วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2559

หลวงพ่อสดมงคลเลิศฤทธิ์องค์นี้ ต่อไปจะท่านจะต้องเป็นพระที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดองค์หนึ่งของไทย


หลวงพ่อสดมงคลเลิศฤทธิ์องค์นี้ ต่อไปจะท่านจะต้องเป็นพระที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดองค์หนึ่งของไทย โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 30 ธ.ค. 2559
เพราะก่อนที่ผม (อู๋) จะสร้างท่านขึ้นมานั้นผมไม่ได้คิดมาก่อนเลย เดิมนั้นเมื่อผมสร้างองค์พระปฐมบรมศาสดาจะเสร็จ ผมก็คิดว่าจะหยุดการสร้างพระแล้วเพราะรู้สึกเหนื่อยล้าอยากไปบวชไม่อยากสร้างอะไรอีก ในช่วงนั้นเองผมก็ได้มีนิมิตมาว่าหลวงพ่อสดท่านมาหาผมถึงที่บ้าน ท่านเดินมาพร้อมกับถือบาตรมาด้วย เมื่อผมเห็นท่านมาผมก็นำอาหารคาวหวานใส่บาตรท่าน เมื่อตื่นขึ้นมาผมก็ไม่ได้คิดอะไรคิดแต่ว่าเป็นฝันที่ดีมีครูบาอาจารย์มาโปรด (ในชีวิตหนึ่งก็ฝันถึงท่านเพียงไม่กี่ครั้ง)
หลังจากนั้นไม่กี่วันหลวงป๋าท่านก็โทรมาหาผมบอกว่าอยากให้ผมสร้างรูปหล่อของหลวงพ่อสดให้หน่อย ผมก็บอกท่านไปว่าผมเหนื่อยแล้ว อีกไม่กี่วันหลวงป๋าท่านก็มาหาผมที่บ้านแล้วก็พูดเรื่องนี้อีกซึ่งผมก็รับปากกับท่านไปว่าตกลง แต่ผมขอสร้างให้ใหญ่กว่าที่หลวงป๋าบอกคือ 27 นิ้ว ซึ่งผมคิดว่ารูปหล่อของหลวงปู่ขนาด 27 นิ้ว (เท่าองค์จริง) นั้นมีผู้สร้างกันมาหลายองค์แล้ว ถ้าผมจะสร้างผมขอสร้างให้ใหญ่กว่านั้น ขอขนาด 42 นิ้วไปเลย
เมื่อเริ่มสร้างหลวงพ่อท่านก็ทำปาฏิหาริย์เป็นฉัพพรรณรังสีให้ปรากฏในรูปถ่าย ช่างปั้นบอกว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากเพราะปั้นหลวงพ่อในที่ร่วมแท้ๆ แต่กลับมีแสงเป็นแฉกๆ 7 สีส่องลงมาจากเบื้องบนได้อย่างไร ช่างถ่ายติดออกมาได้ 3 รูป เขาบอกว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย และขณะที่ทำการปั้นก็จะมีเสียงแปลกๆ เกิดขึ้นที่ด้านหน้าของสถานที่ปั้น จนชาวบ้านแถวนั้นต้องออกมาดูว่าเป็นเสียงอะไรเพราะดังมาก แต่ก็ไม่เคยพบที่มาของเสียงประหลาดนั้นเลย
เมื่อปั้นพระไปก็แก้ไขไป ปั้นไปปั้นมาองค์ท่านขยายจากขนาดที่ผมสั่งคือ 84 นิ้ว ขึ้นไปกลายเป็น 90 นิ้วได้อย่างไร ผมมารู้เอาก็ตอนที่ผมจะต้องทำบล็อคยางนี่เองว่าหลวงพ่อท่านใหญ่ไปถึง 90 นิ้วแล้ว...หลวงพ่อคงบอกว่าแถมให้ 555
ดังนั้นใครจะคิดอย่างไรก็ตาม แต่สำหรับผมแล้ว "หลวงพ่อสดมงคลเลิศฤทธิ์" องค์นี้ท่านศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่ยังสร้างไม่เสร็จเลย ท่านจะเป็นรูปหล่อหลวงพ่อสดที่สร้างด้วยเหล็กไหลช่อทิพย์เงินยวงที่ใหญ่ที่สุดหนึ่งเดียวในโลก หลวงพ่อสดท่านคงต้องการให้ผมสร้างท่านเพื่อนำมาประดิษฐานไว้ที่วัดหลวงพ่อสด ตามคำที่ท่านเคยพูดไว้ตอนที่ท่านยังอยู่ว่า "ต่อไปฉันจะไปอยู่ที่ดำเนินสะดวก"

วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ทำไมผมถึงเลือกสร้างพระด้วยเหล็กไหล


ทำไมผมถึงเลือกสร้างพระด้วยเหล็กไหล โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 28 ธ.ค. 2559
เมื่อก่อนผม (อู๋) ก็ไม่ได้สนใจที่จะสร้างพระมาก่อน เพราะผมเป็นพวกเน้นการนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมไม่ได้อยากสร้างบารมีอะไร คิดแต่จะขอไปนิพพานในชาตินี้ให้ได้เร็วที่สุด แม้ทุกวันนี้ผมก็ยังปรารถนาไปนิพพาน ไม่ได้อยากเกิดอีกเพราะมันเห็นทุกข์ในการเกิดซะแล้ว
ต่อมาเมื่ออยู่ๆ ผมก็เกิดสัมผัสพลังของพระเครื่องได้ (หลวงปู่ท่านประทานพรมา) ทำให้ผมสามารถแยกแยะได้ว่าพระองค์ไหนมีพุทธคุณหรือไม่มีอะไรเลย (พระฝากลงกรุบางองค์ก็ไม่มีพลังอะไร) องค์ไหนพลังแรงกว่าองค์ไหน พระเครื่องทั่วๆ ไปหาที่จะมีพลังระดับแรงๆ ได้น้อยมาก เมื่อมีประสบการณ์นานวันเข้าก็ทราบว่าพระเครื่องกรุที่แรงๆ เช่น พระกรุท่ากระดาน พระร่วงหลังรางปืน พระจันทรคราสของหลวงปู่ทองทิพย์ ฯลฯ ที่มีพุทธคุณระดับแรงมาก แล้วก็แรงไม่ตกทั้งๆ ที่ผ่านกาลเวลามานานนับร้อยปีพันปี ก็เพราะครูบาอาจารย์หรือพระฤๅษีสมัยโบราณท่านผสมเหล็กไหลเข้าไปในองค์พระนั่นเอง
ใครที่สัมผัสได้จะทราบเลยว่ากว่าพระเครื่องดังๆ จะมีพลังอานุภาพก็จะต้องผ่านการปลุกเสกมาอย่างดีจากพระผู้มีคุณวิเศษ แต่เหล็กไหลเขาไม่ต้องเสกก็มีพลังอยู่ในตัวจนยากที่พระดังๆ จะแรงได้เท่า ต่อให้เป็นทองคำ ทองเหลือง ทองแดง ตะกั่ว ถ้าไม่ได้ผ่านการปลุกเสกมาอย่างดีเขาก็ไม่มีพลัง ต้องผ่านการเสกต้องทำวิชชาจากผู้ทรงวิชชามาอย่างเข้มข้นจึงจะมีพลังได้ สู้เหล็กไหลไม่ได้เลยเพราะเขาแรงโดยไม่ต้องเสก ผมเลยได้ความคิดว่าถ้าเราสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆ ด้วยเหล็กไหลล้วนย่อมทรงพลังวิเศษแน่นอน ก็แค่เหล็กไหลเพียงหยิบมือเดียวยังมีพลังอานุภาพแรงมาก นี่เป็นพระพุทธรูปองค์ขนาด 4 ศอกจะยิ่งทรงอานุภาพขนาดไหน เทพเทวาท่านก็จะต้องลงมาดูแลรักษาเพราะเป็นของวิเศษในโลกที่มีรัศมีในตัวเอง พระที่สร้างด้วยโลหะธรรมดาๆ ท่านจะเหนือกว่าพระเหล็กไหลล้วนๆ ได้อย่างไร
ผมถึงได้บอกว่าขอให้มาร่วมกันสร้างพระเหล็กไหลด้วยกัน เพราะเป็นการสร้างพระด้วยความยาก ต้องไปอัญเชิญเหล็กไหลมาจากในถ้ำได้มาแต่ละครั้งมากบ้างน้อยบ้างหรือไม่ได้เลย กว่าจะรวบรวมมาได้เป็นกิโลย่อมยากเย็นครับ ดีแต่ว่าพวกเราสร้างพระด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่อรักษาสืบต่อพระศาสนา เทพเทวาเจ้าป่าเจ้าเขาเจ้าถ้ำท่านจึงเมตตาส่งเสริมจนพวกเราสามารถอัญเชิญเหล็กไหลมาสร้างพระกันได้ แต่ต่อไปในกาลภายภาคหน้าจะมีการสร้างพระได้แบบนี้อีกหรือไม่ก็ยากจะเดา ท่านให้เรามาในวันนี้แต่ก็ไม่การันตีว่าท่านจะให้มาอีกเรื่อยๆ
พระเหล็กไหลที่ผมพาพวกเราสร้างนี้จึงเป็นเพชรน้ำเอกของวงการพระศาสนา เป็นพระหนึ่งเดียวในโลกที่สร้างจากเหล็กไหลวัชรธาตุ ช่อทิพย์เงินยวง สุริยันราชา ทองปลาไหล แต่ละองค์ก็เป็นพระหนึ่งเดียวในโลกทั้งนั้น
หลวงพ่อสดมงคลเลิศฤทธิ์ ที่จะสร้างด้วยเหล็กไหลช่อทิพย์เงินยวงล้วนๆ ขนาด 90 นิ้วนั้น (4 ศอก 10 นิ้ว) ผมได้เตรียมเหล็กไหลเอาไว้ถึง 1,500 กิโลเพื่อจะใช้หล่อองค์ท่านซึ่งก็ยังไม่แน่ใจว่าจะต้องเชิญมาเพิ่มอีกหรือไม่ องค์นี้ผมตั้งใจว่าผมจะสร้างเป็นองค์สุดท้ายแล้ว เพราะผมเองก็ยังเอาตัวไม่รอดยังอยู่ในอำนาจของกิเลสตันหา (เวลามีน้อย) หลวงพ่อสดองค์นี้เมื่อสร้างเสร็จท่านจะมีขนาดใหญ่เบ้อเริ่มเลย รับรองว่าท่านจะเป็นพระองค์สำคัญที่สุดของวัดหลวงพ่อสดและของประเทศไทยแน่นอน ลูกศิษย์หลวงพ่อสดทุกคนจะต้องหาทางมากราบท่าน และผมก็เชื่อว่าเป็นการยากที่ใครจะสร้างท่านใหญ่ขนาดนี้ได้อีก

วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ลป.ขาว พุทธรักขิโต วัดป่าคูณคำวิปัสสนา

ลป.ขาว พุทธรักขิโต วัดป่าคูณคำวิปัสสนา

บ้านกลาง ต.กุดให อ.กุดบาก ที่วัดมีรูปปั้นลป.ใหญ่เท่าองค์จริงซึ่งมีปาฏิหาริย์มาก ท่านอายุ 31 ปี (ปี 42) ได้เคยพบลป

.เทพโลกอุดร 2 ครั้ง ครั้งแรกตอนเป็นเณร อายุ 12 ปี เข้าป่าไปกับเพื่อนเณรเพื่อเที่ยวเล่นหลงป่าออกไม่ได้ พบพระ
ชรารูปหนึ่งนั่งอยู่ ผิวขาวออกชมพู ผมสีขาว บอกทางออกให้ ครั้งที่ 2 ท่านไปที่ฝั่งลาวตอนอายุ 16 ปี โดนทหารเวียด
นามล้อมไว้นึกว่าท่านเป็นสายลับ ท่านนั่งสมาธิอยู่ด้วยความกลัว ปรากฏว่าลป.เทพโลกอุดรมาสะกิดท่านถามว่าจะให้
ช่วยออกจากวงล้อมไหม ถ้าจะให้ช่วยก็ให้หลับตาลง พอหลับตาหลวงปู่ก็จับข้อมือท่านแล้วก็มีลมมาปะทะหูก็อื้อเหมือน
จะเป็นลม
เมื่อลืมตาก็เห็นพระพุทธรูป 3 องค์ ถามท่านว่าเป็นที่ไหน ท่านว่าอยู่บนภูเขาควาย ท่านจึงอยู่ปฏิบัติธรรมที่นั่น ทุกเช้า
ก็จะมีคนมาใส่บาตรให้ แต่เมื่อตามไปดูก็ไม่พบว่ามีบ้านคนอยู่แถบนั้นเลย วันหนึ่งจึงคิดลองถามชาวบ้านคนนั้นดู
พอจะถามเขาก็ชิงพูดก่อนเลยว่าไม่ต้องถาม ถ้าถามจะอดฉันข้าว

ทุกคืนท่านจะได้ยินเสียงพระมาสอนธรรมะเรื่องสติปัฏฐานและอสุภกรรมฐานให้ เมื่อท่านปฏิบัติไปนานจะครบ 3
เดือนเข้าเรื่องที่คิดจะสึกก็เลิกคิด และพูดเปรยออกมาว่าจะไม่สึกแล้ว พอพูดจบลป.เทพโลกอุดรก็ปรากฏกายขึ้นทันที

ท่านเล่าว่าท่านเป็นพระสมัยพุทธกาล เป็นลศ.ของพระมหากัสสปะ ท่านตั้งใจอยู่เพื่อรักษาพระพุทธศาสนาให้ครบ 5,000
ปี ท่านจึงไม่มีบ้าน ไม่มีพี่น้อง จะคอยช่วยเหลือพระที่อยู่ในป่าและได้รับอันตรายหรือติดขัดทางธรรมะ ท่านไม่มีชื่อ
แต่ลศ.ของท่านคือ "วังหน้า" (สมัยร.1) เรียกท่านว่า "พระครูเทพโลกอุดร" และสร้างพระให้ท่านปลุกเสกให้ส่วนพระที่ไม่
ใช่กรุวังหน้านั้นท่านไม่ได้ปลุกเสก แต่ผู้ที่นับถือท่านสร้างถวายไว้ด้วยความเคารพ ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าลป.เทพโลก
อุดรปลุกเสกพระกรุวังหน้าเพียงชุดเดียวเท่านั้น

ลป.เทพโลกอุดรขอให้ท่านสร้างโบสถ์ที่วัดนี้ แต่ท่านบอกสร้างไม่ได้หรอกเพราะไม่มีเงิน ลป.บอกไม่เป็นไรพรุ่งนี้จะ
มีผู้มาถวายเงิน 700,000 บาท พอวันรุ่งขึ้นก็มีคนมาถวายจริงๆ จึงได้เริ่มสร้าง ปัจจุบันใกล้จะเสร็จแล้ว ท่าน (ลป
.ขาว) ไม่ฉันเนื้อวัว

ท่านเล่าว่าลป.เทพโลกอุดรมีผิวกายสีดำแดง แต่ดูออกผิวขาวเนื่องจากผิวของท่านใส (ละเอียดและมีรัศมี) เกศาสีขาว
เส้นละเอียดไม่สั้นไม่ยาวเกินไปดูเหมือนปุยนุ่น นัยตาสีดำ ห่มจีวรสีเหลืองไม่เข้มนักเกือบเป็นสีกรัก ท่านสอนเน้น
เรื่องสติคือให้มีสติในทุกเมื่อและไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น (ไม่ให้มีห่วง) ชาวบ้านแถบนั้นเคารพลป.ขาวมากและเรียกท่านว่า
หลวงปู่ตั้งแต่ท่านยังเป็นเณร โดยเรียกว่า "หลวงปู่เณร" ท่านว่าชาติก่อนท่านเป็นคนลาว แม้ทุกวันนี้ก็ยังรู้เรื่องของ
เมืองลาวมาก

