วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2559

พระอรหันต์จกบาตร (ปางภัตตกิจ)




พระอรหันต์จกบาตร (ปางภัตตกิจ)
วันนี้วันดี ผมขอเล่าเรื่องพระอรหันต์จกบาตรนี้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ทราบไว้ พระรุ่นนี้เป็นพระกรุวังหน้าเนื้อชินตะกั่วนี้มีอายุประมาณ 200 กว่าปี นับเป็นพระวังหน้าพิมพ์ที่หายากมากพิมพ์หนึ่ง และเชื่อกันว่าเป็นพระพิมพ์พิเศษที่สร้างขึ้นเพื่อถวายแก่เจ้านายฝ่ายใน หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากลักษณะพิมพ์มีความสวยงามและประณีตยิ่งนักเป็นฝีมือการออก แบบและสร้างโดยช่างสิบหมู่ของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาถ (บุญมา) ที่ทรงมีฝีมือทางการรบเป็นเยี่ยม ทั้งยังมีวิชาอาคมระดับเสกใบมะขามให้เป็นต่อเป็นแตน แล้วสั่งให้ไปต่อยทหารพม่าจนต้องหนีกระเจิดกระเจิงมาแล้ว เชื่อกันว่าเสด็จวังหน้าพระองค์นี้ก็คือศิษย์เอกฝ่ายฆราวาส และเป็นผู้ตั้งพระนามให้แก่พระอาจารย์ผู้เป็นอมตะของท่านว่า “หลวงปู่เทพโลกอุดร” นั่นเอง
ในสมัยนั้นเข้าใจว่าเมื่อเสร็จสิ้นสงครามใหญ่ที่เรียกกันว่าสงครามเก้าทัพ กับพม่าแล้ว โลหะต่างๆ คงจะเป็นของหายากเนื่องจากต้องนำไปใช้ทำเป็นอาวุธต่างๆ พระที่สร้างในสมัยนั้นจึงเป็นพระเนื้อดินหรือเนื้อผงเป็นส่วนมาก พระเนื้อชิน (โลหะ) มีเป็นส่วนน้อย ข้าพเจ้าเคยสอบถามท่านผู้รู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเปิดกรุวังหน้า ท่านเล่าว่าพระที่พบในกรุมักเป็นพระเนื้อดินเผา จะมีพระเนื้อชินในกรุเพียงไม่ถึง 100 องค์ในแต่ละกรุเท่านั้น จึงไม่เป็นการกล่าวเกินเลยไปว่าพระพิมพ์นี้ซึ่งมีอยู่น้อยตั้งแต่ในกรุนั้น คงจะสร้างขึ้นเสำหรับเจ้านายฝ่ายในเท่านั้น
ข้าพเจ้าได้พระชุดนี้องค์แรกจากเพื่อนผู้หนึ่งเมื่อประมาณปี 2536 เมื่อไปกราบพระตามที่ต่างๆ ก็จะแขวนไปด้วยเสมอ และหลายครั้งที่ได้พบกับพระหรือฆราวาสที่ท่านมีคุณวิเศษหูทิพย์ตาทิพย์ เช่น หลวงพ่อเอียด จ.พัทลุง อาจารย์รังษีญาณ หลวงน้าอ๊อดย่ามแดง ปู่โทน หลำแพร ฯลฯ ท่านมักจะพูดกับข้าพเจ้าว่า “แขวนพระอะไรมาล่ะรัศมีเป็นฉัพพรรณรังสีเชียวนะ” หรือไม่ก็จะพูดว่า “ทำไมต้องแขวนพระหลายองค์ด้วย แขวนพระองค์กลางองค์เดียวก็พอ” ทั้งนี้เพราะบางครั้งข้าพเจ้าก็แขวนไปพร้อมกันทีเดียว 3 องค์ แต่ก็จะแขวนพระชุดนี้ไว้เป็นองค์กลางเสมอ หรือบางท่านก็พูดปนประหลาดใจว่า “เอ๊ะนี่พระของหลวงปู่เทพโลกอุดรนี่” ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าไม่เคยไปพูดหรือถามนำก่อนเลย โดยเฉพาะอาจารย์รังษีญาณ พงษ์สัจจา นั้นท่านเคยดูให้แล้วบอกตรงๆ เลยว่าเป็นพระของหลวงปู่เทพโลกอุดร
ครั้งนั้นท่านดูให้ในราวปี พ.ศ. 2539 ที่บ้านของท่านย่านถนนราษฎร์บูรณะ ฝั่งธนบุรี วันที่พบกันครั้งแรกนั้นข้าพเจ้าก็ได้ทำการทดสอบท่านก่อน โดยการนำรูปรูปหนึ่งที่พกติดตัวอยู่เสมอคว่ำหน้าลงกับพื้นโต๊ะ ให้เห็นแต่กระดาษขาวหลังรูปอันว่างเปล่าเท่านั้น แล้วขอให้ท่านเอามือมาทาบสัมผัสหลังรูปนั้น โดยขอให้ท่านบอกว่ารู้สึกอย่างไรกับกระดาษแผ่นนี้ เมื่อท่านเอามือแตะที่หลังรูปเพียงครู่เดียวก็พูดออกมาว่า “นี่เป็นรูปของพระอรหันต์ผู้ไม่ตาย คือหลวงปู่เทพโลกอุดรซึ่งก็คือผู้ที่แผ่ญาณคุ้มครองคุณอยู่นั่นเอง” ข้าพเจ้าฟังแล้วถึงกับขนลุกซู่น้ำตาไหลเพราะรู้สึกทั้งดีใจทั้งซาบซึ้งใจที่ ได้รู้ และได้พบกับผู้ที่มีญาณทัศนะอันแม่นยำเช่นนี้
นอกจากนั้น ข้าพเจ้ายังเคยขอให้พระองค์หนึ่งที่ข้าพเจ้ารักและเคารพมาก มีความสนิทสนมมานานกว่า 40 ปี (วัดอยู่ในอำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี) ทั้งทราบดีว่าท่านเป็นผู้ที่มีญาณทัศนะดีมากให้ช่วยตรวจดูพระองค์นี้ว่าเป็น อย่างไร ท่านบอกว่า “เท่าที่เห็น จะจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ เมื่อมองเข้าไปในองค์พระ ได้เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งมีลักษณะดีน่าเคารพมาก ท่านยืนในท่าสำรวมมือประสานกันที่ด้านหน้า ยืนอยู่บนเนินเตี้ยๆ ที่ปูลาดไปด้วยลานหญ้าที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี พระองค์นี้คือหลวงปู่เทพโลกอุดร เข้าใจว่าท่านจะอยู่ในแดนพิเศษที่ท่านเนรมิตขึ้น” ข้าพเจ้าฟังแล้วก็เกิดอาการปีติขนลุกทีเดียวเพราะท่านพูดตรงกับที่ข้าพเจ้า เคยมีนิมิตเห็นหลวงปู่เทพโลกอุดรก่อนหน้านั้นไม่ผิดเพี้ยน ทั้งลักษณะของหลวงปู่และภูมิประเทศโดยรอบ
ท่านยังบอกอีกว่ารัศมีของพระชุดนี้เป็นฉัพพรรณรังสี ส่วนตรงกลางมีดวงกลมรัศมีสีทองสุกสว่างแตกต่างจากพระทั่วไปอีกด้วย ทั้งนี้พระส่วนใหญ่แต่ละองค์ก็จะมีรัศมีเพียงสีเดียว เช่น สีแดง สีขาว สีเหลือง สีเขียว สีฟ้า ฯลฯ แต่ละสีก็มีพุทธคุณแตกต่างกันไป แต่องค์นี้องค์เดียวกลับมีอยู่ทุกสี
