็นที่ไหนกันแน่ หลวงป๋าท่านบอกว่าน่าจะเป็นสถานที่ในมิติพิเศษที่หลวงปู่เทพโลกอุดรท่านเนรมิตขึ้นมา)
ผมมองดูสถานที่แห่งนี้ด้วยความเพลิดเพลิน ขณะที่กำลังเดินชมสวนอยู่นั้นพลันก็เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งท่านยืนอยู่ตรงหน้าห่างออกไปราว 10 เมตร ท่าทางของท่านสำรวมมาก ท่านยืนอยู่นิ่งๆ มองมาที่ผม เอามือทั้งสองประสานกันที่ด้านหน้าด้วยความสำรวม องค์ท่านสูงราวๆ 180-190 ซม. อายุน่าจะประมาณ 80 ปี ผมของท่านมีสีขาวแซมสีเทา หน้าตาผ่องใสมีสง่าราศีน่าเคารพมาก ห่มจีวรสีกรักเคร่งขรึมแต่ผมรู้สึกได้ถึงความเมตตาที่ท่านแผ่ออกมา ใบหน้าท่านเหมือนอมยิ้มน้อยๆ แต่ผมก็ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร
เมื่อผมเห็นพระที่ไม่รู้จักยืนอยู่ตรงหน้าแต่ก็เกิดความเคารพในองค์ท่านอย่างประหลาด ผมก็เลยรีบเดินเข้าไปหาท่านเพื่อที่จะไปกราบที่เท้าท่าน แต่ระหว่างตัวผมและหลวงปู่มีซุ้มไม้สีขาวรูปตัวยูคว่ำซึ่งเป็นเหมือนการจัดแต่งสวนให้ดูสวยงามตั้งคั่นอยู่ ดังนั้นการที่ผมจะเดินเข้าไปหาท่านได้ก็ต้องเดินลอดใต้ซุ้มไม้รูปตัวยูสีขาวนี้ ขณะที่ผมกำลังจะเดินลอดก็ได้ยินเสียงหลวงปู่ท่านพูดขึ้นมาว่า "ไม่ต้องเดินลอดเข้ามา ให้เหาะข้ามมา" ท่านอยู่ค่อนข้างไกลแต่ผมก็ได้ยินท่านพูดชัดเจน ผมเลยตอบท่านไปว่า "หลวงปู่ครับ ผมยังเหาะไม่เป็นเหาะข้ามไปไม่ได้หรอกครับ" หลวงปู่ท่านก็ตอบกลับมาอีกว่า "เอาเถอะ หลวงปู่จะช่วย"
ผมจึงทำจิตให้มีสมาธิกำหนดให้เหาะข้ามไม้รูปตัวยูสีขาวนั้น พลันตัวผมก็ค่อยๆ ลอยสูงขึ้นๆ จนสามารถข้ามไม้รูปตัวยูคว่ำนั้นได้ การเหาะขึ้นไปได้นี้ทำให้ผมรู้สึกเพลิดเพลินและดีใจมาก ดังนั้นแทนที่ผมจะเหาะลงมาหาหลวงปู่ ผมกลับเหาะต่อไปสูงขึ้นๆ เพื่อท่องเที่ยวดูสถานที่แห่งนั้น แล้วผมก็มองเห็นหลวงปู่ท่านนั้นเหาะตามประกบผมมาที่ด้านหลังเพื่อเป็นพี่เลี้ยงให้ผม เหาะคู่ประกบกันไปเลยท่านเหาะอยู่ข้างหลังผมประมาณ 1 เมตร ท่านคงขำที่ผมเหาะเลยท่านไปแต่ท่านก็เมตตาเหาะพาผมเที่ยวเล่นจนทั่ว อย่างว่าแหละครับคนไม่เคยเหาะได้มาก่อน เมื่อเหาะได้ก็เลยลืมที่จะเหาะลงไปกราบเท้าท่านอย่างที่ตั้งใจแต่แรก
การเหาะในทางฤทธิ์นี้ไม่เหมือนกับที่ผมเคยคิดไว้เลย เพราะเดิมนั้นผมก็คิดว่าเขาเหาะก็จะต้องเหาะในท่าแบบซูเปอร์แมนที่เหาะโดยเอาตัวขนานไปกับพื้น เอามือยื่นไปข้างหน้าแล้วก็เหาะไป นั่นมันเป็นการเหาะที่มนุษย์คิดไปกันเอง แต่การเหาะที่แท้จริงทางฤทธิ์อภิญญาแล้วท่านเหาะโดยอาการยืนนิ่งๆ แล้วตัวเราก็เคลื่อนที่ไปในอากาศ ผมเหาะเที่ยวเล่นอยู่ในดินแดนนั้นนานเท่าใดก็ไม่ทราบ เพราะมันเพลิดเพลินและมีความสุขมากอย่างไม่เคยพบมาก่อน
จนผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนเช้าตรู่พร้อมกับความปีติที่ได้มีฝันดีแบบนี้ เป็นฝันที่ดีที่สุดที่ผมเคยฝันมาเลย แต่หลวงปู่ที่มานิมิตนี้ผมก็ไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร และในนิมิตผมก็ลืมถามชื่อของท่าน จนมาวันหนึ่งผมได้ไปที่แผงหนังสือจึงได้เห็นรูปของหลวงปู่องค์ที่ผมฝันถึง ท่านก็คือหลวงปู่เทพโลกอุดรนั่นเอง รูปร่างหน้าตา ท่าทางเหมือนกับหลวงปู่ที่ผมเจอในนิมิตไม่มีผิด เป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ ที่ท่านเมตตามาโปรดผม จนทุกวันนี้ผมก็ยังจำนิมิตครั้งนี้ได้เป็นอย่างดี หลวงปู่เทพโลกอุดรท่านเป็นที่เคารพอย่างสูงสุดของเหล่าพระป่า เพราะมีเรื่องเล่ากันมาว่าท่านชอบไปช่วยเหลือพระธุดงค์ที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยท่านมักจะไปสอนวิธีปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง ช่วยให้พ้นจากอันตราย ช่วยรักษาโรค ฯลฯ เนื่องจากหลวงปู่ท่านเป็นพระผู้มีหน้าที่ดูแลพระศาสนาในเขตสุวรรณภูมินี้ แม้ทุกวันนี้ผมก็ยังระลึกถึงท่านและมีท่านอยู่ในใจของผมตลอดเวลา และก็ได้มีนิมิตถึงท่านในภายหลังอีกหลายครั้ง ในครั้งหนึ่งท่านจึงได้บอกแก่ผมว่า "เราคือหลวงปู่เทพโลกอุดร" ไม่ผิดองค์แน่นอน