ลพ.บุญเดช ญาณเตโช วัดถ้ำแสงธรรม ต.บึงโขงหลง อ.บึงโขงหลง ภูลังกา จ.บึงกาฬ


ลพ.บุญเดช ญาณเตโช วัดถ้ำแสงธรรม ต.บึงโขงหลง อ.บึงโขงหลง ภูลังกา จ.บึงกาฬ โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 17 ธ.ค. 2559
หลวงพ่อองค์นี้คือพระที่ลต.มหาบัวบอกว่าท่านจะเป็นที่พึ่งของพระศาสนาต่อไป ท่านเกิดเมื่อ 24 กพ. 2506 อายุ 53 ปี (ปี 2559) เป็นลูกศิษย์ของลพ.สมชาย ฐิตวิริโย วัดเขาสุกิม และลพ.พุธ ฐานิโย
ลพ.บุญเดชเคยไปเมืองพญานาคด้วยกายเนื้อมาแล้ว โดยอยู่ที่นั่นถึง 28 วัน และยังได้เก็บจีวรผืนที่ใช้ลงไปเมืองพญานาคไว้เป็นที่ระลึกจนถึงทุกวันนี้ น้ำที่ซักผ้าจีวรนี้ปรากฏว่ามีเกล็ดประกายสีทองปนอยู่ในน้ำเต็มไปหมด และท่านยังได้นำลูกแก้วของเมืองบาดาลมาด้วย
ท่านฝึกสมาธิอย่างจริงจังโดยเฉพาะในแนวมหาสติปัฏฐาน 4 คือมีสติทุกเวลาทุกลมหายใจเข้าออก ทั้งเวลาตื่นและเวลาหลับจนกระทั่งสามารถกำหนดเวลาตื่นได้ ท่านชอบฝึกการอดอาหารและอดนอนต่อเนื่องกันครั้งละหลายๆ วันจนกระทั่งได้บรรลุธรรมขั้นต่างๆ บางครั้งเมื่อท่านเดินจงกลม ก็มีผู้เห็นว่าท่านเดินจงกลมอยู่บนอากาศหรือยืนอยู่เหนือยอดไม้ (ยืนยันได้โดยคุณศักดิ์ พันธุ์ศิลา 380 หมู่ 11 บ้านโนนสว่างเหนือ ต.บึงโขงหลง อ.บึงโขงหลง จ.หนองคาย 43220 เคยไปแอบดูตอนท่านเดินจงกลม)
เมื่อหลายปีก่อนท่านมีความสงสัยว่าลป.เทพโลกอุดรมีจริงหรือไม่ ท่านจึงแก้สงสัยโดยอธิษฐานจิตว่า "หากลป.เทพโลกอุดรมีจริง ขอให้ท่านได้พบเห็นในวันนี้ จะเป็นกายเนื้อหรือกายทิพย์ก็ดี หากแม้นไม่พบเห็นในวันนี้คืนนี้ต่อไปจะไม่เชื่อว่าลป.เทพโลกอุดรมีจริง" เมื่อท่านอธิษฐานเสร็จก็ก้มลงกราบพระ ขณะที่ท่านหันหลังกลับมาเพื่อเตรียมตัวนั่งสมาธิ ทันใดนั้นสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาทำให้ท่านต้องตะลึง เพราะท่านเห็นพระภิกษุวัยกลางคนรูปร่างค่อนข้างสูง ผิวผ่องเป็นสีชมพู ผมขาว ใบหูใหญ่ หน้าตาคม จมูกโต ครองจีวรสีแก่นขนุน กำลังเดินตรงเข้ามาหาท่าน พร้อมกับเสือโคร่งขนาดใหญ่และสิงโต
พระภิกษุรูปนั้นเอ่ยขึ้นว่า "เธอต้องการพบเราไม่ใช่หรือ" หลังจากนั้นท่านจึงได้บอกกับลพ.บุญเดชว่า "เราคือหลวงปู่เทพโลกอุดร" และท่านได้เมตตาเล่าเรื่องที่น่ารู้ต่างๆ พร้อมทั้งสอนธรรมะและการปฏิบัติแก่ลพ.บุญเดชอยู่ราว 2 ชั่วโมง แล้วท่านก็เดินกลับหายตัวลับไปต่อหน้าต่อตา ท่านจึงหมดความสงสัยและยืนยันว่าลป.เทพโลกอุดรมีอยู่จริง ท่านยังได้ปั้นรูปเสือและสิงโตไว้เป็นอนุสรณ์ที่ปากทางขึ้นบนลานพระใหญ่ของวัดถ้ำแสงธรรมอีกด้วย
เมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา ผม (อู๋) กับเพื่อนๆ ได้เดินทางไปหาท่านที่ภูลังกา โดยผมตั้งใจจะนำเหล็กไหล "หลวงปู่สิงห์" ซึ่งเป็นเหล็กไหลน้ำหนึ่งสีปีกแมลงทับถวายแก่ท่าน (เหล็กไหลก้อนนี้เป็นเหล็กไหลจากภูเขาควายที่ยังไม่ตายยังนิ่มอยู่เหมือนตังเม) แต่ผมก็รู้ตัวอยู่ว่าตอนนี้ร่างกายของผมไม่สามารถที่จะปีนขึ้นเขาภูลังกาได้เพราะทางขึ้นเขาชันและสูงมาก ขึ้นไปแล้วก็ยังไม่ถึงวัดต้องเดินผ่านป่าเขาลำธารไปอีกไกล ผมเคยขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งตอนที่ร่างกายยังแข็งแรง ตอนนั้นกว่าจะไปถึงวัดก็แทบหมดแรงนอนหมดสภาพเลยทีเดียว ครั้งนี้ผมตั้งใจจะถวายท่านโดยกำหนดจิตบอกไปในตอนนั่งสมาธิ แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าเมื่อไปถึงทางขึ้นแล้วจะทำอย่างไรต่อไป เพื่อนๆ ผมเขาก็ถามว่าเมื่อไปถึงแล้วจะเอาอย่างไร ผมก็บอกว่า "ไม่รู้" ถามผม 2-3 ครั้ง ผมก็ตอบเหมือนเดิมคือ "ไม่รู้"
แต่เชื่อไหมครับ พอพวกผมไปถึงตีนเขาทางขึ้นภูลังกา ก็เห็นหลวงพ่อบุญเดชท่านกำลังนั่งพักเหนื่อยอยู่พอดี ท่านเพิ่งลงมาจากภูลังกาเพื่อจะไปธุระในเมือง ลงมาถึงก็เจอกับพวกผมเลยอะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น หากพวกผมถึงช้าไปหรือเร็วไปแค่ 15 นาทีก็ไม่มีทางได้พบท่านแล้ว เพราะในปีหนึ่งหลวงพ่อท่านจะลงมาจากภูลังกาแค่ 1-2 ครั้งเท่านั้น ผมจึงได้นำเหล็กไหลน้ำหนึ่งชนิดที่ไม่มีใครจะได้มาครอบครองถวายท่านไปเพื่อเอาบุญติดตัว ท่านรับไปแล้วก็ยิ้มด้วยความยินดีโดยหันหน้าไปทางภูเขาควาย (ท่านคงใช้ญาณตรวจดูแล้ว)

ลป.ทองทิพย์ รัตนโคตร (มรณะ 7 มีค 2544) วัดป่าสีดาพระรามลักษณ์รัตนโคตร ต.สีกา อ.เมือง จ.หนองคาย







ลป.ทองทิพย์ รัตนโคตร (มรณะ 7 มีค 2544) วัดป่าสีดาพระรามลักษณ์รัตนโคตร ต.สีกา อ.เมือง จ.หนองคาย โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 16 ธ.ค. 2559



ภาพถ่ายของท่านมีแสงวิ่งเป็นรูปกวางทองและมงกุฎติดที่ศีรษะของท่าน เชื่อกันว่าท่านเป็นน้องในอดีตชาติของลป.เทพโลกอุดร ตามแขนของท่านจะมีนาฬิกาใส่ไว้หลายเรือน ตามนิ้วท่านก็มีแหวนใส่อยู่หลายวงซึ่งลักษณะแบบนี้มีท่านเพียงองค์เดียวเท่านั้นที่ทำได้อย่างนี้ เนื่องจากลูกศิษย์ถวายแหวนและนาฬิกาให้ท่านด้วยความศรัทธา โดยบางคนทิ้งไว้กับท่านเมื่อครบเดือนก็มาขอคืนเพื่อนำไปใช้โดยเชื่อว่าท่านได้เสกให้แล้ว แต่บางคนก็ถวายให้ท่านเลยเพื่อเอาบุญ ท่านมักจะนั่งอยู่กับที่ตลอดวันตลอดคืนโดยไม่ลุกไปไหน
เคยมีคนไม่ชอบใจที่เห็นท่านสวมแหวนและนาฬิกา จึงนำเรื่องไปฟ้องหน่วยราชการให้มาสึกท่าน เจ้าหน้าที่ก็มาที่วัดเพื่อตามหาท่าน แต่ปรากฏว่าเมื่อเข้ามาในเขตวัดเจ้าหน้าที่ท่านนั้นเกิดอาการ "ขี้แตก" คืออุจจาระแตกต้องวิ่งเข้าห้องน้ำอย่างกระทันหันทันทีทันใด เข้าห้องน้ำไปนานสองนานพอแแกมาจากห้องน้ำได้ก็รีบเดินทางออกนอกวัดกลับไปทันที แล้วเจ้าหน้าที่ก็ไม่เคยกลับมาที่วัดอีกเลย
ผู้ปฏิบัติธรรมที่มาจากภูเขาควายเกือบทุกคน จะต้องแวะมากราบท่านที่วัดเสมอ เข้าใจว่าครูบาอาจารย์ที่ภูเขาควายคงจะแนะนำให้มากราบท่านกันเพราะท่านอยู่ที่ภูเขาควายมานานถือว่าเป็นศิษย์รุ่นพี่ ที่วัดท่านสมัยนั้นไม่มีโทรศัพท์ใช้ ท่านมาอยู่ที่วัดแห่งนี้นานร่วม 30-40 ปีแล้วโดยไม่ได้ไปไหนเพราะหลวงปู่เทพโลกอุดรเป็นผู้พาท่านมาจากภูเขาควาย แล้วนิมนต์ให้ท่านอยู่ประจำเพื่อรักษาอาณาเขตบริเวณนี้เอาไว้
ท่านรู้เรื่องเหล็กไหลไพรดำเป็นอย่างดี (ภูเขาควายอุดมไปด้วยเหล็กไหลหลายชนิด) จนท่านสามารถสร้างพระ "จันทรคราส" ด้วยเหล็กไหลได้ พระของท่านนับว่ามีอานุภาพสูงมากยากที่พระรุ่นไหนๆ จะมาเทียบได้ ท่านสร้างพระของท่านเองโดยปิดวิธีสร้างไว้เป็นความลับ แม้แต่ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดก็ยังไม่ทราบว่าท่านสร้างพระ "จันทรคราส" ด้วยวิธีใด เพราะท่านทำของท่านเองที่วัด เวลาท่านทำท่านก็นั่งหันหลังไม่ยอมให้ใครเห็น
ในระยะ 4-5 ปีก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ท่านได้ให้ความเมตตาแก่พระมหาเสริมชัย ชยมังคโล (หลวงป๋า) เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสด อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี เป็นพิเศษ โดยท่านชมหลวงป๋าว่าในยุคนี้ก็เห็นมีแต่ท่านเสริมชัยนี้แหละที่สร้างบารมีได้มาก หลวงป๋าท่านเคารพหลวงปู่ทองทิพย์มากเพราะท่านเป็นผู้มีญาณหยั่งรู้รวดเร็วและแม่นยำ เมื่อมีโอกาสจึงมักจะแวะขึ้นไปกราบท่านอยู่เสมอ ครั้งหนึ่งหลวงป๋าท่านตั้งใจจะนำพระเครื่องที่ท่านสร้างจากเหล็กไหลซึ่งเชื่อว่าเป็นพระที่มีอภินิหาริย์มากองค์หนึ่งเป็นพระสีเงินยวงไปถวายหลวงปู่ทองทิพย์ ขณะที่กำลังจะถวายหลวงปู่ทองทิพย์กลับเอ่ยขึ้นมาว่า "แล้วพระเหล็กไหลสีน้ำเงินปีกแมลงทับที่เอามาด้วยจะไม่ถวายหรือ" หลวงป๋าถึงกับอึ้งไปเลย เพราะความจริงหลวงป๋านำพระติดตัวมา 2 องค์จริงๆ คือพระสีเงินยวงและพระสีน้ำเงินปีกแมลงทับ แต่ยังรู้สึกเสียดายพระสีปีกแมลงทับซึ่งสวยงามกว่าจึงได้ซ่อนเอาไว้ในกระเป๋าอังสะ ไม่คิดว่าหลวงปู่ทองทิพย์ท่านจะรู้ หลวงป๋าจึงต้องยอมล้วงพระเหล็กไหลสีปีกแมลงทับออกมาถวายท่านอีกองค์หนึ่ง หลวงป๋าท่านเล่าให้ผม (อู๋) ฟังเอง ท่านเล่าไปก็หัวเราะไปอย่างอารมณ์ดี
หลวงปู่ทองทิพย์ท่านเล่าว่าพระพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลกมีชื่อว่า "พระปฐม" ทรงประสูติจากดอกบัว (อุบล) คือมีดอกบัวเป็นแม่ ดังนั้นเวลาจะไหว้พระรัตนตรัยจึงนิยมใช้ดอกบัวตั้งแต่อดีตกาล หลังจากยุคนั้นก็มีพระพุทธเจ้าต่อๆ กันมาอีกหลายพระองค์ รวมแล้วมากกว่าก้อนหินเม็ดทรายเสียอีก พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปที่จะมาตรัสรู้คือพระศรีอาริย์ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าชั้นพิเศษ (มีบารมีมาก) จะมีอายุยืนถึง 80,000 ปี คนในยุคนั้นก็มีอายุ 80,000 ปีเช่นกัน พระพุทธเจ้าที่มีอายุยืนมากกว่านี้ก็มีคือพระวิปัสสีพุทธเจ้า ยุคนั้นผู้คนมีอายุถึง 200,000 ปี
ทุกคนในยุคพระศรีอาริย์จะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันหมด พ่อกับลูก แม่กับลูกจะดูไม่ออกเลยว่าใครเป็นพ่อเป็นลูก คือไม่รู้ว่าใครแก่กว่ากัน และพระศรีอาริย์จะสามารถพาคนเข้าพระนิพพานได้ถึง 3 ส่วน เหลือไว้เพียง 1 ส่วน ส่วนพระสมณโคดมนั้นท่านขนคนไปได้เพียง 1 ส่วน เหลือไว้ถึง 3 ส่วน เพราะบารมีน้อยกว่า และพระกกุสันโธขนคนไปได้ 2 ส่วน เหลือไว้ 2 ส่วน
ท่านเล่าว่าสมัยโบราณอาวุธที่ดีที่สุดเรียกว่า "ดาบศรีคันชัย" ซึ่งเป็นดาบที่สร้างจากเหล็กกายสิทธิ์มีฤทธิ์เดชอานุภาพที่สุด สามารถตัดของได้ทุกสิ่งเรียกได้ว่าเป็นของวิเศษ ดังนั้นจึงมักจะเปรียบเทียบปัญญาของคนที่ฉลาดๆ ว่าเหมือนดาบศรีคันชัย เพราะสามารถใช้ปัญญาตัดกิเลสได้ ยักษ์ในสมัยก่อนนั้นชอบจับคนไปกิน แต่ยักษ์ในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปเป็นผู้เอาเปรียบ (สูบเลือดสูบเนื้อ) คน ซึ่งก็คือพวกนักวิทยาศาสตร์นั่นเอง
เมื่อผมทราบว่าหลวงปู่ละสังขาร ผม (อู๋) และเพื่อนได้ขึ้นไปกราบร่างของท่านเมื่อวันที่ 10 มีค. 2544 หรือ 4 วันหลังจากท่านสิ้น ปรากฏว่าร่างของท่านไม่เน่า ไม่บวม ไม่มีน้ำเหลืองไหลจากหู-จมูก ทั้งที่ไม่มีการฉีดยารักษาสภาพศพแต่อย่างใด เพราะท่านได้สั่งกำชับไว้ว่าห้ามฉีดยาฟอร์มารีนอย่างเด็ดขาด
หลังจากท่านได้ละสังขารแล้วปรากฏว่าได้เกิดฝนตกทั่วประเทศไทยถึง 7 วัน 7 คืน คือฝนเริ่มตกตั้งแต่วันที่ 8 มีค. 2544 จนถึง 14 มีค. 2544 อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คือตกทั้งกลางวันและกลางคืนไม่หยุดเลย ผม( อู๋) ขอเป็นพยานว่าเป็นเรื่องจริง เพราะตอนที่ผมและเพื่อนขับรถขึ้นไปเพื่อกราบร่างท่านก็ยังต้องขับรถฝ่าสายฝนไปตลอดทาง เหมือนเหล่าเทวดาทำเครื่องหมายให้โลกรู้ว่าผู้มีบารมีใหญ่ได้ละสังขารจากโลกมนุษย์แล้ว เรื่องที่ฝนจะตกแบบนี้หลวงปู่ท่านก็ได้บอกแก่ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดก่อนแล้วว่า "พวกแกคอยดูนะ เมื่อข้าสิ้น ฝนจะตก 7 วัน 7 คืนไม่หยุดเลย"

วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

การเร่งปฏิบัติธรรม ยิ่งเร่งยิ่งได้ธรรมะเร็วจริงไหม


การเร่งปฏิบัติธรรม ยิ่งเร่งยิ่งได้ธรรมะเร็วจริงไหม โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 28 พ.ย. 2559
ตอนผมหนุ่มๆ ผมได้ไปวัดแห่งหนึ่งที่เขาเปิดโครงการปฏิบัติธรรม โดยให้ความคิดมาว่าใครได้เข้าร่วมโครงการนี้จะได้เห็นธรรมกายเร็วกว่า เพราะหลักสูตรการปฏิบัติธรรมของเขาจะใช้การนั่งสมาธิให้มาก เอาแบบวิกฤติชนิดเอาเป็นเอาตาย นั่งและเดินปฏิบัติธรรมกันวันละ 14-16 ชั่วโมง มีเวลาพักกินข้าวและนอนเพียงไม่กี่ชั่วโมง โดยมีการให้ข้อมูลมาว่าปกติคนทั่วไปนั่งสมาธิกันวันละ 1 ชั่วโมง ใช้เวลา 3-5 ปี กว่าจะเห็นธรรมกาย ถ้าเราใช้เวลามากกว่านั้น 10-15 เท่าในแต่ละวันก็จะได้ธรรมกายเร็วขึ้น 10-15 เท่าเช่นเดียวกัน
ผมยังเป็นเด็กเมื่อได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย เชื่อว่าน่าจะเป็นไปได้ เรายิ่งนั่งสมาธิมากและนานกว่าคนอื่นเราย่อมได้ธรรมะเร็วกว่าคนอื่น เหมือนการคิดเลขโดยการคูณ 2 คูณ 3 จะได้ผลลัพธ์ตามตัวเลขที่คูณออกมา......
เรื่องจริงมันไม่เป็นอย่างนั้นครับ ในโครงการนั้นแท้จริงแล้วก็มีผู้ได้ธรรมกายเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ส่วนใหญ่ผ่านไปแค่ 7-8 วันก็ป่วยกัน โดยเฉพาะอาการปวดหัวมึนตึ๊บแทบระเบิด เพราะเราไปเพ่งไปบังคับกดดันจิตและสมองมากเกินไป เหมือนเราขับรถที่ใช้รอบเครื่องยนต์สูงๆ นานเกินไปเครื่องยนต์มันย่อมทนไม่ไหว เครื่องพังครับ เวลาผ่านไปแค่ 10 วันคนที่เข้าอบรมหายไป 40-50%
เพราะแท้จริงแล้วการได้ธรรมะหรือสมาธิมันก็เหมือนกับการหุงข้าว มันต้องใช้เวลาในการหุงโดยให้ความร้อนไปเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ เมื่อเวลาผ่านไป 30-40 นาทีข้าวมันจะสุกเองเพราะผ่านการให้ความร้อนมาอย่างพอเพียง ไม่ใช่นึกจะให้ข้าวสุกเร็วก็ใช้ไฟความร้อนสูงๆ นอกจากข้าวจะไหม้แล้วหม้อหุงข้าวก็จะพังไปด้วย
พระบางองค์ท่านจึงให้คำแนะนำในการปฏิบัติธรรมว่า การปฏิบัติธรรมก็ทำให้เหมือนกับการไปโรงเรียน เราต้องไปเรียนหนังสือทุกวัน อยากไปบ้างไม่อยากไปบ้างแต่เราก็ต้องไปโรงเรียน บางวันก็เรียนรู้เรื่องดีบางวันก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่เมื่อเรียนไปจนครบกำหนดเราก็จบออกมาได้ เรียนสำเร็จการศึกษาเป็นขั้นๆ ไปจนจบปริญญา
เราจะไปเอาอย่างผู้ที่เขาฝึกมานานจนใกล้สำเร็จอยู่แล้วไม่ได้ ท่านพวกนี้มีกำลังใจสูงมาก พอท่านเร่งโดยตั้งสัจจะว่าถ้าไม่ได้ธรรมะก็จะไม่ลุกไปไหน ท่านก็สามารถทำได้เพราะต้นทุนของท่านมีมากอยู่แล้ว คนธรรมดาอย่าริอ่านไปทำตามท่านเพราะนอกจากจะไม่ได้ธรรมะแล้วพาลจะเลิกปฏิบัติธรรมไปเลย
ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ผม (อู๋) นั่งสมาธิมากวันหนึ่งนั่งสมาธิ 6-7 รอบ รอบละประมาณ 1 ชั่วโมง ผมนั่งจนก้นเป็นฝีปีหนึ่ง 4-5 ครั้งทุกปีจนก้นมีลายดำเพราะแผลจากฝีเต็มไปหมดแล้ว นั่งจนฝีแตกแล้วแตกอีกก็ยังไม่ได้ธรรมกาย ช่วงปีนี้เลยแผ่วความขยันลงมาจิตกลับนิ่งขึ้น เห็นอะไรชัดขึ้น ผมเขียนเรื่องนี้มาเพื่อเล่าให้เพื่อนๆ ฟังว่าการนั่งสมาธินั้นอย่าไปเร่งจนเครื่องพัง ค่อยๆ ทำไปตามกำลังแต่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอเหมือนการหุงข้าว เพราะแท้จริงแล้วการนั่งสมาธิที่ถูกต้องและสมาธิของเราจะก้าวหน้าไปก็ด้วยการทำจิตให้สงบสบาย-นิ่งนุ่มเบาต่างหาก ไม่ใช่การไปบังคับกดดันจิต ส่วนคนที่นั่งสมาธิน้อยอยู่แล้วผมคงไม่มีคำแนะนำอะไรให้ครับ
เรื่องปลอบใจ...พระท่านบอกมาว่าบางครั้งการได้ธรรมะเร็วหรือช้ามันก็เหมือนกับประเภทของต้นไม้ ต้นไม้ที่ปลูกแล้วโตเร็วมันก็มักจะมีอายุสั้น ต้นไม่สูง เนื้อไม้ไม่แข็งแกร่ง แต่ต้นไม้ที่โตช้ามักจะเป็นต้นไม้ที่มีอายุยืนนับร้อยๆ ปี มีขนาดต้นสูงใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปมาก เป็นที่อยู่อาศัยของนกกาและสัตว์ต่างๆ ต้นไม้เนื้อแข็งสามารถนำมาสร้างบ้านทำประโยชน์ได้ดีกว่าไม้เนื้ออ่อน เมื่อเทียบกันแล้วต้นไม้ยืนต้นย่อมสูงด้วยคุณค่าและราคามากกว่าต้นไม้เนื้ออ่อน....พวกเราเป็นต้นไม้ชนิดไหนครับ

ทำไมเปรตจึงชอบอยู่ตามวัด


ทำไมเปรตจึงชอบอยู่ตามวัด โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 26 พ.ย. 2559
ตามวัดต่างๆ โดยเฉพาะวัดที่สร้างมานานมักจะมีเปรตอยู่มากมาย พวกนี้ไปไหนไม่ได้เพราะต้องชดใช้กรรมโดยเกิดเป็นเปรต บางตัวอายุหลายร้อยปี เปรตพวกนี้ส่วนใหญ่ก็มีทั้งพระที่เป็นทั้งอดีตเจ้าอาวาส พระลูกวัด และฆราวาสที่มาอาสาทำงานให้วัด แต่เขาพวกนี้ไม่กลัวบาปแอบขโมยสมบัติของวัดไปใช้ส่วนตัว เอาไปขายบ้าง เอาไปให้ลูกหลานบ้าง บางคนก็มาสร้างเรื่องหลอกลวงต้มตุ๋นพระ เพราะคิดว่าพระท่านไม่รู้เรื่องของทางโลก ตามพวกเขาไม่ทัน และพระท่านมักชอบมองคนในแง่ดี คนพวกนี้จึงชอบมาหลอกลวงพระเป็นพิเศษ
คนพวกนี้ไม่ใช่ไม่รู้ว่าเป็นบาป เพราะพระท่านก็คอยสอนคอนเตือนว่าการขโมยของวัดเป็นบาป เขารู้แต่เขาก็ทำเพราะคนพวกนี้มีความอยากได้อยากมีมากกว่ากลัวบาป ดูตามข่าวหนังสือพิมพ์ซิครับ พวกหัวขโมยนั้นต่างล้วนรู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นการทำผิดกฎหมาย ถ้าถูกจับได้จะต้องติดคุกถูกลงโทษ แต่คนพวกนี้เขาก็ยังทำทั้งๆ ที่รู้ใช่ไหมครับ หลายคนชอบคิดว่าทำไมพระท่านไม่ไล่คนพวกนี้ออกไปจากวัด ผมว่าพระท่านก็ไล่ออกไปหลายคนแล้ว แต่คนพวกนี้เขาออกไปแล้วเขาก็แอบกลับเข้ามาอีก บางคนก็เป็นอันธพาลขู่ทำร้ายพระเสียอีก
ดังนั้นพระที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านจึงวางอุเบกขา...ปล่อยให้เป็นไปตามกรรมของสัตว์โลก มันอยากจะไปเป็นเปรต เป็นสัตว์นรก ก็ต้องปล่อยมันไป เพราะแม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ยังไม่สามารถโปรดคนทุกคนได้ มันยังไม่ถึงเวลาสำหรับคนพวกนี้ ต้องปล่อยให้เขาเรียนรู้ด้วยตัวเองไปก่อน เมื่อมีบารมีมากขึ้นเขาก็จะดีขึ้นมาเอง วัดกับเปรตจึงอยู่คู่กันมาเสมอ
ยกเว้นบางวัดจะมีเปรตอยู่น้อยหรือไม่มีเลย ทั้งนี้เพราะในวัดนั้นเกิดมีพระดีที่ท่านเก่งเรื่องสมาธิกรรมฐาน โดยเฉพาะกรรมฐานที่เกี่ยวเนื่องด้วยกสิณแสงสว่าง (อาโลกสิณ) อย่างเช่นวิชาธรรมกายที่วัดหลวงพ่อสดที่ใช้การเพ่งดวงแก้วและแสงสว่าง เพราะในการทำวิชาท่านมักจะขยายดวงกสิณให้ครอบคลุมพื้นที่วัดทั้งหมด เพื่อให้ส่วนละเอียดของวัดเกิดความบริสุทธิ์สว่างไสว พวกเปรตเมื่อเจอแสงสว่างจากอาโลกสิณนี้ก็จะแสบตาจนทนอยู่ไม่ได้ ต้องวิ่งจู๊ดหนีออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา เปรตพวกนี้เจอแสงจากกสิณแสงสว่างนี้ไม่กี่ทีก็เข็ดไม่กล้าเข้ามาอยู่ในวัดนั้นแล้ว...ของมันแพ้ทางกันครับ