เมื่อประมาณปี 2541 ข้าพเจ้าและเพื่อนได้ไปกราบหลวงปู่สรวง เทพเจ้าแห่งบ้านละลม ต.ละลม อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งท่านมักจะอาศัยอยู่บนแคร่ไม้ตามเชิงนา โดยไม่สนใจต่อสายลม สายฝน และแสงแดด มูลเหตุที่ข้าพเจ้าดั้นด้นไปกราบท่านก็เพราะข้าพเจ้าเคยไปพบปู่โทน หลำแพร ที่บ้านทรงไทย อ.ตาคลี (ใกล้สถานีรถไฟตาคลี) จ.นครสวรรค์ ซึ่งทราบกันดีว่าท่านก็เป็นลูกศิษย์ฆราวาสของหลวงปู่เทพโลกอุดรท่านหนึ่ง แล้วได้ถามท่านว่าในปัจจุบันนี้ปู่คิดว่าใครเป็นผู้ที่มีภูมิจิตภูมิธรรมและ ทรงวิชาสูงที่สุดในประเทศไทยที่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านจึงบอกพวกข้าพเจ้าว่า “คิดว่าเป็นหลวงปู่สรวงแห่งบ้านละลมนะ ถ้ามีโอกาสก็ให้ไปกราบซะ” ข้าพเจ้าจึงถามที่อยู่ของท่าน แต่ปู่โทนบอกว่าที่อยู่ที่แน่นอนนั้นไม่รู้ เพราะหลวงปู่สรวงอยู่ไม่เป็นที่ แต่มักจะอยู่ที่เชิงนา ให้ลองไปสอบถามชาวบ้านดูเอาเอง ท่านเป็นพระชาวเขมรเข้ามาอยู่ในไทยนานแล้ว
ข้าพเจ้าและเพื่อนก็ไม่รอช้า เมื่อมีเวลาว่างก็นั่งรถ บขส.ไปลงที่ อ.ขุขันธ์ แล้วตามหาหลวงปู่สรวงจนพบ เมื่อกราบท่านเสร็จคุณนคร ศิลปศาสตร์ เพื่อนของข้าพเจ้าก็รีบเอากล้องถ่ายรูปออกมาถ่าย แต่กดชัตเตอร์ไม่ลง กดอย่างไรก็กดไม่ลง ตกลงถ่ายรูปไม่ได้ยืนงงอยู่ จนลูกศิษย์คนอื่นๆ ทราบก็เลยบอกให้ขออนุญาตหลวงปู่ก่อน เมื่อขออนุญาตแล้วจึงถ่ายได้เป็นที่น่าอัศจรรย์

ข้าพเจ้าเมื่อกราบท่านเสร็จก็ถวายเครื่องสังฆทานท่านพร้อมกับซองปัจจัย ท่านก็นั่งเฉยๆ ไม่ยินดียินร้ายเพียงแต่ทำทีให้รู้ว่ารับแล้ว หลังจากนั้นท่านก็แกะพลาสติกที่หุ้มถังสังฆทานออกแล้วแจกจ่ายของออกเดี๋ยว นั้นเลย เงินที่ถวายให้ท่านท่านก็ให้แก่ชาวบ้าน (เจ้าของที่นาที่ท่านมาอาศัยอยู่) ไม่เก็บเอาอะไรไว้เป็นของท่านเลย ข้าพเจ้าเห็นเป็นโอกาสดีจึงได้ถอดพระองค์นี้ (เลี่ยมทองมาอย่างดี) ออกจากคอเพื่อให้หลวงปู่อธิษฐานจิตเพิ่มพลังให้ ในวันนั้นข้าพเจ้าแขวนไปเพียงองค์เดียว จึงได้พูดขอกับท่านว่า “หลวงปู่ครับช่วยเป่าเพิ่มให้ผมด้วยครับ” พร้อมกับยื่นพระส่งให้ท่านรับไว้ ท่านกลับไม่เป่าให้แต่หยิบพระขึ้นมาดูอย่างพินิจพิเคราะห์ เสร็จแล้วก็เอามือถือสร้อยไว้ปล่อยให้พระห้อยลงมา ยกขึ้นยกลงพร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้วจึงมองมาทางข้าพเจ้าพร้อมกับทำทีว่าขอพระองค์นี้นะ
ข้าพเจ้ารักพระองค์นี้มากเพราะเป็นองค์แรกและได้มาโดยยากทั้งแขวนติดตัวเป็น ประจำ แต่ก็อยากได้บุญและเห็นเป็นโอกาสดีที่พระระดับนี้มาขอกับข้าพเจ้าโดยตรงต่อ หน้าคนนับสิบคนจึงตอบไปว่า “ถ้าหลวงปู่อยากได้ผมก็ยินดีถวายครับ” พอพูดขาดคำท่านก็หย่อนพระของข้าพเจ้าลงกระเป๋าเสื้อที่หน้าอกท่านทันที พร้อมกับยิ้มน้อยๆ ตามเอกลักษณ์ของท่าน (วันนั้นหลวงปู่ใส่เสื้อขาวบางๆ แล้วห่มด้วยจีวรพระทับอีกชั้นหนึ่ง) พวกลูกศิษย์ต่างก็แปลกใจไปตามๆ กัน เพราะไม่เคยเห็นท่านขอพระจากใครเลย แม้แต่ปัจจัยสิ่งของต่างๆ ท่านก็ไม่ขอจากใครแต่กลับมาขอพระกับข้าพเจ้าทั้งที่มากราบท่านเป็นครั้งแรก ทั้งยังไม่ใช่ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดของท่านถือว่าเป็นเรื่องแปลกทีเดียว จึงได้เข้ามารุมสอบถามข้าพเจ้าเป็นการใหญ่ว่าเป็นพระอะไรมีดีอย่างไรที่หลวง ปู่ถึงได้ขอไว้ เป็นอันว่าพระชุดนี้องค์แรกของข้าพเจ้าได้ถวายกับหลวงปู่สรวงไปแล้ว
ตอนขากลับข้าพเจ้าได้เข้าไปกราบลาท่านพร้อมกับขอให้ท่านเป่ากระหม่อมให้ (นึกในใจ) ข้าพเจ้าจึงก้มหน้าอยู่แต่ก็เหลือบตามองท่านก็เห็นท่านนั่งอยู่เฉยๆ ทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่ปรากฏว่าได้มีกระแสไอเย็นพุ่งเข้ามาที่กลางกระหม่อม แล้วแทรกเข้าไปในลำตัวของข้าพเจ้าทันที (กระแสเย็นนั้นพุ่งเข้ามาเป็นลำเหมือนท่อนไม้ขนาดกว้าง 6-7 นิ้วเลยทีเดียว) นับเป็นครั้งแรกของข้าพเจ้าที่ได้มีประสบการณ์เช่นนี้ ทั้งที่ได้ไปกราบพระมาแทบจะเรียกได้ว่าทั่วประเทศ แต่ก็ไม่เคยมีท่านใดเป่ากระหม่อมข้าพเจ้าจนเป็นกระแสไอเย็นลำขนาดใหญ่เช่น นี้เลย มีแต่เพียงทำให้เกิดปีติขนพองขึ้นเท่านั้น สมกับที่ข้าพเจ้าเชื่อว่าหลวงปู่สรวงองค์นี้มีภูมิจิตภูมิธรรมเป็นอันดับ หนึ่ง และอายุท่านก็ไม่รู้ว่ากี่ร้อยปีแล้ว เพราะบางคนบอกว่า 280 ปี บางคนบอกว่าเกิน 300 ปี พร้อมกันนั้นข้าพเจ้าก็โชคดีหลังจากกลับมาก็ถูกรางวัลล็อตเตอรี่งวดนั้นพอ หอมปากหอมคออีกด้วย (อายุจริงเมื่อละสังขารร่างนี้น่าจะ 514 ปี)
เมื่อต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2542 ข้าพเจ้าได้มีโอกาสพบกับอาจารย์วิทิต พูลสุวรรณ ซึ่งท่านเป็นผู้มีความสามารถพิเศษทางตาทิพย์และสามารถติดต่อกับหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอกได้ โดยข้าพเจ้าได้ถอดพระชุดนี้ออกจากคอ (คนละองค์กับองค์แรก) แล้วถามอาจารย์วิทิต โดยไม่ได้มีการบอกรายละเอียดเกี่ยวกับองค์พระแต่อย่างใดเลย เพียงถามว่า “พระองค์นี้เป็นอย่างไรบ้างครับ” ท่านเงียบไปเพียงครู่เดียวก็พูดออกมาว่า “หลวง
พ่อจงท่านว่าเป็นพระของหลวงปู่เทพโลกอุดรมีพุทธคุณชั้นหนึ่ง หายากมาก เป็นพระผิดพิมพ์ (แปลว่าคนทั่วไปไม่รู้จัก) คุณต้องรักษาไว้ให้ดีนะเป็นของดีมาก ดีทุกทาง แขวนเพียงองค์เดียวก็พอ” และอาจารย์วิทิตยังได้พูดถึงภูมิหลังของข้าพเจ้าได้อย่างถูกต้อง ทำให้ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านเป็นผู้หนึ่งที่มีคุณวิเศษจริงน่าเชื่อถือได้
ลักษณะของพระอรหันต์จกบาตรชุดนี้ ถ้าสังเกตดูให้ดีจะพบว่า โดยเฉพาะใบหน้าและรูปร่ามีความละม้ายคล้ายคลึงกับพระเนื้อผงของพระกรุวัง หน้า (บุญมา) พิมพ์พระอรหันต์เล็ก พระอรหันต์กลาง พระอรหันต์ใหญ่ และพิมพ์อธิษฐานฤทธิ์ ซึ่งพระผงชุดนี้เป็นพระที่นิยมและรู้จักกันอย่างดีในหมู่ผู้เคารพในองค์หลวง ปู่เทพโลกอุดรเป็นอย่างมากอยู่แล้ว (พระผงชุดนี้มีทั้งหมดประมาณ 14 พิมพ์) และพระอรหันต์จกบาตรพิมพ์นี้ก็มีรูปร่างได้สัดส่วนสวยงาม สามารถมองเห็นหน้าตาคิ้วหูจมูกปากได้อย่างชัดเจน แม้พระรุ่นปัจจุบันก็ยังไม่เห็นมีพิมพ์ไหนงดงามเท่า
เมื่อสังเกตดูที่ใต้ฐานก็จะพบว่ามีตุ่มโลหะเนื้อเดียวกันอยู่ตุ่มหนึ่ง ผู้ที่ไม่รู้ก็จะบอกว่าเป็นตุ่มช่อแกน (ก้าน) ของกิ่งที่ทำไว้ให้โลหะวิ่งเข้าองค์พระในขั้นตอนการหล่อพระ แล้วช่างตัดไม่หมดเหลือเป็นตุ่มเอาไว้ ซึ่งก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะช่างหลวง (ช่างสิบหมู่) ระดับนี้จะปล่อยให้งานไม่เรียบร้อยออกไปได้อย่างไร จะเสียเวลาอีกเพียงเล็กน้อยในการขัดแต่งใต้ฐานพระให้เรียบร้อยไม่ได้เชียว หรือ แต่ที่น่าจะเป็นก็คือใต้ฐานพระนี้เขาเจาะรูไว้เพื่อบรรจุผงวิเศษ ซึ่งเล่าต่อๆ กันมาว่าเป็นผงที่หลวงปู่เทพโลกอุดรท่านนำมาบรรจุเองมีพุทธคุณเป็นเลิศ แล้วจึงอุดฐานพระนี้ด้วย “ลูกหยอด” ผงวิเศษนี้เพียงเล็กน้อยก็คุ้มครองได้สารพัด ผู้มีไว้สามารถเดินทางเข้าป่าได้โดยไม่มีอันตราย พระชุดนี้จะต้องมีลูกหยอดทุกองค์
นอกจากนั้นยังมีผงอัฐิของทหารกล้าของไทยที่ตายในสนามรบอีกด้วย ซึ่งเข้าใจว่าส่วนใหญ่จะตายลงในศึกสงครามเก้าทัพ ทุ่งลาดหญ้า เมืองกาญจนบุรี โดยฝ่ายไทยภายใต้การนำทัพของเสด็จวังหน้าได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดจนพม่าไม่ กล้ามาย่ำยีไทยอีกเลย แม้ว่าเราจะมีกำลังน้อยกว่าพม่าเพียงหนึ่งในสามเท่านั้นก็ตาม โดยฝ่ายไทยใช้ทหารเพียง 30,000 คนเข้าตะลุมบอนกับทหารพม่าถึง 100,000 คน
จากประสบการณ์ส่วนตัวของข้าพเจ้าก็ได้เคยสัมผัสกับจิตวิญญาณ (เทพ) ที่อยู่ในองค์พระหลายครั้ง จึงเชื่อว่าตำนานที่รู้มานี้คงจะเป็นเรื่องจริง ซึ่งทหารเหล่านี้จะแต่งกายด้วยชุดขาวและมักจะคอยช่วยคุ้มครอง หรือมีนิมิตเตือนเรื่องต่างๆ อยู่เสมอ แต่ในบางครั้งก็จะแต่งกายเป็นทหารโบราณมีดาบยาวพาดหลัง 2 เล่ม ทำหน้าที่เป็นเทพประจำองค์พระ เชื่อกันว่าผู้ไม่มีศีลจะไม่สามารถเอาพระชุดนี้ไปบูชาได้เลยต้องรีบนำเอาไป ถวายวัด แต่สำหรับผู้มีศีลมีธรรมแล้วจะกลับกัน เพราะจะรู้สึกรักในองค์พระมองดูไม่รู้เบื่อกับพุทธศิลป์ชั้นเลิศ ใช้แล้วดีมีกินมีใช้ ไม่มีคำว่าอด
เมื่อตอนที่ข้าพเจ้าจะได้พระอรหันต์จกบาตรองค์แรกนั้น ข้าพเจ้าได้มีนิมิต (ฝัน) เห็นเจ้าของเดิมเดินมาหาข้าพเจ้าพร้อมทั้งยื่นมือที่ถือพระอรหันต์จกบาตรมา ให้แล้วพูดว่า “พระเป็นของคุณ” ข้าพเจ้ารับพระองค์นั้นไว้พร้อมกับพนมมือขึ้นเหนือเกล้าด้วยความปีติอย่าง ยิ่งแล้วก็สะดุ้งตื่นขึ้นในช่วงเช้ามืด ในวันนั้นเองเจ้าของพระเดิมก็โทรมาหาข้าพเจ้า พร้อมทั้งบอกว่าได้ตัดสินใจที่จะมอบพระให้ข้าพเจ้าแล้วหลังจากที่เคยให้ สัญญาไว้เมื่อหลายเดือนก่อน หลังจากนั้นประมาณ 3-4 วันข้าพเจ้าก็ได้พระองค์นั้นมา ซึ่งก็มีเรื่องที่ขอเล่าแถมท้ายว่า เช้าตรู่ของวันที่จะได้พระมานั้นข้าพเจ้าก็มีนิมิต (ฝัน) ตอนเช้ามืดอีกว่า ได้เข้าเฝ้าในหลวงองค์ปัจจุบันภายในพระราชวังเป็นการส่วนพระองค์อีกด้วย ซึ่งโดยทั่วไปการที่ได้ฝันถึงองค์ในหลวงเขาก็ถือกันว่าเป็นฝันดีจะมีโชคอะไร ทำนองนั้น ในส่วนของข้าพเจ้าก็ถือว่าเป็นโชคดีอย่างยิ่งที่จะได้เป็นเจ้าของพระอรหันต์ จกบาตรในวันนั้น (เป็นองค์เดียวกับที่ถวายลป.สรวง)
คืนแรกที่ได้มาข้าพเจ้าก็ทำการทดสอบเลย โดยการนั่งสมาธิกำหนดจิตให้นิ่งแล้วก็อธิษฐานขอเข้าไปดูในองค์พระว่ามีอะไร บ้าง นั่งอยู่เป็นชั่วโมงก็ไม่เห็นอะไรเลยเลิกนั่ง พอล้มตัวลงนอนเพียงไม่นานเท่านั้นจิตก็วิ่งวูบเข้าไปที่องค์พระ เหมือนโดนดูดเข้าไปด้วยความเร็วรู้สึกเสียวแวบเดียวก็เหมือนเข้าไปยืนอยู่ ที่ๆ หนึ่ง รอบๆ ตัวมองไม่เห็นอะไรเพราะเป็นความมืด แต่ด้านหน้าที่มองเห็นนั้นมีคนอยู่กลุ่มหนึ่งเป็นผู้ชายนั่งอยู่รอบโต๊ะไม้ ที่ใช้ประชุมกัน มีกันอยู่ประมาณ 4-5 คน นั่งมองมาทางข้าพเจ้าเหมือนรอข้าพเจ้าอยู่อย่างนั้น ทุกคนแต่งตัวด้วยชุดขาวหน้าตาเข้มแข็งน่าเกรงขาม ทั้งหมดอยู่ในวัยกลางคน บางคนไว้หนวดดูดุดัน บางคนก็ยิ้มแย้มท่าทางดีใจที่ได้พบรู้จักกันเป็นครั้งแรก แต่ที่แปลกก็คือข้าพเจ้าเห็นมีผู้หญิงท่านหนึ่งยืนอยู่ที่หัวโต๊ะตรงข้ามกับ ข้าพเจ้าด้วย หน้าตาสะสวยท่าทางเป็นผู้ดีซึ่งก็แต่งตัวด้วยชุดสีขาวเช่นกัน แต่ในใจนั้นบอกว่าท่านผู้นี้ไม่ได้เป็นทหารเหมือนท่านอื่นๆ ที่นั่งล้อมวงอยู่ ทำให้ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระทุกองค์ในชุดนี้จะต้องมี “จิตวิญญาณ (เทพ ) ของเหล่าทหารกล้ารักษาอยู่ทุกองค์”