การทำบุญไม่ใช่แค่ทำด้วยเงินเพียงอย่างเดียว


การทำบุญไม่ใช่แค่ทำด้วยเงินเพียงอย่างเดียว โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 25 พ.ย. 2559
หลายคนเขาไม่รู้วิธีหาบุญ (สร้างบุญ) เคยได้ยินแต่คนบ่นกันว่าอยากทำบุญแต่ไม่ค่อยมีเงิน เห็นคนอื่นได้ทำบุญมากๆ บ่อยๆ ก็นึกน้อยใจในบุญวาสนาของตัวเอง คนพวกนี้เขาไม่เคยศึกษาหรือขาดผู้ชี้แนะวิธีหาบุญ เพราะแท้จริงแล้วการทำบุญด้วยเงินนั้นมันเป็นเพียงแค่ 1 ใน 10 อย่างเท่านั้นเอง เรายังหาบุญเข้าตัวได้อีกตั้ง 9 อย่าง
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าการทำบุญมี ๑๐ อย่างด้วยกัน คือบุญกิริยาวัตถุ 10
๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ทาน (เงิน อาหาร สิ่งของ เครื่องใช้ สถานที่ ฯลฯ)
๒. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล (ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227)
๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการภาวนา นั่งสมาธิทำใจให้หยุดให้นิ่งเป็นหนึ่งเดียว (เอกัคคตารมณ์) วิปัสสนาพิจารณามรณานุสสติ พิจารณาพระไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) พิจารณาอริยสัจ 4 ฯลฯ
๔. อปจายนมัย บุญสำเร็จด้วยการนอบน้อมถ่อมตนต่อคนอื่น คนอื่นเขาเห็นก็เย็นตาเย็นใจ เกิดความเอ็นดูรักใคร่เมตตา เราทำให้เกิดความเมตตาในใจคนอื่นเขา ตัวเราก็เลยมีส่วนในบุญนั้นด้วย
๕. เวยยาวัจจมัย บุญสำเร็จด้วยการช่วยเหลืองานบุญคนอื่นเขา บอกบุญเป็นสะพานบุญ ไปวัดก็ไปปัดกวาดลานวัด เก็บขยะทำความสะอาดรอบโบสถ์วิหาร ล้างห้องน้ำ ช่วยพระท่านจัดสถานที่ยกโต๊ะเก้าอี้ ถือบาตรหรือสิ่งของต่างๆ ยกอาหารประเคนพระ ปูอาสนะให้พระนั่ง ฯลฯ
๖. ปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการอุทิศส่วนกุศลให้คนอื่นเขา กำหนดจิตแบ่งบุญกุศลให้บิดามารดาท่านผู้มีพระคุณ ครูบาอาจารย์ ญาติพี่น้อง เจ้ากรรมนายเวร กายสิทธิ์ต่างๆ เทวดารักษาตัว เทวดาประจำองค์พระ เจ้าที่ รุกขเทวดา วิญญาณเร่ร่อน (สัมภเวสี) เปรต อสุรกาย สัตว์นรก พระอินทร์ ท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 มีท้าวเวสสุวรรณเป็นต้น ฯลฯ ยิ่งแผ่ไปมากเราก็ยิ่งได้บุญสะท้อนกลับมามาก ยิ่งมีสิ่งคุ้มครองตัวเรามากขึ้น
๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการยินดีในผลบุญที่คนอื่นเขากระทำ ใครทำบุญมาเราทราบก็ร่วมอนุโมทนาบุญกับเขา (ยินดีด้วย) ได้บุญฟรีๆ 50-60% อันนี้เป็นการหาบุญที่ง่ายที่สุดและเปลืองทรัพยากรน้อยที่สุด เพราะบุญเกิดที่ใจเมื่อใจเราไปยินดีในบุญที่คนอื่นทำเราจึงได้บุญนั้นไปด้วย การอนุโมทนาบุญบ่อยๆ ก็จะเป็นวิธีการกำจัดตัวริษยาในใจของเราได้เป็นอย่างดี
๘. ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม แล้วนำไปปฏิบัติ
๙. ธัมมเทสนามัย หลังจากที่ปฏิบัติได้แล้ว นำไปสอนเขาต่อก็เป็นบุญ บอกธรรมะแก่ผู้อื่นเป็นการชี้ทางสว่าง เปลี่ยนทิฐิ (ความเห็น) เปลี่ยนชีวิตให้คนอื่นให้ดีขึ้น
๑๐. ทิฏฐชุกัมม์ ทำความเห็นให้ถูกต้อง (สัมมาทิฐิ) เป็นบุญที่สำคัญมากเหมือนกับการตั้งเข็มทิศในการเดินทาง ถ้าเราไปในทิศทางที่ถูกต้องเราก็ไม่หลงทางไปสู่จุดหมายได้สำเร็จ ความเข้าใจในเรื่อง บาป บุญ คุณ โทษ สิ่งที่เป็นแก่นสารสาระหรือที่ไม่ใช่แก่นสารสาระ ทางเจริญทางเสื่อม สิ่งใดอันควรประพฤติสิ่งใดอันควรละเว้น สำหรับผมแล้วคิดว่าข้อนี้แหละที่เราต้องทำให้เกิดขึ้นให้ได้
การทำบุญจึงไม่ใช่แค่ต้องทำด้วยเงินเท่านั้นนะครับ....อยู่บ้านเปิดคอมอ่านเฟซงานบุญอนุโมทนาบุญไปกับเขา ไม่มีเงินก็ทำบุญได้

ธรรมสภา ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาควาย


ธรรมสภา ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาควาย โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 29 พ.ย. 2559
ผม (อู๋) ขอบอกไว้ก่อนว่าเดิมเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่คิดว่าจะเล่าให้ใครฟัง แต่มีน้องที่รักและเพื่อนบางคนมาขอให้ผมเล่าเอาไว้เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ที่กำลังสร้างบารมีเติมบุญกันอยู่ในขณะนี้ ว่าครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้ทอดทิ้งพวกเราไปไหน ท่านยังอยู่ดูแลรักษาพวกเราด้วยกายพิเศษของท่าน
ธรรมสภานี้เป็นเรื่องลึกลับที่ไม่เคยมีใครพูดถึงมาก่อน อาจเพราะเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ซ่อนอยู่แบบภพซ้อนภพ คือต่อให้เราเดินทางไปถึงที่แห่งนั้นเราก็มองไม่เห็นเข้าไปไม่ได้นั่นเอง ถ้าพระท่านไม่อนุญาตเราก็ไม่มีทางเข้าไปได้ เป็นเรื่องของบุญวาสนาของแต่ละคน ใครไม่ได้ทำบุญทางด้านฤทธิ์อภิญญามาจะมีโอกาสเข้าไปได้อย่างไร แม้แต่ชื่อสถานที่ก็ยังถูกปิดไว้ไม่ให้รู้เลย
ผมรู้จักกับหลวงพี่ท่านหนึ่งที่อยู่ที่วัดหลวงพ่อสด อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ท่านเป็นพระที่ได้ธรรมกายมานานพอสมควรแล้ว โดยท่านมาได้ธรรมกายกับหลวงป๋าท่านเลยเคารพและช่วยงานหลวงป๋ามาโดยตลอด แต่ด้วยนิสัยที่ไม่ชอบคนหมู่มากท่านเลยช่วยหลวงป๋าอย่างเงียบๆ แบบปิดทองหลังพระ ผมรักและเคารพท่านเหมือนกับพี่ชายของผมคนหนึ่ง นิสัยของท่านออกไปในทางกล้าได้กล้าเสีย พูดจริงทำจริง ไม่เกรงกลัวภัยอันตรายใดๆ เพราะท่านก็มีดีพอตัว
วันหนึ่งท่านรู้สึกอยากออกธุดงค์เพื่อท่องเที่ยวไปในโลกกว้างและแสวงหาความรู้ใหม่ๆ ท่านไปของท่านองค์เดียวเลย ธุดงค์จากราชบุรีไปภาคเหนือทะลุไปพม่าจนได้พบกับครูบาบุญชุ่มที่วัดพระธาตุดอนเรืองพูดคุยกันถูกคอจึงเกิดความสนิทสนมกัน ท่านจึงได้ทราบว่าในประเทศลาวนั้นมีดินแดนพิเศษศักดิ์สิทธิ์ เป็นแหล่งตักศิลาของผู้ที่ต้องการเรียนวิชาต่างๆ ดินแดนแห่งนั้นตั้งอยู่ในป่าลึกของภูเขาควาย (ภูควาย)
เมื่อท่านธุดงค์กลับมาที่เชียงรายในฝั่งไทยแล้วก็ยังไม่อยากกลับวัด ความคิดเรื่องภูเขาควายยังคงวิ่งแล่นอยู่ในสมองตลอดเวลา ท่านจึงตัดสินใจเดินทางวกเข้าไปในประเทศลาว ผ่านเวียงจันทน์ขึ้นไปทางเหนือแล้ววกไปทางทิศตะวันออกที่จะไปทางประเทศเวียดนาม โดยท่านได้รับความช่วยเหลือจากทหารลาวขับรถพาท่านไปจนถึงเขตป่าทึบที่แม้แต่รถยนต์ไม่สามารถเข้าไปได้อีก เพราะเป็นป่าทึบภูเขาสูงชัน ดินแดนแถบนี้แหละที่เป็นทางเข้าไปสู่ภูเขาควายอันเรื่องชื่อ แม้แต่คนลาวเองก็ยังไม่กล้าเข้าไปเพราะเป็นดินแดนอาถรรพ์ที่มีอันตรายรอบด้านและสัตว์ป่าชุกชุม
หลวงพี่ท่านไม่กลัว ท่านออกเดินธุดงค์มุ่งหน้าเข้าป่าทึบข้ามเขาลูกแล้วลูกเล่าไปทางประเทศเวียดนาม ท่านบอกว่าเขตภูเขาควายนี้มันกว้างใหญ่มากมีภูเขาและหน้าผาสูงชันหลายลูก ท่านเดินป่าอยู่ราว 3 วันยังไม่พบใครเลย จนท่านเองก็เริ่มอ่อนแรงก็ได้มาพบกับหนองน้ำแห่งหนึ่ง มองเห็นน้ำในบ่อใสแจ๋ว เมื่อมองสำรวจดูก็ตกตะลึงเพราะเห็นเป็นก้อนทองคำมากมายกองอยู่ที่ก้นบ่อนั้น ดูแล้วบ่อน้ำนี้ก็ไม่ลึกมาก ท่านเกิดความคิดขึ้นมาว่าเราธุดงค์เดินป่ามาก็นานมากแล้วยังไม่ได้อะไรเลย ถ้าหากเราเอาทองคำนี้สักก้อนสองก้อนกลับไปที่วัดเพื่อขายเอาเงินไปช่วยหลวงป๋าสร้างวัดก็น่าจะดี ท่านเลยตัดสินใจกระโดดลงบ่อเพื่อดำน้ำไปเอาทองคำ ขณะที่กำลังจะเอามือคว้าก้อนทองคำก็เกิดรู้สึกว่าถูกไฟฟ้าช็อตเข้าอย่างแรงจนหมดสติไป
ท่านนอนสลบไปไม่รู้ว่านานเท่าใดก็ตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย มองดูที่รอบๆ ตัวก็ไม่เห็นว่ามีบ่อน้ำและก้อนทองคำแต่อย่างใด แต่เป็นที่ดินธรรมดาแต่มันไม่ธรรมดาก็เพราะมีกองกระดูกมากมายพร้อมกับบาตรพระ อ้าวนี่ท่านโดนอาถรรพ์ของป่าเข้าไปอย่างจังเลยไม่ตายก็ดีแล้ว พระธุดงค์หลายท่านต้องมาตายที่ตรงนี้ก็เพราะความโลภอยากได้ก้อนทองคำนี่เอง ดีแต่ท่านมีใจคิดว่าจะนำก้อนทองนี้เพื่อเอาไปทำบุญสร้างวัดไม่ได้คิดว่าจะนำไปใช้ส่วนตัว ถ้าท่านคิดโลภจะเอาไปใช้ส่วนตัวท่านก็คงไม่รอดต้องตายเป็นกระดูกกองทบเพิ่มเข้าไปอีกเป็นแน่
ขณะที่กำลังงัวเงียลุกขึ้น พลันท่านก็ได้ยินเสียงถามขึ้นมาว่า “เป็นอย่างไรบ้างล่ะ หิวข้าวไหม” หลวงพี่หันไปมองหาที่มาของเสียงนั้น ท่านก็เห็นว่าบนโขดหินมีผู้ชายชรารูปร่างผอมๆ ผมและหนวดเครายาว ห่มผ้าสีขาวมอๆ ขาดกระรุ่งกระริ่งนั่งอยู่ หลวงพี่จึงตอบกลับไปว่า “หิวมากเลยครับเพราะไม่ได้ฉันข้าวมาหลายวันแล้ว ท่านเป็นพระหรือเป็นคนครับ”
ชายชรา “พระหรือคนเขาดูกันที่สีผ้าหรือดูกันที่ใจล่ะ”
หลวงพี่ “ดูกันที่ใจครับ”
ชายชรา “แล้วมาถามทำไม เอ้า...ถ้าหิวก็ตามมาทางนี้”
ว่าแล้วพระชราท่านก็พาเดินลัดเลาะไปตามทางแคบๆ ของป่าทึบ เดินไปนานพอสมควรจนถึงปากทางเข้าถ้ำแห่งหนึ่ง ท่านก็บอกให้หลวงพี่นั่งรออยู่ก่อนท่านจะไปนำอาหารมาให้ แล้วท่านก็เข้าไปในถ้ำสักครู่หนึ่งก็ออกมาพร้อมกับยื่นชามใบเล็กใส่ข้าวต้มปลามาให้ หลวงพี่ท่านหิวจนตาลายรีบฉันข้าวต้มปลากลิ่นหอมฉุยไปจนอิ่ม แต่ก็แปลกที่ฉันไปตั้งมากแล้วข้าวต้มปลาก็ยังไม่หมดชามสักที พระชราจึงถามว่าอิ่มแล้วหรือ ถ้าอิ่มแล้วต่อไปจะทำอะไรเพราะท่านอุตส่าห์ธุดงค์มาจนถึงที่แห่งนี้แล้วอยากเรียนรู้อะไรบ้างไหม หลวงพี่นึกอยู่แป๊บหนึ่งก็ตอบไปว่า “กระผมอยากเรียนวิชาอักษรขอม จะได้นำเอาไปใช้ประโยชน์แก่พระศาสนาครับ” พระชราท่านก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นก็ให้ตามท่านเข้าไปในถ้ำ หลวงพี่ลุกขึ้นเพื่อจะเดินตามท่านไป แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นชามข้าวที่ท่านเพิ่งฉันอิ่มไป ในชามข้าวนั้นเห็นมีแต่น้ำกับใบไม้เท่านั้น
ทางเข้าถ้ำนี้ค่อนข้างเล็ก แต่เมื่อเข้าไปในถ้ำก็เห็นว่าข้างในนั้นมีห้องเล็กห้องน้อยอยู่หลายห้อง เป็นถ้ำที่สลับซับซ้อน จนเมื่อท่านเข้าไปถึงห้องหนึ่งก็ต้องตกตะลึงเพราะเป็นห้องโถงใหญ่ที่สามารถจุคนได้เป็นร้อย ตรงกลางห้องมีก้อนหินตั้งอยู่มองดูเหมือนแท่นตั้งใบเสมา รอบๆ ผนังห้องนี้ก็เป็นหลืบมีแท่นหินที่คนสามารถขึ้นไปนั่งได้ มองดูแล้วเป็นเหมือนห้องประชุมใหญ่ พระชราท่านนั้นจึงบอกว่าที่แห่งนี้เรียกว่า “ธรรมสภา” ใช้เป็นที่ประชุมพระผู้ใหญ่ที่ทำหน้าที่ดูแลรักษาพระศาสนา จะมีการประชุมกันทุกวันพระ แล้วท่านก็พาหลวงพี่เข้าไปในห้องๆ หนึ่งที่เป็นที่เก็บใบลานตำราต่างๆ กองซ้อนกันอยู่ในห้องนั้น แล้วพระชราท่านก็หยิบผูกใบลานขึ้นมาปึกหนึ่งแล้วส่งให้หลวงพี่ “เอ้านี่เป็นตำราภาษาขอม เอาไปเรียนเอาเอง” ว่าแล้วท่านก็พาหลวงพี่เดินออกมาเพื่อเข้าไปในอีกห้องหนึ่งที่ใช้เป็นห้องเรียน “เธอเรียนวิชาภาษาขอมในห้องนี้นะ” ว่าแล้วท่านก็เดินออกไปทิ้งให้หลวงพี่อยู่ในห้องเพียงลำพัง
มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก เพราะเมื่อท่านเริ่มเปิดดูใบลานผูกนั้นก็ปรากฏว่าตัวหนังสือในใบลานได้วิ่งไปปรากฏที่ผนังถ้ำเห็นตัวหนังสือเหล่านั้นสว่างเหมือนแสงนีออน เมื่อตัวหนังสือใดปรากฏก็จะมีเสียงอ่านให้ทราบว่านี้คือตัวอักษรอะไรอ่านว่าอย่างไร เหมือนกับการเรียนในสมัยใหม่ที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ฉายออกทางหน้าจอโปรเจคเตอร์ตามห้องประชุมสมัยใหม่เลย ฉายตัวหนังสือไปพร้อมกับมีเสียงอ่านสอนไปด้วย มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์เหลือเชื่อจริงๆ
การเรียนการสอนจึงเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว หลวงพี่บอกว่าเรียนภาษาขอมใช้เวลาเพียงไม่กี่วันท่านก็เรียนจบแล้ว สมองมันจำได้หมดเลย ท่านก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมท่านจึงจำได้ มันไม่เหมือนกับการเรียนการสอนที่เคยเรียนมาที่กว่าจะจดจำอะไรได้ก็ต้องใช้การท่องจำ แต่ในที่แห่งนี้เมื่อเรียนไปก็จะจดจำได้ในทันที อาจเป็นเพราะสถานที่นี้ไม่เหมือนกับโลกภายนอก เพราะที่แห่งนี้เป็นที่พิเศษของเหล่าพระอภิญญาท่าน เป็นที่ๆ ฝ่ายมารไม่สามารถส่งอิทธิฤทธิ์ของฝ่ายเขาเข้ามาบดบังห่อหุ้มจิตใจเราได้ เราจึงสมารถเรียนรู้และเข้าใจวิชาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ในเวลาที่เหลือหลวงพี่ก็ยังขอเรียนวิชาอื่นๆ เพิ่มเติมอีก แต่ท่านไม่ยอมบอกว่าท่านได้เรียนวิชาอะไรมาบ้าง
ในระหว่างนั้นเมื่อถึงวันพระ ในห้องธรรมสภาก็จะมีพระที่ทำหน้าที่ดูแลรักษาพระศาสนามาร่วมประชุมกัน พระที่มาร่วมประชุมมีมากมายทั้งที่ท่านรู้จัก (เคยอ่าน-เคยเห็น) ก็มี พระที่ท่านไม่รู้จักก็มาก พระที่ยังมีชีวิตและที่ท่านละสังขารไปแล้วก็มา ไม่รู้ว่าท่านมาได้อย่างไร หรือท่านสามารถอธิษฐานปรุงกายเนื้อขึ้นมาใหม่ได้ (กายพิเศษ) เนื้อตัวท่านก็เหมือนกับคนธรรมดา จับดูก็จับได้มีเนื้อมีหนังเช่นเดียวกับคนธรรมดานี่เอง นี่แหละที่เขาเรียกกันว่าพระอภิญญา คือท่านสามารถทำในสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเรา ทำในสิ่งที่เป็นเรื่องอจินไตยคาดเดาไม่ได้ หลวงพี่ท่านได้เห็นหลวงพ่อสดและหลวงปู่เทพโลกอุดร ทั้ง 2 ท่านนี้ประชุมทำงานด้วยกันอย่างใกล้ชิด เราไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าหลวงพ่อสดและหลวงปู่เทพโลกอุดรท่านรู้จักกัน เพราะไม่เคยมีใครบอกไม่เคยมีคนพูด แต่สำหรับตัวผม (อู๋) นั้นไม่แปลกใจเลยเพราะท่านทั้งสองคือครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพรักอย่างสูง มีแต่ท่านทั้ง 2 องค์นี้แหละที่มาคอยช่วยเหลือเมื่อผมมีปัญหา ผมจึงเชื่อมานานแล้วว่าท่านทั้ง 2 มีความสนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
ไม่ใช่มีแต่เพียงหลวงพ่อสดและปลวงปู่เทพโลกอุดรเท่านั้น หลวงพี่ท่านเห็นหลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี หลวงปู่ทองทิพย์ (ตอนนั้นยังไม่ละสังขาร) หลวงปู่สรวง (ตอนนั้นยังไม่ละสังขาร) หลวงปู่สุภา (ตอนนั้นยังไม่ละสังขาร) ฯลฯ นอกจากพระแล้วก็ยังมีพระฤๅษีอีกมาก ที่จริงแล้วพวกเราชอบแยกพระและพระฤๅษีออกจากกัน แต่ตามจริงแล้วพระในป่านั้นเขาไม่ได้แยกกัน เขานับถือกันที่คุณธรรม ดังนั้นพระกับพระฤๅษีจึงไม่ได้แตกต่างกันอย่างที่เราคิด ในการประชุมนั้นหลวงพี่ท่านไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย แต่ก็เห็นว่ามีพระมาร่วมประชุมมากมาย บางท่านก็นั่งอยู่ที่พื้นห้อง บางท่านก็นั่งอยู่ตามหลืบผนังถ้ำ ลดหลั่นกันไปตามบารมีของแต่ละท่านเพราะท่านไม่ได้นับอาวุโสกันแล้ว แต่นับถือแบ่งลำดับกันตามบารมีที่ได้สร้างกันมา
เมื่อหลวงพี่ว่างจากการเรียนท่านก็ได้มีโอกาสเดินสำรวจถ้ำ ท่านเล่าว่าเมื่อเดินไปถึงมุมหนึ่งที่หลวงพ่อสดท่านนั่งอยู่ประจำนั้น ปรากฏว่าที่ผนังถ้ำนั้นมีเหมือนยางดำเหนียวๆ แปะอยู่ เมื่อกำหนดจิตดูก็ทราบในทันทีว่าเป็นเหล็กไหลชั้นหนึ่ง เนื้อของเหล็กไหลนี้มองดูเผินๆ จะเห็นเป็นสีดำแต่แท้จริงแล้วเป็นสีเขียวเข้มปีกแมลงทับ เหล็กไหลองค์นี้เป็นเหล็กไหลที่ยังเป็นอยู่ ยังไม่ตาย (ถ้าตายแล้วเขาจะแข็งตัว) หลวงพี่ก็เคยคิดไว้ในใจว่าเมื่อถึงวันกลับออกไปจะมาแงะเอาเหล็กไหลองค์นี้กลับไปด้วย
ธรรมสภาแห่งนี้เราจะอยู่นานไม่ได้ เพราะไม่สะดวกที่จะหาอาหารและขับถ่ายในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ ผู้ที่จะอยู่ได้คือผู้ที่สำเร็จแล้ว ไม่ต้องกิน ไม่ต้องถ่ายของเสีย ไม่ต้องนอน หมดกิเลสแล้ว นึกจะไปนึกจะมาก็ทำได้เพียงแค่ลัดนิ้วมือ ใครทำได้ก็ไปอยู่ได้ พอถึงวันกลับหลวงพี่จึงได้เดินไปที่เหล็กไหลองค์นั้น พอท่านเอื้มมือเข้าไปเพื่อจะเด็ดเหล็กไหลก็ได้ยินเสียงดังเตือนเข้ามา “อย่าเอามือแตะเหล็กไหลนะ อันตรายมาก เอามือออกมาเดี๋ยวนี้” เสียงที่เตือนเข้ามายืนอยู่ที่ด้านหลังท่านก็คือหลวงพ่อสดวัดปากน้ำนั่นเอง ไม่รู้ว่าท่านมายืนตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วหลวงพ่อสดท่านก็ถามว่า “อยากได้จริงๆ หรือ” พูดจบท่านก็เอามือไปปลิดเหล็กไหลองค์นั้นออกมาได้จำนวนหนึ่ง แล้วก็ถามว่ามีอะไรเตรียมมาใส่หรือเปล่า หลวงพี่จึงนำตลับออกมาจากย่ามส่งไปให้หลวงพ่อสดเพื่อใส่เหล็กไหลองค์นั้นลงไป แล้วหลวงพ่อสดก็สั่งว่า “เอาไปให้ครูของเธอด้วยนะ” ท่านหมายถึงว่าให้เอาไปแบ่งให้หลวงป๋าได้ใช้ด้วยนั่นเอง (เหล็กไหลองค์นี้ต่อมาจึงทราบว่าท่านชื่อหลวงปู่สิงห์พระฤๅษีอภิญญาแห่งธรรมสภา ตามที่ท่านมาบอกผมในนิมิต)
เรื่องนี้ผมทราบมานานนับ 10 ปีแล้วแต่เพิ่งนำมาเล่าให้ฟังกัน เพื่อจะได้เป็นกำลังใจให้แก่เพื่อนๆ ที่ได้อ่านให้ได้พากันสร้างบุญบารมีกันยิ่งๆ ขึ้นไป อย่าท้อแท้กับการสร้างบุญบารมี เพราะในโลกใบนี้ไม่มีใครสร้างบุญบารมีโดยที่ไม่มีอุปสรรค เราทุกคนเกิดมาไม่นานก็ต้องตาย ก่อนตายขอให้รีบสร้างบุญบารมีกันนะครับ ผมยังไม่ได้ขออนุญาตหลวงพี่ เพราะถ้าผมขออนุญาตท่านก็คงไม่อนุญาตอยู่แล้วครับ...