แม้ท่านอื่นก็เคยบอกข้าพเจ้าว่าในองค์พระมีจิตวิญญาณทหารสถิตอยู่ ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้บอกก่อนแต่อย่างไร อย่างเช่นคุณต๊ะ (อ.พงศ์พันธ์ พุ่มพวง) เพื่อนรุ่นน้องของข้าพเจ้าคนหนึ่งมีอาชีพรับราชการทหาร แต่เขามีจิตสัมผัสสิ่งต่างๆ ได้เคยตรวจพระชุดนี้ให้ข้าพเจ้า เมื่อเขาตรวจไปได้ประมาณ 5 นาที เขาก็ร้องไห้ออกมาทำให้ข้าพเจ้าตกใจมากเพราะอยู่ดีๆ ทำไมจึงร้องไห้น้ำตาไหลพรากอย่างนั้น เขาบอกข้าพเจ้าว่า “พี่อู๋รู้ไหมในพระองค์นี้มีจิตวิญญาณทหารนักรบโบราณของไทยอยู่ เขาพาผมไปดูการรบในสมัยนั้นเห็นกำลังตะลุมบอนกันจนฝุ่นฟุ้งไปหมด ไม่รู้ใครเป็นใคร ได้ยินเสียงดาบกระทบกัน เสียงร้องของคนที่ถูกดาบฟัน เสียงม้า เสียงอะไรต่ออะไรดังแข่งกันไปหมด” ทำให้เขารู้สึกสะท้านใจ และคิดถึงบุญคุณคนไทยสมัยนั้นที่ยอมสละชีวิตป้องกันประเทศชาติจนตัวตาย ทำให้เราได้มีแผ่นดินอยู่อย่างสุขสบายทุกวันนี้
นอกจากนั้นในบางครั้งเมื่อคุณต๊ะตรวจพุทธคุณพระชุดนี้ก็จะลุกขึ้นพรวดพราด แล้วก็ออกร่ายรำเพลงดาบกระบี่กระบองให้ชมเหมือนอย่างการแสดงหน้าพระที่นั่ง ท่าร่ายรำฟาดฟันก็ทำได้อย่างงดงามรวดเร็วไม่เคยได้เห็นจากที่ใดจะงามเช่นนี้ เลย แสดงว่าผู้ร่ายรำเพลงดาบจะต้องเป็นผู้ที่มีทักษะการฟันดาบเป็นอย่างดี นับเป็นบุญตาของข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง และในบางครั้งก็ลุกขึ้นร่ายรำแม่ไม้มวยไทยให้ชม การชกมวยในสมัยนั้นก็จะมีท่าทางแปลกไปจากปัจจุบันมาก เพราะมีการนั่งย่อตัวลงและกระโดดตัวลอยขึ้นสูงเพื่อรุกกระทำฝ่ายตรงข้าม ทั้งสับศอกตีเข่าอย่างดุดันอีกด้วย (สมัยนี้เห็นมีแต่ท่ายืนเพียงอย่างเดียว) การไหว้และการคลานเข่าก็ดูนอบน้อมนุ่มนวลรวดเร็วแสดงถึงการได้รับการฝึกฝน อบรมมาเป็นอย่างดี





เพื่อนรุ่นน้องของข้าพเจ้าอีกคนหนึ่งชื่อคุณอำนาจ กลิ่นหอม (คุณอ้วน) ได้เล่าว่าอดีตนายทหาร คือพล.ท.ธวัช นรินทรางกูร (บุนนาค) ก็มีพระอรหันต์จกบาตรนี้ใช้อยู่เช่นกัน (ขอประทานโทษที่เอ่ยนามของท่านก่อนได้รับอนุญาต) โดย พล.ท.ธวัชเล่าให้ฟังว่าได้พระนี้มาจากพระธุดงค์ที่ไม่รู้จักในป่าแห่งหนึ่ง ท่านได้มอบไว้ให้ถึง 3 องค์ด้วยกัน นับแต่นั้นท่านก็นำมาบูชาติดตัวตลอดซึ่งก็ได้เคยช่วยชีวิตท่านไว้หลายครั้ง โดยครั้งแรกที่ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ท่านถูกผู้ก่อการร้ายลอบยิงข้างหลังถึง 7 นัด ปรากฏว่าลูกปืนตกลงก่อนที่จะถูกตัวท่านทั้ง 7 นัด ครั้งที่สองท่านก็ถูกยิงด้วยปืนเอ็ม 16 ที่ในประเทศลาวอีก แต่ปรากฏว่าลูกปืนไม่เข้าคงติดอยู่ที่ผิวหนังคล้ายก้อนดิน ท่านจึงรักและหวงพระชุดนี้มากใครมาขอเช่าท่านก็ไม่ให้ แม้แต่คุณอำนาจเองไปขอเช่าท่านก็ยังไม่ให้เลย ตอนหลังคุณอำนาจจึงได้เล่าให้ท่านฟังว่าพระชุดนี้เป็นของหลวงปู่เทพโลกอุดร ที่ได้ปลุกเสกไว้ ท่านจึงดีใจมากเพราะที่ผ่านมาหลายปีก็ไม่ทราบว่าเป็นพระของใครสร้าง ปัจจุบัน (ปี 2544) ท่านเป็นนายทหารนอกราชการมีอายุได้ 70 กว่าปีแล้ว
นอกจากนั้นคุณอำนาจยังเล่าให้ฟังอีกว่าหลังจากที่ได้พระอรหันต์จกบาตรจาก ข้าพเจ้าไป 1 องค์ ท่านก็อธิษฐานขอลาภ (หวย) จากองค์พระเพื่อจะได้นำเงินไปทำบุญและเลี่ยมทอง ท่านขออยู่เกือบ 2 เดือน ก็ปรากฏว่าในวันหนึ่งขณะนั่งอยู่บนรถเมล์ มีชายผู้หนึ่งนั่งอยู่ทางด้านหน้าของท่านได้ควักกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาแล้วก็ หยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่งมาขยำๆ แล้วก็โยนทิ้งมาที่พื้นรถหน้าคุณอ้วน คุณอ้วนไม่รู้นึกอย่างไรก็เอามือหยิบเศษกระดาษนั้นใส่ลงในกระเป๋าเสื้อ พอกลับมาถึงบ้านก็คลี่กระดาษนั้นออกดูก็เห็นเป็นล็อตเตอรี่ วันนั้นเป็นวันออกสลากพอดีก็เรียกภรรยาให้เอาใบประกาศผลมาตรวจดู ปรากฏว่าถูกรางวัลที่ 5 จำนวน 2 ใบ ได้เงินมาสองหมื่นบาท (เข้าใจว่าเจ้าของเดิมทิ้งล็อตเตอรี่เพราะคิดว่าไม่ถูกรางวัล) คุณอำนาจจึงนำเงินไปเช่าพระขนาดประมาณ 19 นิ้ว นำไปถวายแก่หลวงปู่กอง จันทวังโส วัดสระมณฑล (มรณะแล้วเมื่อปี 2546) อ.เมือง จ.อยุธยา 1 องค์ และเงินอีกส่วนหนึ่งก็นำไปเลี่ยมทองพระอรหันต์จกบาตรองค์นั้น ทำให้คุณอำนาจเชื่อมั่นศรัทธาต่อพระอรหันต์จกบาตรและหลวงปู่เทพโลกอุดรเป็น อย่างสูง ไปไหนมาไหนก็ต้องนำติดตัวไปด้วยเสมอ
หลังจากนั้นประมาณเดือนพฤศจิกายน 2545 คุณอำนาจได้ไปทำบุญกับหลวงพ่อมโนธรรม มนธัมโม สำนักสงฆ์สหบุญญาราม บ้านปางวุ้น ต.ผักขวง อ.ทองแสนขัน จ.อุตรดิตถ์ หลวงพ่อมโนธรรมท่านนี้นับเป็นผู้ที่มีความผูกพันกับหลวงปู่เทพโลกอุดรเป็น อย่างมากองค์หนึ่ง เพราะตั้งแต่เป็นเด็กมาแล้วที่หลวงปู่เทพโลกอุดรได้มาพบและช่วยเหลือท่าน หลายครั้ง ทั้งยังได้เคยติดตามหลวงปู่เข้าไปในถ้ำอันลึกลับแห่งหนึ่ง อันเป็นถ้ำที่หลวงปู่ใช้สอนลูกศิษย์ของท่านนับสิบๆ องค์อีกด้วย วันนั้นนับเป็นครั้งแรกที่คุณอำนาจได้ไปทำบุญที่วัดแห่งนี้ เมื่อไปถึงก็ก้มลงกราบหลวงพ่อพอเงยหน้าขึ้นยังไม่ทันจะพูดอะไร หลวงพ่อมโนธรรมก็พูดขึ้นมาก่อนเลยว่า “มีพระอรหันต์จกบาตรด้วยหรือ อาตมาก็เคยมีนะ เมื่อก่อนมีถึง 9 องค์ แต่ได้นำไปถวายไว้ที่วัดต่างๆ หมดแล้ว” นอกจากนั้นท่านยังบอกอีกว่าให้ใช้เพียงองค์เดียวก็พอ คุณอำนาจประหลาดใจมากเพราะใส่พระเอาไว้ในเสื้อหลวงพ่อท่านรู้ได้อย่างไร และวันนั้นท่านก็สวมสร้อยที่มีพระ 3 องค์ในสร้อยเส้นเดียวกัน โดยห้อยพระอรหันต์จกบาตรไว้เป็นองค์กลางถูกต้องตามคำบอกของหลวงพ่อมโนธรรม ทุกประการ
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2544 ในงานวิทยาศาสตร์ทางจิต ที่จัดขึ้นที่วิทยาลัยรัชต์ภาคย์ ซอยรามคำแหง 21 กทม. ข้าพเจ้าได้พบกับอาจารย์อรุณ พิมพ์งาม ซึ่งท่านเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงว่ามีญาณวิเศษสามารถล่วงรู้เรื่องราวต่างๆ ได้จริง หลังจากทักทายกันได้พักหนึ่ง ข้าพเจ้าก็นำพระอรหันต์จกบาตรที่ห้อยคออยู่นั้นยื่นส่งให้ท่านดู โดยบอกท่านเพียงว่าช่วยพิจารณาดูให้หน่อยว่าเป็นอย่างไร ท่านดูเพียงครู่เดียวก็พูดขึ้นว่า “อาจารย์ของผม (ลพ.โอภาสี) บอกว่าพระองค์นี้สร้างโดยอาจารย์ของอาจารย์ เป็นของที่ศักดิ์สิทธิ์มากจนเรียกได้ว่าเป็นของวิเศษ เพราะสร้างโดยพระอภิญญาที่ชื่อว่าหลวงปู่เทพโลกอุดร คุณนำขึ้นห้อยคอเพียงองค์เดียวเดี่ยวๆ ได้เลย” ข้าพเจ้าจึงเชื่อว่าพระอรหันต์จกบาตร กรุวังหน้านี้จะต้องเป็นพระที่ปลุกเสกโดยหลวงปู่เทพโลกอุดรแน่นอน เพราะผู้มีญาณทัศนะที่เป็นที่ยอมรับกันว่าเก่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์รังษีญาณ พงษ์สัจจา อาจารย์วิทิต พูลสุวรรณ และอาจารย์อรุณ พิมพ์งาม ต่างก็พูดตรงกันว่าเป็นพระของหลวงปู่เทพโลกอุดร โดยที่ข้าพเจ้าไม่ได้ถามนำหรือให้ข้อมูลใดๆ ก่อนเลย
หลังจากนั้นอ.อรุณจึงได้เล่าว่า ท่านเองก็เคยพบหลวงปู่เทพโลกอุดรมาแล้วอย่างไม่คาดฝัน โดยพบครั้งแรกในนิมิตขณะที่ท่านนั่งสมาธิอยู่ที่มูลนิธิโลกทิพย์ (ประมาณปี 2543) โดยท่านเห็นพระหนุ่มองค์หนึ่งมาบอกว่าให้เริ่มสร้างพระใหญ่ที่ อ.เชียงคาน จ.เลย ได้แล้ว ไม่ต้องกังวลอะไรท่านจะช่วย และจะสอนการทำ “ตัว พ” (พ่อ คือพระพุทธเจ้า) ให้เพื่อเป็นของสมนาคุณแก่ผู้มาร่วมสร้างพระ “ตัว พ” นี้ท่านก็เคยสอนให้แก่พระเย็นที่วัดระฆัง (ลป.เย็น ผู้สร้างวัดสระเปรียญ จ.ชัยนาท) มาแล้ว เมื่อท่านสอนเสร็จอ.อรุณจึงได้ลืมตาขึ้นก็ปรากฏว่ามี “ตัว พ” อยู่หน้าท่าน 1 ตัวจริงๆ แต่ในใจของท่านก็ยังคงอดสงสัยไม่ได้ว่านิมิตนี้จะเป็นของจริงหรือไม่
พอวันรุ่งขึ้นขณะที่ท่านกำลังดูโชคชะตาให้คนที่มูลนิธิโลกทิพย์อยู่นั้น ก็ได้มีพระองค์หนึ่งมานั่งรอคิวคล้ายจะมาให้ดูโชคชะตาเช่นคนอื่นๆ พอถึงคิวท่านท่านก็มานั่งที่เก้าอี้ตรงหน้าอ.อรุณพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เธออย่าสงสัยอีกเลย ฉันมาสอนเธอให้ทำ “ตัว พ” จริงๆ และที่มาในวันนี้ก็เพื่อจะบอกให้เธอแน่ใจเรื่องนี้เท่านั้น” เมื่อท่านพูดจบอ.อรุณถึงกับตกใจและหกล้มตกจากเก้าอี้ทันที ทำให้คนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้นต่างหันมามองเป็นจำนวนมากเพราะคิดว่าอ.อรุณไม่สบาย หลวงปู่เทพโลกอุดรจึงพูดกับ อ.อรุณว่ารีบขึ้นมานั่งที่เก้าอี้เถอะจะได้ไม่เป็นที่สนใจของคนอื่น แล้วท่านก็บอกว่าจะกลับล่ะ อ.อรุณจึงลุกขึ้นไปส่งท่านถึงประตู พอย่างเท้าผ่านประตูเท่านั้นท่านก็หายไปต่อหน้าเลย
ลพ.ขาว พุทธรักขิโต วัดป่าคูณคำวิปัสสนา บ้านกลาง ต.กุดให อ.กุดบาก จ.สกลนคร ซึ่งได้พบหลวงปู่เทพโลกอุดรหลายครั้งตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และต่อมาหลวงปู่ได้พาขึ้นไปอยู่บนภูเขาควาย ประเทศลาวเพื่อฝึกสมาธิและเรียนวิชากับท่าน ลพ.ขาวได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าท่านได้เคยถามหลวงปู่เทพโลกอุดรถึงพระ เครื่องของหลวงปู่ที่ถกเถียงกันมานานว่ามีจริงหรือไม่ กรุนี้กรุนั้นเป็นของท่านใช่ไหม ท่านได้เมตตาเล่าว่า “ท่านสร้างพระไม่เป็น ท่านสร้างเป็นแต่พระนิพพาน ส่วนใหญ่จะเป็นลูกศิษย์สร้างไว้และนำไปฝังหรือบรรจุไว้ตามถ้ำตามป่าตามเขา ในภายหลังถูกค้นพบก็นำมาให้เช่าบูชากัน ซึ่งท่านบอกว่าท่านไม่ได้อธิษฐานจิตให้ ยกเว้นพระเครื่องวังหน้าที่วังหน้าสร้างขึ้นนั้นท่านอธิษฐานจิตให้จริง” หลวงปู่ใหญ่ท่านมักจะเรียกเสด็จวังหน้าว่า “วังหน้า” เฉยๆ และลพ.ขาวคิดว่าเสด็จวังหน้าพระองค์นี้ก็คือกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาถ (บุญมา) ในรัชกาลที่ 1 นั่นเอง