ทำบุญแล้วเมื่อไหร่บุญจะส่งผลเสียที


ทำบุญแล้วเมื่อไหร่บุญจะส่งผลเสียที โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 30 พ.ย. 2559
ผม (อู๋) ต้องเขียนเรื่องนี้เพื่อให้คนเข้าใจกันเสียที เพราะถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องผลกรรมเราจะไม่มีความสุขกับการทำบุญเลย คนเราอยากจะพบความสุขสมหวังในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น ผมยังไม่เคยเห็นว่าจะมีใครอยากมีความทุกข์ความผิดหวังตลอดชีวิตเลย
ผมจำเป็นต้องพูดความจริงให้พวกเราทราบไว้ มันอาจไม่ถูกใจเราแต่มันเป็นความจริงที่เราต้องยอมรับ การทำบุญในชาตินี้ผลบุญมันจะไปส่งในชาติหน้าครับ คำว่าชาติหน้าก็คือชาติต่อไปของเราเมื่อเราจากโลกนี้ไปแล้ว ตอนนี้เราเป็นมนุษย์ เราได้ทำบุญทำกรรมอะไรไว้บ้าง มากบ้างน้อยบ้าง เล็กบ้างใหญ่บ้าง เมื่อถึงตอนเราตายมันจะบวกลบคูณหารสรุปยอดบัญชีกันทีเดียว ผลบุญมากก็ไปรับบุญในสวรรค์หรือกลับมาเกิดเป็นคนอีก บาปมากก็ไปนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน คำว่าชาติหน้าไม่ได้หมายถึงต้องมาเกิดเป็นคนอีกครั้ง แต่คือชาติต่อไปของเราเอง ชัดเจนไหมครับ
สวรรค์จึงเป็นที่สำหรับใช้บุญ ส่วนนรกคือที่สำหรับชดใช้บาป เมื่อได้ชดใช้กันไปเป็นส่วนใหญ่แล้วจึงอาจกลับมาเกิดเป็นคนอีกครั้งแล้วก็ยังมีเศษกรรมที่เหลือติดตามตัวมา (กรรมมีทั้งบุญทั้งบาป) แต่เนื่องจากเรื่องกรรมมันเป็นเรื่องซับซ้อนเพราะเราไม่ได้เพิ่งเกิดกันมาเพียงชาติ 2 ชาติ แต่เกิดกันมาเป็นล้านๆๆๆ ชาติ ทั้งบุญทั้งบาปมันมีมากมายละเอียดยิบรอเวลาส่งผล แล้วการส่งผลในแต่ละช่วงเวลาก็ยังมาจากผลกรรมที่ซ้อนๆ กันอยู่ ทั้งดีทั้งร้ายให้ผลด้วยกันทั้งหมด
ดังนั้น ได้โปรดเลิกรอผลบุญที่ทำในชาตินี้ว่าจะให้ผลตอบแทนแบบทันทีทันใดได้เลย มันไม่ได้รวดเร็วเหมือนกินบะหมี่สำเร็จรูป ยกเว้นแต่คุณไปได้ทำบุญกับพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติเท่านั้น บุญจึงจะส่งผลทันทีภายใน 7 วัน เพราะได้ไปทำบุญกับหน่วยพลังงานที่มีคุณมหาศาลอเนกอนันต์ แต่คนที่เขาจะมีโอกาสอย่างนั้นได้ก็เพราะว่าเขาเคยทำบุญเนื่องกันมา เคยอุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์พระองค์นั้นมาก่อน คนอื่นที่ไม่เคยเนื่องกันมาก็อย่าได้คาดหวังที่จะมีโอกาสแบบนั้น สรุปว่ามันก็คือผลบุญที่เราเคยทำกันมาให้ผลนั่นเอง
ช่วงที่ผ่านมา 1-2 ปีมานี้ ผมได้ยินคนรอบข้างบ่นให้ฟังเรื่อยๆ ว่าเศรษฐกิจมันแย่เอามากๆ เมื่อก่อนเคยจับเงินหมื่นเงินแสน แต่เดี๋ยวนี้ได้แต่จับเงินหลักร้อย ทำไมเป็นอย่างนั้น บุญก็พยายามทำมาโดยตลอดไม่เคยเว้น ก็บอกแล้วไงว่าบุญของชาตินี้ก็ไปรับเอาในชาติหน้า อยากได้รับบุญเร็วๆ ก็ต้องรีบตายซิครับ
ความทุกข์ของคนแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน บางคนใช้ชีวิตไม่หรูหราฟุ่มเฟือยพอมีพอใช้เขาก็มีความสุข บางคนมีรถมีบ้านขับรถเก๋งติดแอร์แต่บ่นว่าไม่มีความสุขเลยในชีวิต ผมเจอคนมามากโดยเฉพาะคนที่มีฐานะดีพวกเจ้าของโรงงาน เจ้าของบริษัท มีเงินนับร้อยล้านพันล้าน แต่เขาเหล่านั้นก็มีหน้าตาเคร่งเครียดบ่นว่าชีวิตไม่มีความสุขเลย การทำงานในระดับสูงกำไรมากก็ต้องยอมรับกับความเสี่ยงมาก การตัดสินใจผิดพลาดไปเพียงครั้งเดียวอาจส่งผลถึงความหายนะของบริษัทนั้นเลยก็ได้ แต่พวกลูกน้องในบริษัทที่ได้รับเงินเดือนไม่มากเขาก็ไม่ต้องรับผิดชอบมาก ตัดสินใจถูกบ้างผิดบ้างก็ไม่ทำให้บริษัทเสียหายมาก ผมอธิบายมาพอให้เข้าใจนะครับว่าความทุกข์มันเกิดกับทุกคน
โลกเราหมุนเดินไปตลอดเวลาไม่เคยหยุด พระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็ตก สว่างแล้วก็มืด เวลาก็เดินไปเรื่อยๆ คนเราก็โตขึ้นแก่ตัวแล้วก็ตายไป เขาเรียกการเดินไปเรื่อยๆ หมุนรอบตัวเปลี่ยนแปลงนี้ว่าวัฏจักร ในเมื่อโลกยังหมุนไปมีมืดมีสว่าง ดังนั้นชีวิตของคนเราก็ไม่มีใครจะมีความสุขตลอดไปชั่วชีวิต มันก็ต้องหมุนตามโลกสุขบ้างทุกข์บ้าง เหมือนดวงชะตาของคนเราในแต่ละราศีก็ต้องเจอปีชงบ้างไม่ชงบ้างสลับกันไปทุกปี เช่นเดียวกับพลังงานไฟฟ้าจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมี + มี - ไซเคิลวิ่งขึ้นในแดน + แล้ววิ่งตกลงไปในแดน - จึงก่อเกิดกระแสไฟฟ้า ถ้ามันไม่วิ่งขึ้นวิ่งลงไฟฟ้าก็ดับไป ช่วยหาคนมาเป็นตัวอย่างซักคนซิครับว่าเขามีแต่ความสุขตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย หามาได้บอกผมด้วยนะครับ ผมจะได้ไม่ต้องพยายามปฏิบัติธรรมหนีทุกข์เหมือนทุกวันนี้
อย่าท้อแท้ในการทำบุญ เพราะเราหมั่นทำบุญกันแค่ไม่เกิน 100 ปี แต่เราจะได้ไปใช้บุญกันในชาติหน้าบนสวรรค์กันอีกนับร้อยๆ ปีมนุษย์ (400-500 ปี) ยิ่งพวกเราปฏิบัติธรรมกันจนติดเป็นนิสัย เมื่อไปเป็นเทวดาก็ยังไปปฏิบัติธรรมกันต่อบนสวรรค์ เราอาจไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์กันอีกแล้วก็ได้ ไปบรรลุธรรมเข้านิพพานกันบนนั้นเลย...ถ้าไม่มัวแต่ไปหลงเพลิดเพลินมัวเมาแต่กับกามสุขบนสวรรค์ก็แล้วกัน
หมายเหตุ ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมาตามคำขอของน้องคนหนึ่ง ที่กำลังเพลียกับชีวิต