มีพระองค์หนึ่งที่สนิทสนมชอบพอกับข้าพเจ้ามาก ข้าพเจ้าขอเรียกท่านเพียงว่า “หลวงพี่” เพราะท่านขอไม่ให้เอ่ยนามท่านให้ผู้อื่นรู้ ท่านอายุได้ประมาณ 52 ปี (ปี 45) ท่านเป็นพระไม่อยากดัง หลวงพี่องค์นี้เป็นผู้มีนิสัยทำอะไรทำจริง ทำจนกว่าจะสำเร็จไม่อย่างนั้นไม่หยุดทำ ท่านเคยเดินทางเข้าไปศึกษาวิชาในถ้ำแห่งหนึ่งชื่อว่า “ถ้ำธรรมสภา” ที่ภูเขาควายในประเทศลาว (ภูเขาลูกนี้ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของเมืองเวียงจันทน์ อยู่กลางป่าอันเร้นลับ) ซึ่งเป็นเขตติดต่อระหว่างลาวและเวียดนาม ท่านบอกเหตุที่เขาเรียกกันว่าภูเขาควายก็เพราะเมื่อมองดูขุนเขาลูกนี้จากภาย นอก จะมองดูคล้ายควายนอนหมอบอยู่ และนอกจากนั้นภายในถ้ำอันลึกลับแห่งนี้ยังมีเขาควายสีดำอยู่ 2 เขา แต่ละเขายาวเกือบ 2 เมตรทีเดียว คงจะเป็นเขาของควายในสมัยโบราณอันเป็นที่มาของชื่อภูเขาควาย
ในครั้งแรกที่ข้าพเจ้ารู้จักกับหลวงพี่องค์นี้เป็นครั้งแรกนั้น ข้าพเจ้าก็แขวนพระองค์นี้ไว้ด้านนอกเสื้อ เมื่อคุยกันไปคุยกันมานานพอสมควร ข้าพเจ้าก็สังเกตเห็นว่าท่านชอบจ้องมองมาที่องค์พระของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงถามท่านว่าเคยเห็นพระแบบนี้มาบ้างไหม ท่านบอกข้าพเจ้าว่า “อาตมาเคยเห็นพระแบบนี้มาแล้ว มีอยู่ในถ้ำที่ภูเขาควายประเทศลาว” อันเป็น “ตักศิลาของเหล่าพระอภิญญา” ซึ่งมีพระผู้ทรงวิทยาคมแต่ต้องการความสงบอยู่มากมาย และท่านใดก็ตามที่สามารถ “สอบผ่าน” ถ้ำแห่งนี้ได้ก็นับว่าเป็นพระที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
ต่อมาในภายหลังข้าพเจ้าได้ถวายพระอรหันต์จกบาตรนี้แด่หลวงพี่ด้วย 1 องค์ พอ 1 อาทิตย์ผ่านไปข้าพเจ้าก็ได้พบกับท่านอีกครั้งจึงได้ถามท่านว่า “หลวงพี่ครับพระที่ผมถวายไปเป็นอย่างไรบ้าง” ท่านตอบมาว่า “เป็นพระที่ดีมากที่สุดเลยโยม อาตมาดีใจมากที่โยมถวายให้ และขอยืนยันว่าพระนี้ปลุกเสกโดยหลวงปู่เทพโลกอุดรจริง สามารถใช้เป็นสื่อสำหรับติดต่อกับหลวงปู่เทพโลกอุดรได้เป็นอย่างดี ในบางวันก็มีทหารโบราณมายืนอยู่ด้านนอกกุฏิเต็มไปหมด”
และล่าสุดประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ข้าพเจ้าได้ไปกราบพระยกพล โรจนธัมโม วัดหนองดง ต.หัวทะเล อ.บำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ ท่านได้เล่าถึงเรื่องที่ได้ออกธุดงค์ในป่าแถบจังหวัดชัยภูมิและเพชรบูรณ์ โดยไปพร้อมกับเณร 2-3 รูป เมื่อเข้าไปอยู่ในป่าลึกปรากฏว่าไม่มีบ้านคนอยู่เลย เดินธุดงค์อยู่หลายวันทั้งๆ ที่ไม่ได้ฉันอาหาร ท่านบอกว่าสงสารพวกเณรมากที่หิวข้าวจนเป็นลม ส่วนตัวท่านเองแม้จะหิวปานใดก็ไม่ได้ย่อท้อ จนมาถึงที่แห่งหนึ่งซึ่งทุกคนเดินทางต่อไปไม่ไหวแล้ว ปรากฏว่าได้พบกับท่านฤๅษีองค์หนึ่ง (อยู่ในร่างผ้าขาว) ได้นำอาหารมาให้ ท่านเลยขอให้เณรได้ฉันก่อนส่วนท่านขอฉันส่วนที่เหลือจากเณร ทำให้ฤๅษีองค์นั้นเห็นว่าท่านมีจิตใจเด็ดเดี่ยวจึงได้พาท่านเข้าไปในถ้ำแห่ง หนึ่งที่เรียกว่า “ถ้ำหอม” ต่อมาจึงได้ทราบว่าฤๅษีท่านนี้มีชื่อว่า “ฤๅษีโสดา” หนึ่งใน 2 ฤๅษีที่รับใช้หลวงปู่เทพโลกอุดร ซึ่งฤๅษีอีกองค์หนึ่งมีชื่อว่า “ฤๅษีสิงขร” นอกจากนั้นก็ยังมีศิษย์ฆราวาสชื่อว่า “ปู่โทน” อีกท่านหนึ่ง

ท่านและเณรจึงได้อยู่ปฏิบัติธรรมในถ้ำแห่งนั้นอย่างสะดวกสบาย ไม่ต้องพะวงกับของขบฉันอีก ในเวลาต่อมาท่านจึงมีโอกาสได้ไปเข้าไปเรียนวิชาใน “ถ้ำวัวแดง” ซึ่งเป็นที่พำนักของหลวงปู่เทพโลกอุดร (ไม่ใช่ถ้ำวัวแดงที่ อ.หนองบัวแดง จ.ชัยภูมิ แต่ก็สามารถเข้าไปถึงถ้ำวัวแดงที่แท้จริงได้เช่นกันโดยต้องเข้าทาง “ถ้ำน้ำ” ท่านบอกว่าทางเข้าถ้ำวัวแดงที่แท้จริงนั้นเข้ากันคนละด้านกับถ้ำวัวแดงแห่ง นี้เลย) จนทุกวันนี้ท่านก็ได้ถวายงานตามคำแนะนำของหลวงปู่เทพโลกอุดร ที่ใช้ให้ท่านไปทำนุบำรุงวัดต่างๆ โดยห้ามอยู่นานเกินแห่งละ 3 ปี และเมื่อถึงเวลาก็จะต้องกลับไปที่ถ้ำวัวแดงเพื่อฝึกปฏิบัติในขั้นสูงต่อไป ในวันนั้นข้าพเจ้าสวมพระอรหันต์จกบาตรไปด้วยจึงได้ถอดส่งให้ท่านพระยกพลดู และได้ถามท่านว่า “เคยเห็นพระแบบนี้บ้างไหมครับ” ท่านดูอยู่ไม่นานก็ตอบมาว่า “เคยเห็นพระแบบนี้มาแล้วมีอยู่ในถ้ำวัวแดง ทั้งยังมีเนื้อดินอีกด้วยนะ” เป็นอันว่าข้าพเจ้าได้ความรู้ใหม่ว่าพระชุดนี้มีเนื้อดินอีกด้วย
ยังมีพระที่ข้าพเจ้าเคารพมากอีกหนึ่งองค์ ท่านเป็นพระผู้ชราภาพมากแล้ว มีตำแหน่งเป็นรองเจ้าอาวาสวัดอยู่แถวฝั่งธนบุรี (ท่านก็คือหลวงพ่อภาวนาโกศลเถระ วัดปากน้ำภาษีเจริญ) ท่านมีลักษณะที่เด่นแปลกไปจากพระองค์อื่นๆ ก็คือใบหูของท่านเหมือนใบหูของพระพุทธรูปที่เขาปั้นกัน คือเรียวยาวไม่กลมป้อมเหมือนคนทั่วไป ติ่งหูก็ยาวมาก ท่านเป็นพระผู้ที่มีญาณทัศนะชั้นเยี่ยมคือรวดเร็วและแม่นยำ สมัยที่ข้าพเจ้ายังเรียนหนังสืออยู่ที่จุฬานั้น เวลาที่ไปพบท่านในแต่ละครั้ง ข้าพเจ้าก็จะนั่งสมาธิหน้ากุฏิท่านแล้วส่งกระแสจิตบอกท่านว่าผมมาพบทั้งนี้ เพราะเป็นปกติที่ท่านจะปิดประตูอยู่แต่ภายในกุฏิแบบเดียวกับท่านเจ้าคุณนร แต่ก็เป็นเรื่องแปลกมากที่ภายในเวลาไม่เกิน 5 นาที ท่านก็จะเปิดประตูออกมาทุกครั้งแล้วถามว่า “วันนี้มามีธุระอะไรอีกล่ะ” เสียงท่านจะเข้มๆ ทำให้เด็กอย่างข้าพเจ้ากลัว แต่ก็รู้สึกทึ่งในญาณทัศนะของท่านเสมอเพราะเป็นพระองค์เดียวที่ข้าพเจ้าไม่ ต้องเคาะประตูเลย
เมื่อไม่นานมานี้ (พค.48) มีท่านผู้หนึ่งเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า พระผู้ชราท่านนี้ได้พระอรหันต์จกบาตรจากพระองค์หนึ่งที่นำไปถวายท่าน ทันทีที่ท่านเห็นพระอรหันต์จกบาตรก็พูดขึ้นมาเลยว่า “นี่เป็นพระของหลวงปู่เทพโลกอุดร พระชุดนี้มีอยู่ 2 พิมพ์ อีกพิมพ์หนึ่งเป็นพิมพ์พระสังกัจจายน์ ต่อไปจะเป็นพระที่มีราคาแพง และก็จะมีพระปลอมออกมาต้องระวังให้ดีนะ”
ดังนั้นหากท่านใดได้พบพระพิมพ์นี้ก็ขอให้รีบเก็บไว้โดยเร็ว เพราะท่านจะได้มีไว้ซึ่งพระที่ดีที่สุดองค์หนึ่ง ดีทั้งในแง่พุทธศิลป์และในแง่พุทธคุณ ทั้งยังได้ภูมิใจว่าได้มีพระที่หาได้ยากยิ่งพิมพ์หนึ่งไว้ในครอบครองอีกด้วย พระชุดนี้มีผู้พบว่าขึ้นที่กรุวังหน้าบ้าง กรุวัดเชิงท่าบ้าง วัดในอยุธยาบ้าง ในถ้ำกลางป่าเขาบ้าง อย่าได้แปลกใจเลยว่าทำไมมีขึ้นในหลายกรุหลายที่ ทั้งนี้พระเก่าในสมัยโบราณเขาก็นิยมฝากกรุกันหลายที่เป็นปกติอยู่แล้ว แต่ที่สำคัญเราจะต้องเลือกพระที่มี “ลูกหยอด” ที่ฐาน อันแสดงว่าพระองค์นั้นได้รับการเจาะฝังผงวิเศษและอัฐิวิญญาณทหารกล้า (เทพประจำองค์พระ) เอาไว้ภายในองค์พระเรียบร้อยแล้ว หากใครอยากได้ไว้บูชาก็สามารถมาทำบุญสร้างพระมหาเจดีย์ที่วัดหลวงพ่อสดก็จะ ได้รับพระอรหันต์จกบาตรไว้เป็นที่ระลึก ได้บุญด้วยและได้ของดีไว้ติดตัวด้วยครับ

วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2559

วิชชาธรรมกายอัดบุญให้ผู้ล่วงลับได้

วิชชาธรรมกายอัดบุญให้ผู้ล่วงลับได้
...ส่วนผู้ที่ไปสถิตในปรโลกแล้ว หลวงพ่อก็ยังตามไปช่วยอัดบุญให้ ตามที่ญาติลูกหลานที่มีความกตัญญูไปขอร้อง หลวงพ่อใช้คำว่าอัดบุญ ไม่ใช่อุทิศบุญ เพราะวิธีการของหลวงพ่อนั้นเป็นการอัดบุญเข้าไปในดวงบุญของผู้นั้นจริงๆ ไม่ใช่เป็นการกล่าวอุทิศส่วนกุศลเหมือนคนทั่วไปทำ
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า เรื่องที่เล่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง ไม่ได้ต่อเติมเสริมแต่งแต่อย่างไร ผู้ที่ได้ธรรมกายในสมัยหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ จะรู้ดีว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง...
คืนที่มีการสวดพระอภิธรรมศพ หลวงพ่อจะสั่งให้ผู้ที่บรรลุวิชชาธรรมกายแล้ว ออกไปฟังสวดด้วยอย่างน้อย ๓ คน เพื่อนั่งเจริญภาวนา เชิญวิญญาณของผู้ตายมารับส่วนบุญกุศล ไม่ว่าวิญญาณนั้นจะสถิต ณ ที่ใดก็ตาม อาจจะไปอยู่ในสวรรค์ หรืออยู่ในอบายภูมิ เป็นเปรต อสุรกาย สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน หรือเป็นสัมภเวสี เชิญวิญญาณมารับส่วนบุญได้หมด
การเชิญวิญญาณนั้นจะเชิญก่อนอาราธนาศีล เพราะท่านต้องการให้วิญญาณมาสมาทานศีล และฟังสวดด้วย เพื่อเสริมบุญ หลวงพ่อท่านให้จัดอาสนะปู เตรียมไว้ให้วิญญาณของผู้ตายนั่งด้วย
หลังจากที่พระสงฆ์สวดจบที่๑ (อาจเป็นสวดพระอภิธรรม สวดพระมาลัยหรือสวดสังคหะ)ท่านจะถามพวกได้ธรรมกายว่า วิญญาณของผู้ตายมาหรือเปล่า ทั้ง ๓ คนจะต้องรู้เห็นและตอบตรงกัน ถ้าตอบไม่ตรงกัน หลวงพ่อท่านจะให้ทั้งหมดนั่งตรวจดูใหม่ นี่คือเหตุผลที่ทำไมหลวงพ่อจึงต้องใช้แม่ชีธรรมกายเชิญวิญญาณถึง ๓ คน เมื่อพระสงฆ์สวดจบแต่ละจบ ท่านจะถามย้ำทุกครั้งจนถึงจบสุดท้าย
ในสมัยที่ข้าพเจ้าเป็นแม่ชีเด็กๆ ก็ถูกหลวงพ่อใช้ให้ไปทำหน้าที่เชิญวิญญาณหน้างานศพเช่นนี้หลายครั้ง ทุกครั้งที่ถูกหลวงพ่อถาม ข้าพเจ้าจะรู้สึกไม่อยากตอบให้ผู้อื่นได้ยิน เกิดความกระดากอายกลัวคนที่เขาได้ยินจะไม่เชื่อ
และทราบดีว่า ที่จริงแล้วหลวงพ่อก็รู้ดีอยู่แล้วว่าวิญญาณมารับส่วนกุศลหรือไม่ ด้วยความเป็นเด็กก็ยังนึกสงสัยว่า หลวงพ่อก็รู้แล้วจะถามทำไม หารู้ไม่ว่า หลวงพ่อฉลาดกว่าเรามากมายนัก ท่านต้องการให้ผู้อื่นได้รู้ถึงอานุภาพของวิชชาธรรมกาย มีตัวเรานี่แหละเป็นประจักษ์พยาน แต่ด้วยความเกรงกลัวหลวงพ่อก็จำเป็นต้องตอบเมื่อหลวงพ่อใช้ให้ทำก็ต้องทำ ตอนนั้นข้าพเจ้าไม่อยากให้มีใครตายและนำศพไปตั้งสวดที่วัดปากน้ำเลย เพราะไม่อยากออกไปเชิญวิญญาณ...