กรรมคืออะไร


กรรมคืออะไร โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 1 ธ.ค. 2559
กรรมคือผลของการกระทำที่เราไปทำให้เกิด "ผลกระทบ" กับทั้งตัวเองและคนอื่น ผลกระทบนั้นทำให้เกิดความสุข-ทุกข์ พอใจ-ไม่พอใจ (โกรธ) ดีใจ-เสียใจ รัก-เกลียด ถ้าเกิดผลกระทบมากก็จะทำให้รักมาก ชอบมาก โกรธมากไปจนถึงแค้น พยาบาท อาฆาต ฝังลึกเข้าไปในจิตส่งผลไปถึงชาตินี้และชาติต่อๆ ไป
เรื่องของกรรมและเจ้ากรรมนายเวรมันเกี่ยวข้องกันอย่างมาก เจ้ากรรมนายเวรก็คือผู้ที่ได้รับผลกระทบอันเกิดจากเรานั่นเอง อย่างเช่นมือปืนรับงานให้ไปฆ่าเจ้าของร้านขายของที่เป็นคู่แข่ง มือปืนก็ไปฆ่าเจ้าของร้านจนตาย เจ้าของร้านก่อนตายจดจำใบหน้าของมือปืนได้ ตายไปก็อาฆาตเคียดแค้นมือปืน...อ้าว แทนที่คนตายจะไปแค้นคนสั่งฆ่าดันไปแค้นมือปืน คอยติดตามเอาคืนกับมือปืนทั้งชาตินี้และชาติหน้า เป็นเจ้ากรรมนายเวรของมือปืน
เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนี้ ก็เพราะคนตายไม่รู้ว่าใครสั่งฆ่าเลยไม่คิดจะไปทำร้าย แต่คนตายโดนมือปืนยิงตายและจดจำได้ดีว่าเขาตายและต้องพลัดพรากจากลูกเมียก็เพราะมือปืน เขาเลยไม่อาฆาตคนสั่งฆ่าแต่ไปอาฆาตมือปืน แต่ทั้งคนสั่งฆ่าและมือปืนเองก็มีกรรมติดตัวที่จะต้องชดใช้จากการกระทำนั้นทั้ง 2 คน เพียงแต่มือปืนต้องชดใช้กรรมแล้วก็มีเจ้ากรรมนายเวรติดตามด้วย
นี่เองจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมทหารที่ออกรบจึงมีกรรมมากแถมมีเจ้ากรรมนายเวรอีก เวลามาเจอกันก็ทำให้รู้สึกโกรธแค้นไม่ชอบขี้หน้า แต่ถ้าวิญญาณของเจ้ากรรมนายเวรเขายังไม่ไปเกิดมาเจอกัน เขาก็จำได้ทันทีว่าคนนี้เป็นคนฆ่าเขา เขาจึงติดตามคอยเอาคืนเมื่อมีโอกาส ทหารที่ตายในสนามรบเขาไม่ได้รู้สึกโกรธอาฆาตต่อแม่ทัพของศัตรูเพราะตอนตายแม่ทัพไม่ได้อยู่ด้วยเพียงแต่เป็นคนสั่งให้รบเท่านั้น
หรืออย่างเวลาที่คุณนายเจ้าของบ้าน สั่งให้คนใช้ไปจ่ายกับข้าวแล้วมาปรุงเป็นอาหารคาวหวานเพื่อใส่บาตร คุณนายตื่นไม่ทันเพราะไปงานเลี้ยงสังสรรค์จนดึกดื่น เลยให้คนใช้ทำการใส่บาตรแทน คนใช้ก็ทำอาหารใส่บาตรทุกวันด้วยความเต็มใจเพราะทำตามคำสั่งตามหน้าที่และชอบใจที่จะได้ใส่บาตร สรุปคนใช้ได้บุญมากกว่าคุณนายเสียอีก เวลาไปสวรรค์คุณนายไปเจอคนใช้อยู่วิมานที่ใหญ่กว่าสวยกว่า คุณนายก็เลยไม่เข้าใจเพราะเป็นคนสั่งให้ใส่บาตรแถมยังเป็นคนออกเงินด้วย แต่คุณนายลืมคิดไปว่าคนใช้เป็นคนออกแรงกายแรงใจไปจ่ายกับข้าว ตื่นแต่เช้ามาทำอาหาร ยืนรอพระเพื่อใส่บาตร รับพรจากพระ กรวดน้ำ .....
แล้วทำกรรมกับตัวเองก็เป็นกรรมด้วยหรือ ใช่ครับ เราทำอะไรกับตัวเราเองก็เกิดผลกระทบกับตัวเราเอง เช่นเราฆ่าตัวตายก็เป็นบาปในการฆ่าสัตว์ การกินเหล้าเสพยาเสพติดก็ทำให้ร่างกายขาดสติทำให้กายละเอียดมัวหมองก็เป็นบาป หรือการถือศีลปฏิบัติธรรมก็เกิดผลกระทบทำให้เรามีสติกายละเอียดสว่างผ่องใสเกิดเป็นบุญ
ประเด็นสำคัญของกรรมจึงเป็นเรื่องของ "ผลกระทบ" ที่คนหนึ่งทำไว้กับอีกคนหนึ่งหรือทำกับตัวเราเอง แล้วคนนั้นได้รับผลกระทบเกิดความพอใจ-ไม่พอใจขึ้นมานั่นเอง
แต่เรื่องของกรรมมันก็ยังมีเงื่อนไขอื่นๆ อีก กรรมเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เช่น กรรมที่ไปทำกับคนไม่เท่ากับทำกับสัตว์ สัตว์เล็กไม่เท่ากับสัตว์ใหญ่ คนธรรมดากับพระ พระธรรมดากับพระโพธิสัตว์-พระพุทธเจ้า ฯลฯ ขึ้นอยู่กับผลกระทบนั้นมันไปกระทบกับผู้มีคุณธรรมบุญบารมีติดตัวมาแค่ไหน ถ้าไปเผลอทำกรรมเข้ากับ "โรงไฟฟ้านิวเคลียร์" ก็ซวยละครับ ขอพูดเตือนฝากไปถึงผู้ที่กำลังทำกรรมไม่ดีเอาไว้ โดยเฉพาะกับท่านพระโพธิสัตว์ครับ

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ทำบุญสร้างพระมหาเจดีย์วัดหลวงพ่อสดแล้วเทวดาไม่ยอมให้นอน


ทำบุญสร้างพระมหาเจดีย์วัดหลวงพ่อสดแล้วเทวดาไม่ยอมให้นอน โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 24 พ.ย. 2559
ผม (อู๋) ขอเล่าเรื่องผลบุญของการสร้างพระมหาเจดีย์ให้ฟังกันนะครับ เมื่อวานนี้ (27 ม.ค. 2556) เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งชื่อคุณไก่โทรศัพท์มาเล่าให้ผมฟังด้วยเสียงตื่นเต้นมาก เพราะหลังจากที่คุณไก่ได้มาทำบุญสร้างพระมหาเจดีย์ที่วัดหลวงพ่อสด อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี จำนวน 250,000 บาท หลวงป๋าท่านจึงได้มอบทองเทวดารูปเรือแจวขนาดยาวประมาณ 3.5 นิ้ว ซึ่งเทวดาท่านนำมาถวายหลวงป๋า (โดยการใส่ลงในบาตร) ไป 1 ลำ เพื่อเป็นของที่ระลึกในการทำบุญครั้งนี้ เมื่อคุณไก่กลับไปถึงบ้านก็ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลานอนแต่นอนไม่หลับเลย เพราะหูได้ยินแต่เสียงคนพูดคุยกันหลายคนเสียงอื้ออึงอยู่ภายในห้องนอน คุณไก่จึงกำหนดจิตตรวจดูก็รู้ว่าเทวดามากันมากมายพูดคุยกันเสียงดังจนเธอนอนไม่หลับ มีทั้งพวกรุกขเทวดา เทวดาเจ้าที่ และเทวดาผู้รักษาพระบรมสารีริกธาตุ ฯลฯ
เธอจึงถามไปว่า “มาคุยอะไรกันเสียงดังทำให้นอนไม่หลับเลย (ปกติเพื่อนคนนี้เขาก็คุยกับเทวดาได้อยู่แล้ว)” เทวดาก็ตอบกลับมาว่า “ก็เพราะท่านไปทำบุญใหญ่มา ท่านได้บุญมากแต่ยังไม่ได้แผ่ส่วนบุญให้พวกผมเลยนี่ครับ” คุณไก่ได้ฟังดังนั้นก็เข้าใจได้ทันทีว่าพวกเทวดาเขามาร้องขอแบ่งบุญนั่นเอง...อิ อิ คุณไก่จึงต้องกำหนดจิตแผ่ส่วนบุญกุศลไปให้แก่เหล่าเทวดา สิ่งที่ปรากฏต่อมาคือเห็นพวกเทวดาเหล่านั้นเปลี่ยนภพภูมิสูงขึ้นทันที บ้างก็ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ บ้างก็มีรัศมีสว่างไสวเพิ่มขึ้นจากเดิมอย่างมาก เธอจึงมาคิดว่าตั้งแต่ไปทำบุญมาก็มากมายหลายที่ ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เทวดามารุมตื๊อเรียกร้องขอให้แผ่ส่วนบุญเหมือนกับครั้งนี้ และเมื่อแผ่ส่วนบุญไปให้ก็เกิดผลดีแก่เทวดามากมายจริงๆ เธอจึงรีบโทรมาเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังพร้อมกับแนะนำผมว่า "พี่อู๋ต้องทำบุญสร้างพระมหาเจดีย์ให้มากๆ นะครับ เพราะเป็นบุญใหญ่จริง ที่วัดนี้เป็นของจริงครับพี่"
......โธ่ ผมรู้มาตั้งนานแล้วคร้าบบบ/
สร้างพระมหาเจดีย์และวิหารพระปฐม
บริจาคได้โดยตรงที่ ประชาสัมพันธ์วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี 70130 หรือบริจาคโดยการโอนเงินผ่านธนาคาร
บมจ. ธนาคารกรุงเทพ สาขาดำเนินสะดวก บัญชีสะสมทรัพย์ เลขที่ 422–0–25469–4
ชื่อบัญชี “วัดหลวงพ่อสดฯ เพื่อการก่อสร้างพระมหาเจดีย์สมเด็จฯ”
บมจ. ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาดำเนินสะดวก บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 540–2–18485–8
ชื่อบัญชี “วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม เพื่อสร้างพระมหาเจดีย์สมเด็จฯ”
ธนาคารกรุงไทย สาขาดำเนินสะดวก บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 707–0–12333–7
ชื่อบัญชี “วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม เพื่อการก่อสร้างพระมหาเจดีย์สมเด็จฯ”
ธนาคารกสิกรไทย สาขาดำเนินสะดวก บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 534-2-02908-8
ชื่อบัญชี “วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม เพื่อการก่อสร้างพระมหาเจดีย์สมเด็จฯ”

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

พระโลหิตธาตุ



พระโลหิตธาตุ โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 22 พ.ย. 2559
เมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้วยังไม่เคยมีใครพูดถึงพระโลหิตธาตุกันมาก่อนเลย ผมไปกราบพระธาตุมาหลายแห่งหลายที่ก็ยังไม่เคยเห็นมีใครมีพระโลหิตธาตุ อาจพูดได้ว่าไม่มีใครคิดว่าจะมีพระโลหิตธาตุของพระพุทธเจ้าอยู่ในโลกนี้ก็ว่าได้
แต่แล้วคืนหนึ่งผมได้มีนิมิตฝันที่แปลกประหลาดมาก เพราะในฝันนั้นผม (อู๋) ได้ไปยืนอยู่ตรงที่ไหนไม่ทราบ บริเวณรอบตัวกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เป็นที่โล่งๆ ที่ๆ ผมยืนอยู่คล้ายๆ กับพื้นดินแต่มองไม่ชัดเนื่องจากบรรยากาศโดยรอบนั้นมันขมุกขมัว มันเหมือนผมไปยืนอยู่ในอีกมิติหนึ่งที่ไม่ใช่ในโลกของเรานี้ เพราะบรรยากาศแบบนี้มันไม่มีในโลก
แล้วอยู่ๆ ก็ปรากฏเหมือนมีฝนตกลงมาจากฟ้า มองเห็นเป็นลูกๆ พุ่งตกลงมาเสียงดังตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ ที่พื้นดินอย่างรวดเร็ว จะว่าเป็นเม็ดฝนก็ไม่น่าจะใช่เพราะมันหล่นลงมาเป็นลูกๆ ผมสงสัยว่าอะไรหล่นลงมาจึงเดินและก้มลงเข้าไปดูใกล้ๆ ลูกที่หล่นลงมาดูเหมือนเป็นก้อนเนื้อสีแดงฉ่ำ เมื่อเอามือไปแตะดูก็รู้สึกนิ่มๆ ลักษณะก้อนนี้เป็น 4 เหลี่ยมคล้ายๆ ลูกเต๋ากว้างประมาณ 1 คืบ ในใจผมคิดว่า "เอ๊ะ...นี่มันลูกอะไรกัน เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น จะว่าเป็นก้อนเนื้อก็น่าจะใช่ แถมมีน้ำเหมือนเลือดอยู่ที่ผิวก้อนนี้อยู่ด้วย" ในฝันนั้นผมไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร เป็นแต่แปลกใจว่าทำไมก้อนเนื้อเหล่านี้จึงตกลงมาจากฟ้า หล่นลงมากระจายเต็มพื้นที่ผมยืนอยู่ไปหมดสุดลูกหูลูกตา แล้วผมก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเป็นช่วงเช้าตรู่ของวันอาทิตย์
วันนั้นผมก็เดินทางไปทำบุญที่วัดหลวงพ่อสดเป็นปกติ ทุกเช้าวันอาทิตย์ผมจะต้องเข้าไปกราบหาหลวงป๋าท่านก่อนทุกครั้งที่เดินทางไปถึงวัด วันนั้นหลวงป๋าท่านได้นำของอย่างหนึ่งมาให้ผมดู ท่านบอกว่า "นี่คือพระโลหิตธาตุของพระพุทธเจ้า ท่านเสด็จมาเองนะ เป็นของแท้แน่นอน" ท่านพูดเสร็จก็เอามือเปิดผอบพระธาตุให้ผมดู ผมมองดูพระโลหิตธาตุองค์เล็กๆ สีทับทิมอ่อนด้วยความตื่นตาตื่นใจเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วผมก็นึกถึงนิมิตความฝันเมื่อเช้านี้เองจึงบอกหลวงป๋าไปว่า "หลวงป๋าครับ นี่เป็นพระโลหิตธาตุของแท้แน่นอน เพราะผมก็เพิ่งมีนิมิตฝันถึงเมื่อเช้าวันนี้เอง ผมเห็นพระโลหิตธาตุสีแบบนี้แหละตกลงมาจากฟ้าเต็มพื้นไปหมด เป็นนิมิตที่ชัดเจนเหมือนตาเห็นเลยครับ"
หลวงป๋าท่านเห็นว่าผมมีนิมิตมาแบบนี้ ท่านเลยแบ่งพระโลหิตธาตุมาให้ผม 8 องค์เพื่อเอาไว้บูชา ผมรับพระโลหิตธาตุมาด้วยความดีใจและตื้นตันใจเพราะไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะได้พระบรมสารีริกธาตุของแท้ที่หาได้ยากอย่างนี้มาก่อน เมื่อกลับมาถึงบ้านเปิดออกดู อ้าวพระโลหิตธาตุท่านเสด็จมาเพิ่มกลายเป็น 9 องค์อย่างอัศจรรย์ไม่น่าเชื่อ.....
ต่อมาผมได้แบ่งพระโลหิตธาตุ 3 องค์ถวายแก่หลวงปู่ศรี มหาวีโร ผู้สร้างพระธาตุเจดีย์ผาน้ำย้อยจ.ร้อยเอ็ดซึ่งนับว่าเป็นเจดีย์ที่สวยที่สุดในประเทศไทย เพื่อขอให้หลวงปู่นำไปบรรจุในพระมหาเจดีย์ของท่านเอาบุญกุศลติดตัว เท่ากับผมน่าจะเหลือพระโลหิตธาตุอีกเพียง 6 องค์ แต่มาวันนี้ผมได้ไปเปิดดูปรากฏว่ากลับมีพระโลหิตธาตุเสด็จเพิ่มขึ้นมาเองอีก 1 องค์กลายเป็น 7 องค์ แถมพระโลหิตธาตุของเดิม 5 องค์นั้นก็ได้ขยายขนาดใหญ่ขึ้นอีก 2-3 เท่าจากของเดิม (เดิมมีสีและขนาดพอๆ กับองค์กลางในรูปเท่านั้น) สีของท่านก็เป็นสีแดงเข้มขึ้น จากเดิมสีแดงทับทิมอ่อนอมม่วงกลายเป็นสีแดงเข้ม....ท่านเติบโตขึ้นและเข้มข้นขึ้น สะท้อนการสร้างบารมีและเป็นกำลังใจให้ผมได้เป็นอย่างดี พระโลหิตธาตุทั้งหมดนี้ผมจะนำบรรจุลงในองค์พระปฐมบรมศาสดาที่กำลังจะแล้วเสร็จเพื่อสืบต่ออายุพระศาสนาต่อไป