*หนังสือตรีธาเล่าเรื่องหลวงพ่อวัดปากน้ำ
**โพสโดยศิษย์พระต้นธาตุ

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2559

การท่องสัมมาอรหัง

เป็นเรื่องราวของการท่องสัมมาอรหัง เกี่ยวเนื่องกับหลวงพ่อวัดปากน้ำที่เล่าต่อสืบต่อกันมา จากหลายๆภาคส่วน อ่านไว้เพื่อเป็นกำลังใจในการปฏิบัติ
*คัดมาจากบล็อกของเวปหนึ่ง(จำไม่ได้แล้ว)
อานุภาพสัมมาอรหัง
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ก่อนที่พระอภิรูโปจะมาบวช ท่านทำอาชีพเผาปูนขาย แต่เผาไปเผามาผงปูนเข้าไปกัดในคอ กัดจนเลือดออก รักษาอย่างไรก็ไม่หาย แถมล้มป่วยหนักจนเข้าขั้นโคม่า ทำให้พระลูกชายของท่านที่บวชอยู่ที่วัดปากน้ำเป็นห่วงมาก จึงเขียนจดหมายบอกคาถาดีกับโยมพ่อว่าให้ท่อง“สัมมา อะระหัง” ไปเรื่อย ๆ ซึ่งพอท่องไปท่องมา อยู่ ๆ ก็เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น คือได้เห็นหลวงปู่วัดปากน้ำมายืนอยู่ตรงหัวนอน ตอนที่เห็นนั้น ท่านยังไม่เคยรู้จักและไม่เคยเห็นหน้าหลวงปู่ มาก่อนเลย แต่ก็อธิบายลักษณะได้ชัดว่า เป็นพระภิกษุที่มีสง่าราศีมาก และมีจุดเด่นคือมีไฝขนาดใหญ่ ๒ เม็ด ในวันนั้นหลวงปู่ท่านบอกว่า “เอ็งเอาขมิ้นกินเข้าไปสิวะ เดี๋ยวก็หาย”
แต่เนื่องจากสภาพร่างกายของพระอภิรูโปตอนนั้นร่อแร่เต็มที หลังจากเห็นหลวงปู่แล้ว กายมนุษย์ละเอียดก็หลุดจากกายมนุษย์หยาบทันทีโดยไม่รู้ตัว ซึ่งถ้าใช้ศัพท์ชาวบ้านก็คือ วิญญาณหลุดออกจากร่าง หรือพูดง่าย ๆ ว่าตายแล้วนั่นเอง และด้วยความที่พระอภิรูโปไม่รู้ว่าตัวเองตาย จึงคิดไปว่าทำไมหลังจากท่อง “สัมมา อะระหัง” แล้ว ร่างกายสบาย ไม่เจ็บปวดทรมานเหมือนเก่า แถมยังมีความสามารถพิเศษเพิ่มขึ้น คือลุกเดินออกจากร่างตัวเองได้ด้วย คือแทนที่ท่านจะคิดว่าตัวเองตายแล้ว แต่กลับ คิดบวก ถึงขั้นว่าคงเป็นเพราะอานุภาพที่ได้ท่องคาถาวิเศษ คือ “สัมมา อะระหัง”
พอคิดอย่างนี้ ท่านก็รีบท่อง “สัมมา อะระหัง” ใหญ่เลย คือท่องไป เดินไป ทึ่งไป เพราะสามารถเดินเหนือพื้นได้ เดินไปในอากาศได้ เหมือนมีอากาศเป็นแผ่นดิน แถมเดินได้เร็วกว่าปกติอีก ซึ่งพอทำได้อย่างนี้ก็คิดบวกต่อไปอีกว่า ท่อง “สัมมา อะระหัง” ช่างดีอะไรขนาดนี้ ท่องแล้วทำให้เหาะได้ด้วย
จากนั้น ท่านก็เดินเหาะ ๆ ลอย ๆ ไปเรื่อย ๆ อย่างเบิกบานใจ จนกระทั่งไปเจอคนรู้จัก ๒ คน คนแรกเดินอยู่ข้างหน้า ส่วนคนที่สองเดินอยู่ข้างหลัง อยู่ห่างกันแค่ ๒ เมตร ก็เลยดีใจ คิดจะไปบอกเขาว่าเจอคาถาเด็ดเข้าแล้ว คือถ้าได้ท่อง “สัมมา อะระหัง” แล้ว จะเหาะได้
เพราะอยากจะให้เขาเหาะได้เหมือนตัวท่านเอง แต่ทันทีที่ท่านตะโกนเรียก ทั้งสองคนนั้นกลับไม่มีใครโต้ตอบหรือหันมามองเลยสักคน เพราะเขาไม่ได้ยิน เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เลยทำให้ท่านไม่พอใจว่าทำไมเรียกแล้วไม่มีปฏิกิริยาตอบ สนองอะไรกันบ้างเลย
ด้วยเหตุนี้ทำให้กายละเอียดของท่านเกิดอาการหงุดหงิดขัดใจ จึงลองเปลี่ยนมาใช้วิธีใหม่ คือเดินไปในอากาศแล้วเอาเท้าไปเหยียบบ่าคนที่อยู่ข้างหน้าเสียเลย เพราะอยากไม่หันมามองดีนัก ทำให้คนที่อยู่ข้างหน้าเซจนหน้าคะมำไปเลย และเกิดอาการไม่พอใจอย่างแรงจนต้องหันขวับมาดู พร้อมกับคำถามที่เกิดขึ้นในใจว่า ใครกันบังอาจมาผลักเรา และพอหันมาเจอคนข้างหลัง ก็เลยคิดว่า ต้องเป็นไอ้หมอนี่ผลักแน่ ๆ ก็เลยทำให้ทะเลาะกันยกใหญ่
เมื่อท่านเห็นดังนั้น ก็รีบห้ามว่า “อย่าทะเลาะกัน ฉันเป็นคนทำเอง” แต่ไม่ว่าจะพยายามบอกอย่างไร สองคนนั้นก็ไม่ได้ยินอยู่ดี เลยทำให้ท่านเปลี่ยนมาใช้วิธีการใหม่ คือ เดินไปเขย่าต้นพุทราที่อยู่ข้างหน้าให้สั่นอย่างแรง เมื่อสองคนนั้นเห็นต้นพุทราสั่นโดยไม่เห็นคนเขย่า ก็ตะลึงตาค้าง หยุดทะเลาะกันทันที
ขณะที่สองคนนั้นกำลังตาค้างอยู่ กายละเอียดก็เข้าใจไปเองว่า เจ้ามนุษย์สองคนนี้สามารถมองเห็นตนได้แล้ว จึงเกิดกำลังใจขึ้นมาใหม่ว่า งั้นเราควรรีบบอกคาถาดีให้เขาท่อง “สัมมา อะระหัง” แล้วเขาจะได้เหาะได้ดีกว่า
แต่ที่ไหนได้ ขณะที่กำลังจะอ้าปากบอก สองคนนั้นเผ่นอ้าว วิ่งหนีป่าราบ พร้อมกับตะโกนว่า “ผีหลอก!”
เมื่อเหตุการณ์เป็นอย่างนั้น กายละเอียดก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงเดินเรื่อยเปื่อย และไปเจอยายแก่ที่รู้จักกันอีก จากนั้นก็ใช้วิธีการเดิมอีก คือเดินไปเขย่าต้นไม้ที่อยู่ข้างหน้า เพราะคิดว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่จะทำให้ยายแก่หันมามองได
้ แต่ที่ไหนได้ ยายแก่คนนี้เจนโลก คือไม่เหมือนชายสองคนที่แล้ว เพราะแกไม่กลัวผี พอแกเห็นต้นไม้สั่นเองได้ แกก็ด่ากราดเลยว่า “ไอ้ผี มาหลอกได้แม้กระทั่งคนแก่ หลอกแม้กระทั่งกลางวัน” ด่าอย่างนั้นอย่างนี้ โวยวายยกใหญ่ จนทำให้กายละเอียดหมดอารมณ์ เกิดอาการไม่พอใจ พลางคิดว่าอุตส่าห์หวังดี กะจะเอาคาถาดี “สัมมา อะระหัง” เหาะได้ มาบอก ทำไมมาด่ากันถึงขนาดน
ี้ พอคิดอย่างนี้ก็เลยเดินเข้าไปใกล้ยายแก่ กะว่าจะเอาเท้าเหยียบบ่าแกเหมือนที่เหยียบชายคนเมื่อกี้ แต่คิดไปคิดมาก็บอกกับตัวเองว่าอย่าดีกว่า เพราะเมื่อกี้เหยียบบ่าผู้ชายคนนั้นเบา ๆ เขายังหน้าคะมำไปถึงขนาดนั้น แต่นี่ยายแกแก่แล้ว เดี๋ยวเกิดล้มแล้วตายขึ้นมาจะบาปเปล่า ๆ เมื่อคิดดังนั้นแล้ว กายละเอียดก็เลยถอยทัพกลับบ้านตัวเองดีกว่า
ทันทีที่เข้าบ้านก็ต้องตกใจ เพราะเห็นคนในบ้านร้องไห้กันระงม อีกทั้งพอเห็นสัปเหร่อจับร่างของตัวเองมัดตราสังข์ เอาดอกไม้ใส่มือ ก็เลยรู้ว่าตัวเองตายไปแล้ว
พอรู้อย่างนี้ ก็เกิดความรู้สึกอยากจะกลับเข้าร่างตัวเองใหม่ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงรีบท่อง “สัมมา อะระหัง” ใหญ่เลย และคิดในใจว่าอยากจะเข้าร่างให้ได้ จากนั้นมันปรื๊ดเข้าไปอย่างไรก็ไม่ทราบ คือกายละเอียดวื้ดเข้าร่างเดิมได้
พอสัปเหร่อเห็นร่างที่ตายแล้วกระดุกกระดิกขึ้นมาใหม่ได้ ก็นึกว่าผีหลอก เผ่นอ้าวหนีไปเลย แต่สักครู่ก็มีผู้กล้าคนหนึ่งเข้าไปแกะเชือกที่มัดมือออก และพูดจากันจนเกิดความเข้าใจ และมั่นใจว่าไม่ใช่ผีแล้ว ท่านก็เลยบอกให้คนข้าง ๆ ช่วยไปเอาขมิ้นมาให้กิน ตามที่
หลวงปู่วัดปากน้ำบอกเอาไว้ จนสุดท้ายก็หายป่วยเป็นอัศจรรย์จริง ๆ