มาทำบุญกับหลวงป๋าที่วัดหลวงพ่อสด เหมือนได้นั่งเครื่องบิน


มาทำบุญกับหลวงป๋าที่วัดหลวงพ่อสด เหมือนได้นั่งเครื่องบิน โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 23 พ.ย. 2559
ผม (อู๋) เป็นคนหนึ่งที่มีความฝันที่แม่นยำซึ่งเป็นสมบัติติดตัวมาตั้งแต่เกิด อะไรจะเกิดกับตัวผมไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายก็จะรู้ล่วงหน้าโดยผ่านการฝัน แล้วก็มักจะทราบล่วงหน้าเพียงวันเดียว คือฝันคืนนี้ก็คือเรื่องที่จะเกิดในวันรุ่งขึ้นเลย ถ้าเป็นความฝันที่ดีเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะรู้สึกดีใจโล่งใจว่างานการที่หวังไว้จะสำเร็จ แต่ถ้าฝันไม่ดีก็แย่หน่อยแทบจะไม่อยากเดินทางออกจากบ้านในวันนั้นเลย บางครั้งการไม่รู้ล่วงหน้าก็ดีเหมือนกัน
ฝันเรื่องอะไรก็ไม่ดีเท่ากับฝันว่าเราเหาะได้ เหาะด้วยตัวของเราเอง เหาะขึ้นไปเหนือท้องฟ้ายิ่งเหาะไปได้สูงเท่าไหร่ก็ยิ่งดี นั่นหมายความว่าสิ่งที่คุณต้องการจะสำเร็จตามใจปรารถนา หรือมีความหมายอีกอย่างหนึ่งว่าคุณจะได้บรรลุธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง (การบรรลุธรรมมีหลายระดับ) ฝันดีที่รองลงมาก็คือการฝันว่าเราขับรถไปไหนต่อไหนด้วยรถยนต์ โดยสารรถเมล์ รถไฟ รถทัวร์ ขี่ม้า ขี่ช้าง ฯลฯ ก็ดีทั้งนั้น แต่ฝันว่าได้เดินทางโดยเครื่องบินนี่ดีที่สุดครับ ตำราทำนายฝันในสมัยโบราณเขาไม่ได้พูดถึงเครื่องบินไว้เพราะสมัยนั้นคงไม่มีเครื่องบินให้ใช้ แล้วก็คงจะมีน้อยคนนักที่จะฝันได้แบบนี้
คืนหนึ่งนานนับ 10 ปีมาแล้ว ผมได้ฝันว่าได้โดยสารไปในเครื่องบินไอพ่นลำหนึ่ง เครื่องบินนั้นลำใหญ่มาก เครื่องบินลำนี้ได้ทะยานบินขึ้นไปสู่ท้องฟ้ามองเห็นบรรยากาศภายนอกท้องฟ้าโปร่งสว่างไสว มีเมฆด้านนอกเพียงเล็กน้อย ภายในเครื่องบินมีผู้โดยสารนั่งอยู่เต็มลำ ต่างก็นั่งโดยสารกันไปอย่างมีความสุขหน้าตายิ้มแย้ม เป็นส่วนของชั้นโดยสาร VIP นั่งเก้าอี้กันอย่างสบายไม่อึดอัด ผมหันไปมองรอบๆ ตัวแต่ละท่านที่นั่งอยู่รอบๆ ผมนั้นต่างก็เป็นคนที่ผมรู้จักทั้งนั้น ทุกคนที่ผมเห็นก็คือคนที่มาทำบุญกันบ่อยๆ ที่วัดหลวงพ่อสด จ.ราชบุรีทั้งนั้นเลย คุณป้า คุณพี่ คุณน้อง มองไปผมก็รู้จักทั้งนั้น บางคนก็สนิทบางคนก็เพียงแต่เห็นหน้ากันบ่อยๆ ที่วัด
ที่ด้านหน้าของเครื่องบินผมเห็นหลวงป๋าท่านนั่งอยู่แล้วท่านก็หันหน้ามายิ้มให้ผมและคนอื่นๆ อ้าว...หลวงป๋าท่านเป็นหัวหน้าทัวร์บนเครื่องบินลำนี้นี่เอง เป็นหลวงป๋าเองที่พาพวกเราทุกคนโดยสารเครื่องบินไอพ่นลำนี้ทะยานขึ้นไปสู่ท้องฟ้า ใครได้ไปกับท่านก็ไปอย่างสุขสบายสมศักดิ์ศรีเฟิร์สคลาส แล้วผมก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาในตอนเช้าตรู่ โอ้วช่างเป็นฝันที่ดีอะไรอย่างนี้ เทวดาท่านคงมานิมิตบอกผมว่าหากใครได้มาทำบุญกับหลวงป๋าแล้วจะได้อานิสงส์มหาศาลเป็นแน่ ซึ่งผมก็ไม่มีความสงสัยในผลบุญที่ได้ร่วมทำบุญกับหลวงป๋าเลย เพราะผมทราบมานานแล้วว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์พระองค์หนึ่ง การที่เราได้ทำบุญกับเนื้อนาบุญเช่นหลวงป๋าย่อมได้อานิสงส์มากมายมหาศาล เพราะท่านเป็นเสมือนที่นาที่มีดินอันอุดมสมบูรณ์ น้ำท่าบริบูรณ์ ต้นไม้พันธุ์ดี ปลูกอะไรลงไปก็เติบโตสมบูรณ์ให้ดอกให้ผลเต็มที่ ผมไม่ได้พูดเอาเองแต่ผมได้ฝันแบบนี้จริงๆ ครับ

วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ความเกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่ศุข


§ ความเกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่ศุข § โดย ฅนขลัง คลังวิชา
..บรมครูหลวงปู่เดินหน อิเกสาโร..
❀❀❀❀❀❀❀❀
ตอนที่ ๓
............
¤ กราบลาพระอาจารย์ ¤
หลวงปู่ศุขศึกษาอยู่กับอาจารย์นานพอควร วันหนึ่งหลวงปู่อิเกสาโรบอกกับท่านว่า อันสรรพวิชาที่ได้เรียนรู้ไปก็พอควรแล้ว ท่านจึงมอบตำราให้หลวงปู่ศุขไว้เพื่อนำไปศึกษาต่อ แล้วสั่งให้หลวงปู่ศุขกลับคืนสู่สังคมสามัญอีกครั้ง ด้วยว่าวาสนาบารมีในการได้พบกันมีเพียงเท่านี้ ทราบว่าศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกันมี หลวงพ่อเงิน พุทฺธโชติ วัดหิรัญญาราม (วัดบางคลาน) ท่านนี้เป็นศิษย์พี่ ส่วนศิษย์น้อง คือ หลวงพ่อเดิม พุทธสโร วัดหนองโพธิ์ สามรูปนี้ล้วนเป็นศิษย์ หลวงปู่อิเกสาโร เห็นได้ว่าหลวงปู่ศุขเคยแนะนำให้เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ไปขอต่อวิชาจากหลวงพ่อเงิน และยังบอกว่าหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์กับท่าน ภายหลังเสด็จในกรมฯ ยังเคยเดินทางไปกราบหลวงพ่อเดิม และได้ต่อวิชากับหลวงพ่อเดิมมาวิชาเดียว คือ วิชากำบังพล ซึ่งโอกาสหน้าจะนำเรื่องของคาถากำบังพลนี้มาลงให้ทราบกัน
............
❀❀❀❀❀❀❀❀
............
¤ เรื่องเล่าของตำราน่าอัศจรรย์ ¤
เกี่ยวกับตำราของหลวงปู่ศุขที่ได้รับมอบจากอาจารย์นี้ มีเรื่องเล่าน่าอัศจรรย์จากคำบอกเล่าของ พระใบฏีกาบุญยัง วัดหนองน้อย ศิษย์มือซ้ายของหลวงปู่ศุข ได้เล่าเกี่ยวกับตำราและแรงครูในสายวิชาวัดมะขามเฒ่า ให้หลวงพ่อมหาโพธิ์ วัดคลองมอญ ได้จดจำไว้จากคำบอกเล่าว่า หลวงปู่ศุขมีตำราเล่มครูอยู่เล่มหนึ่ง ตำรานี้ท่านเล่าว่าได้จากพระอาจารย์ของท่าน น่าแปลกที่ตำรานี้เมื่อเปิดดูเห็นมีหน้ากระดาษเปล่าอยู่มาก ตำรานี้หลวงปู่ศุขศึกษามาเรื่อยยังเรียนรู้ไม่จบตำรา เมื่อใดท่านเรียนวิชาในหน้ากระดาษจบในแต่ละบทแล้ว เมื่อถึงหน้ากระดาษเปล่าที่ไม่มีตัวอักษรเมื่อใด เมื่อนั้นท่านจะเข้าไปในโบสถ์เพื่อทำการเชิญครู ซึ่งครูเจ้าของตำราเล่มนี้เป็นพระผู้ทรงฤทธิ์มาก โดยหลวงปู่ศุขจะนำตำรามากางหน้ากระดาษเปล่าไว้ แล้วจัดอาสนะเปล่า (ที่นั่ง) ไว้ ส่วนตัวท่านจะนั่งสมาธิเชิญครูมา
--
ครู่หนึ่งจะเห็นมีสายรุ้งทะลุผ่านประตูโบสถ์เข้ามายังอาสนะเปล่า อึดใจต่อมาเห็นมีพระผู้เฒ่าเดินมาตามสายรุ้งมา แล้วนั่งลงที่อาสนะที่จัดรออยู่ เมื่อนั่งลงแล้วท่านจะใช้ฝ่ามือตบลงที่หน้ากระดาษเปล่าสามที ก็ปรากฏคาถาอาคมทั้งอักขระเลขยันต์เกิดขึ้นเต็มหน้ากระดาษ แล้วพระผู้เฒ่าก็หันกลับเดินไปตามสายรุ้ง หายวับออกจากโบสถ์ไป เรื่องนี้พระใบฏีกาบุญยังท่านยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงที่ แต่ไม่มีผู้ใดยืนยันได้ว่าตำรานี้ หรือพระผู้เฒ่าผู้มากับสายรุ้งนี้เป็นหลวงปู่อิเกสาโรหรือไม่ ? เพราะหลวงปู่ศุขท่านไม่ได้บอกแก่ใคร ว่าตำราดังกล่าวท่านได้มาจากไหน ? ข้าพเจ้าเห็นเป็นเรื่องแปลกจึงรวบรวมมาเสนอ เพียงให้ศึกษาเท่านั้น ส่วนตำราจะเป็นของใครหรืออาจารย์ผู้เฒ่านั้นเป็นใครไม่อาจตอบได้
............
❀❀❀❀❀❀❀❀
............
¤ ที่มาของนามว่าเดินหน ¤
ก่อนอื่นขอเล่าเรื่องที่มาของนามว่า #หลวงปู่เดินหน ให้ทราบก่อนว่า ความจริงแล้วแต่เดิมเริ่มต้น ตั้งแต่ครั้งหลวงปู่เริ่มมาโปรดศิษย์ครั้งแรกเมื่อราวปี พ.ศ. ๒๔๙๓- ๒๔๙๔ เมื่อแรกท่านบอกนามเพียงว่า #อิเกสาโร ซึ่งศิษย์ในยุคแรกจะเรียกท่านว่าหลวงปู่หรือพ่อปู่อิเกสาโร ต่อมาในราวปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เศษ ได้มีศิษย์ฅนหนึ่งชื่อนายตง เป็นฅนแล่เนื้อหมูขาย นายตงได้ติดตามอาจารย์สุวัฒน์มาที่วัดทุ่งสมอ เพราะต้องการพิสูจน์พูดง่าย ๆ ก็อยากมาลองของ เพื่อรู้ว่าหลวงปู่อิเกสาโรมีจริงไหม หรือเป็นเพียงการสร้างเรื่องหลอกลวงกัน นายตงมาถึงก็พูดจาลองดีอยากเห็นหลวงปู่มาแบบกายเนื้อ โดยไม่ต้องเข้าประทับทรงผ่านร่าง โดยท้าทายว่าหากหลวงปู่มาแบบกายเนื้อได้ ตนเองจะยอมทำทุกอย่างตามหลวงปู่ต้องการ แม้นขอชีวิตตนเองต้องตายก็ยอม ขอเพียงมาให้เห็นจริงด้วยตาเท่านั้นใช่หลับฝัน
--
¤ ปรากฏกายเนื้อให้ประจักษ์ ¤
คืนนั้นนายตงกับเพื่อนอีกราว ๒-๓ ฅน นอนพักอยู่ที่กุฏิไม้ด้านหลังกุฏิ พระอาจารย์เบี่ยง อุทโย อดีตเจ้าอาวาสวัดทุ่งสมอ คืนนั้นนายตงนอนคุยกับเพื่อนจนดึก ปากแกก็ยังพูดท้ายทายว่าอยากเห็นจริง ๆ ว่าหลวงปู่หน้าตาเป็นอย่างไร หากมาจริง ๆ แกจะยอมนับถือไปจนวันตาย ขอมอบกายถวายชีวิตให้เลย หากมาได้จริง เวลาล่วงเลยมาจนดึก นายตงเล่าว่าแกเอนหลังลงนอน หูได้ยินเสียงนาฬิกาแขวนตีบอกเวลาห้าทุ่มได้ไม่นาน ช่วงกำลังเคลิ้ม ๆ ใกล้หลับ ในห้องนอนก็ไม่ได้มืดอะไร เพราะเปิดไฟหน้าห้องไว้สว่าง แสงด้านนอกส่องเข้ามาเห็นชัดไม่มืดมัว ช่วงกำลังเคลิ้มอยู่นั้นหูได้ยินเสียงประตูดัง แกร๊ก !! หางตาเห็นพระเดินเข้ามายังคิดว่าตัวฝัน
--
ความฝันต้องมาสลายพลันตื่น เมื่อพระที่เห็นท่านเดินเข้ามาใกล้แล้ว บรรจง ถีบ!! นายตง เข้าที่สีข้าง ร่างนายตงตกลงมาจากตั่งไม้ที่นอน เสียงดังโครม !! เพื่อนที่นอนอยู่ด้วย ๒-๓ ลุกพรวดตื่นหมดทุกฅน มีนายตงที่ตื่นแล้วตาสว่างที่สุด เพาะแกได้ยาดีจากหลวงปู่ ยานี้เป็นได้ทั้งยาไทยาเทศ เป็นยาที่โบราณใช้กระตุ้นประสาทก็ได้ ระงับประสาทก็ดี เรียกว่า #ปลาห้าหัว นายตงโดนยาดีเข้าไปตื่นตาสว่างทันที เมื่อนายตงตกลงไปที่พื้นห้องพระท่านก็เดินมานั่งลงบนตั่งไม้แทนที่นายตง พระท่านพูดกับนายตงเสียงฟังชัดเจนว่า ท่านคือ #หลวงปู่อิเกสาโร ท่านมีรูปร่างสูงใหญ่มาก ท่านนั่งเหยียดขายื่นมาทางนายตงแล้วพูดว่า
--
หลวงปู่ :
** เจ้าตงมานวดปู่ทีว่ะ ไหนเอ็งอยากเจอปู่ ๆ ก็มาให้เจอแล้วไง เอาสิเอ็งนวดปู่ดูทีว่า เนื้อปู่กับเนื้อมึงเหมือนกันไหม ? จะได้รู้ว่าปู่หลอกเอ็งหรือไม่ เอาสิเอ็งนวดตามใจเลยเอาให้มั่นใจ**
--
นายตงเล่าว่าตัวเองก็นวดหลวงปู่ตามทานสั่ง นวดไปก็เอามือหยิกตัวเองบ้าง หันมาบอกให้เพื่อนหยิกตัวบ้าง เพื่อนก็ช่วยกันนวดหลวงปู่ทุกฅน นวดไปก็จับเนื้อตัวเองดู ทำสลับกันไปหันไปมองหน้ากันไปมา จนรู้สึกมั่นใจเหลือเกินแล้วว่า #ทั้งหมดไม่ได้ฝันไป เพราะหากฝันคงเป็นฝันที่แปลกประหลาดที่มีเพื่อนร่วมฝัน และเป็นฝันที่ทั้งหมดไม่ยอมตื่นไปพร้อม ๆ กัน นายตงกับเพื่อนนวดหลวงปู่อยู่ราว ๑๐ นาที ท่านก็หันมาบอกว่า
--
#ปู่จะไปละนะ #ไอ้ตงไอ้ตัวดีเอ็งอย่าลืมคำพูดนะ #จากนี้เอ็งต้องบวชให้ปู่เอาแค่บวชเท่านี้พอเอ็งอย่าลืม
--
พูดจบหลวงปู่ก็ลุกขึ้นเดินทะลุข้างฝากุฏิไม้หายวับไป ทีนี้นายตงกับพวกต่างลุกขึ้นพร้อมกันแบบไม่ได้นัดหมาย ต่างพร้อมใจกัน วิ่ง !!! หน้าตื่นไปหาอาจารย์สุวัฒน์ ที่เวลานั้นท่านพักอยู่กุฏิเดียวกับหลวงพ่อเบี่ยง นายตงทุบประตูส่งเสียงเอะอะปากแกก็พูดภาษาไทสำเนียงจีน แบบไม่ชัดคำแบบฅนจีนว่า
--
นายตง :
** อาจัง อาจัง ผะ ๆ ผะ ๆ ผง เจอผีหลวงปู่หลอก เมื่อกี้ลี้ ท่านมาหาผง ท่านถีบผงจนตกเตียง ตกลง ผงต้องบวชให้อาหลวงปู่ท่าน คัก พรุ่งนี้เลย อาจัง อาจังบวชให้ผมเลยนะ ไม่อย่างงั้นเดี๋ยวผีหลวงปู่มาหักคอผม **
--
หลวงพ่อเบี่ยงและอาจารย์สุวัฒน์เมื่อได้ฟังคำนายตงก็อดขำไม่ได้ จึงบอกไปว่า
**บวชพรุ่งนี้ไม่ทันหรอก ต้องเตรียมของและหัดสวดขานนาคก่อน สัก ๗ วันข้างหน้าค่อยบวช พรุ่งนี้นายตงไปบอกทางบ้านก่อนว่าจะบวช**
จากวันนั้นนายตงก็เล่าเรื่องหลวงปู่ท่านเดินทะลุข้างฝากุฏิให้ชาวบ้านฟัง ฅนเก่า ๆ เข้าก็ว่าแบบนี้โบราณเขาเรียก #เดินหน คือ เดินแล้วหายวับไปแบบผู้วิเศษ นายตงแกจำคำนี้ได้แม่น วันหนึ่งเมื่อหลวงปู่มาผ่านร่างอาจารย์สุวัฒน์ นายตงได้เข้ารายงายตัวว่ากำลังจะบวชถวายท่าน และได้ถือโอกาสนี้ถามท่านถึงคำว่า #เดินหน หลวงปู่ท่านจึงบอกย้อนกลับมาว่า ชาวป่าและชาวกะเหรี่ยงเขาก็มักเรียกท่านว่า #เดินหน เวลาเขาทำบุญหรือนึกถึงท่าน เขาไม่รู้นามท่าน พวกเขาก็ใช้นึกเรียกว่าท่านเดินหน, หลวงพ่อเดินหน, หลวงปู่เดินหน
--
แต่นั้นมาพวกศิษย์จึงขออนุญาตเรียก และเรียกนามท่านติดปากกันมาว่า #หลวงปู่เดินหน เมื่อนำมารวมกับนามเดิมของท่าน จึงเรียกชื่อเต็ม โดยนำคำมารวมกันเรียกนามท่านว่า #หลวงปู่เดินหน #อิเกสาโร นับแต่นั้นเป็นต้นมาตราบจนปัจจุบัน นอกจากนายตงผู้นี้แล้วไม่ปรากฏว่าหลวงปู่ไปแสดงฤทธิ์ โดยปรากฏกายเนื้อให้ศิษย์ฅนไหนพบเจอเช่นนายตงอีกเลย ถือว่านายตงผู้นี้มีโชควาสนามากที่ได้เห็น แต่นั้นมาหลังจากบวชถวายหลวงปู่แล้ว
--
ตลอดชีวิตของนายตงแกนับถือหลวงปู่เป็นอาจารย์ใหญ่มาตลอด ทุกปีในงานบุญใหญ่ประจำปี นายตงจะทำหน้าที่พ่อครัวหุงข้าวถวายพระและเลี้ยงฅนทุกปี ปัจจุบันนายตงถึงแก่กรรมไปแล้วนานปีด้วยโรคหัวใจ ทิ้งไว้แต่เรื่องราวอันนาอัศจรรย์ที่แกได้พบเห็นมาด้วยตาตนเอง ไม่ว่าวันเวลาผ่านไปกี่ปี นายตงคงยืนยันเช่นเดิมว่า #แกโดนหลวงปู่หนักมาในคืนนั้น และยืนยันว่าหลวงปู่ท่านมีตัวตนจริงแท้
............
❀❀❀❀❀❀❀❀
............
¤ สอบถามหลวงปู่ ¤
ในอดีตเคยมีศิษย์สอบถาม หลวงปู่เดินหน อิเกสาโร ถึงเรื่องหลวงปู่ศุข ผู้ถามเรื่องนี้มีหลายครั้งต่างวาระกัน เท่าที่จำได้เห็นมี คุณสมชาย กับ คุณอรุณ ลำเพ็ญ (ปรมาจารย์โหราศาสตร์ไท) ได้เคยถามหลวงปู่เดินหน อิเกสาโร ว่าท่านมีความเกี่ยวเนื่องเป็นอาจารย์ของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หรือไม่? เพราะโดยฤทธิ์ที่หลวงปู่แสดงหลาย ทั้งนามท่านก็มีความเหมือนกับอาจารย์หลวงปู่ศุข เมื่อศิษย์ถามเรื่องนี้ทุกครั้งหลวงปู่ท่านจะเงียบไม่ตอบ คือ ปกติวิสัยของพระโบราณเป็นที่ทราบกันว่า หากสิ่งใดใช่แต่หากว่าตอบไปจะเป็นการอวดตน หรือแสดงตนไปในทางที่ให้เขาคิดต่อยอดไปได้ท่านจะเงียบ
--
ส่วนอะไรที่ถามหากไม่ใช่ท่านจะปฏิเสธทันที เพื่อกันความเข้าใจผิด แต่คำถามใด้ท่านเงียบ คือ ไม่ตอบตกลงไม่รับแต่ไม่ปฏิเสธ แบบนี้เขาเรียกว่า #ดุษณีภาพ คือ อาการนั่งนิ่งแสดงถึงการยอมรับ อันเป็นการตอบรับแบบพระโบราณมาแต่สมัยพุทธกาล ทุกครั้งที่ถามเรื่องนี้หลวงปู่ท่านจะเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง แล้วท่านจะคุยเลี่ยงไปเรื่องอื่นเลย ทำให้พวกศิษย์คิดไปต่าง ๆ พวกที่มั่นใจแล้วก็ฟันธงเลยว่าใช่ บางพวกก็ว่าท่านไม่ได้รับเพราะท่านคงมีเหตุผล แต่ทั้งหมดสำหรับข้าพเจ้ามั่นใจมาตลอดว่าใช่ เวลาผ่านไปท่านอาจารย์สุวัฒน์ถึงแก่กรรมไปแล้วนานปี เรื่องนี้แม้นเชื่อว่าจริงแต่ก็ยังคาใจข้าพเจ้าอยู่
............
❀❀❀❀❀❀❀❀
............
¤ ได้รับการยืนยัน ¤
ต่อมาราวปี พ.ศ. ๒๕๔๐กว่า ข้าพเจ้าได้พบคุณประยูร วงศ์ผดุง ในวันสงกรานต์ที่บ้านพักท่านย่านลาดพร้าว หลายท่านอาจสงสัยว่าท่านนี้เป็นใคร ขอตอบว่าท่านผู้นี้ คือ หนึ่งในผู้สร้างตำนานพระพรหมเอราวัน เพราะท่านผู้นี้เป็นร่างทรงพระพรหมเอราวันมาตั้งแต่สมัยหลวงพ่อบ๋าวเอิง วัดญวนสะพานขาว และเป็นศิษย์หลวงปู่ด้วยเช่นกัน ในวันหน้าจะมาเล่าเรื่องราวของท่านผู้นี้ให้ฟังอีกครั้ง ซึ่งในวันสงกรานต์ปีนั้นข้าพเจ้าได้รับคำตอบจากท่านพระพรหมว่า หลวงปู่เดินหน อิเกสาโร ท่าน คือ พระอาจารย์ของหลวงปู่ศุขอย่างแท้จริงตามที่ทราบมานั่นเอง
--
ตกลงว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดเป็นความจริง หากคิดว่าคำพูดของท่านผู้นี้เพียงฅนเดียวทำไมข้าพเจ้าจึงเชื่อ เอาป็นว่าที่เชื่อเพราะข้าพเจ้าเคยเห็นว่า เมื่อพระพรหมมาผ่านร่างคุณประยูร ท่านสามารถใช้ไฟฉายชนิดที่เราใส่ถ่านเป็นก้อนนี้ ท่านใช้ไฟฉายจุดเทียนไขให้พวกข้าพเจ้าดูมาแล้วกับตา ที่สำคัญคำถามที่เพียงคิดจะถามแต่ในใจ พระพรหมท่านทราบและพูดคำตอบขึ้นมาก่อน โดยไม่ต้องเอ่ยปากถามเลย เหตุนี้ข้าพเจ้าจึงเชื่อทุกสิ่งที่ท่านพูดมาดังนี้

โลกนี้จะมีซักกี่คนที่หลวงปู่เทพโลกอุดรท่านประทานอาหารมาให้


โลกนี้จะมีซักกี่คนที่หลวงปู่เทพโลกอุดรท่านประทานอาหารมาให้ เล่าโดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 1 พ.ย.59
เมื่อราวๆ 20 ปีที่ผ่านมา คืนหนึ่งผม (อู๋) มีนิมิตที่แปลกประหลาดและมหัศจรรย์มาก ในนิมิตนั้นผมไม่รู้ว่าไปยืนอยู่ในสถานที่แห่งใดแต่คงไม่ใช่ดินแดนของมนุษย์แน่ เพราะในที่แห่งนั้นมันเป็นที่โล่งเตียนไปจนสุดลูกหูลูกตา เป็นดินแดนที่ไม่สว่างแต่ก็ไม่มืด บนท้องฟ้าเห็นเป็นกลุ่มเมฆลอยอยู่เป็นหย่อมๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงพูดขึ้นมาว่า "เราคือหลวงปู่เทพโลกอุดร เราจะเอาอาหารมาให้เจ้า เลือกเอาว่าอยากจะกินอะไร"
เสียงที่พูดออกมานั้นทรงอำนาจมาก เป็นเสียงที่ไม่รู้ว่าดังมาจากตรงไหนของท้องฟ้ากว้าง แต่เสียงนั้นทำให้ผมรู้สึกว่าทุกอย่างที่อยู่รอบตัวมันสั่นสะเทือนไปหมด นี่เองที่คนโบาราณเขาบอกว่า "เสียงกัมปนาท" คือมันดังก้องไปทั่วแล้วเสียงนั้นก็ทำให้เกิดการสั่นสะเทือน ไม่มีใครที่จะไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือนเมื่อได้ยินเสียงนี้
ทันใดนั้นบนท้องฟ้าด้านหนึ่งก็ปรากฏว่ามีถาดกลมๆ ใส่อาหารลอยมาช้าๆ ถาดอาหารเหล่านี้มันลอยเรียงแถวกันมาอย่างกับขบวนรถไฟ เว้นระยะห่างเท่าๆ กันพอสวยงาม บนถาดกลมนั้นก็จะมีอาหารของแต่ละชาติแต่ละท้องถิ่น ทั้งอาหารไทย อาหารจีน อาหารใต้ อาหารอีสาน ฯลฯ ตามจริงแล้วการที่เรายืนอยู่บนพื้นเมื่อมองขึ้นไปบนฟ้าก็ไม่น่าจะเห็นว่าเป็นอาหารอะไร น่าจะเห็นแต่ก้นถาดกลมๆ แต่ในนิมิตนั้นมันกลับมองเห็นว่าในถาดนั้นมีอาหารอะไรบ้างได้อย่างชัดเจน
ผมไปสะดุดตาเข้ากับอาหารถาดหนึ่ง ในถาดนั้นเป็นอาหารแบบของชาวเหนือคือมีน้ำจิ้มและผักต่างๆ ทั้งผักต้ม ผักสด น้ำพริกอ่อง น้ำพริกหนุ่ม ข้าวเหนียว ฯลฯ เป็นถาดอาหารแบบขันโตก เมื่อจิตเรานึกชอบอาหารนั้น ก็ปรากฏว่าถาดใบนั้นก็ลอยแยกตัวออกมาจากแถว ค่อยๆ ลอยลงมาหาผม ผมก็ยื่นมือออกไปรับถาดอาหารนั้นเพื่อนำมาทาน แล้วผมก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาในราวๆ ตีห้าของวันใหม่ ฝันนี้ผมจำได้แม่นยำเพราะเป็นฝันในตอนรุ่งอรุณคือฝันเสร็จก็ตื่นขึ้นมาเลย และผมก็ยังคงจำความฝันนี้ได้อย่างชัดเจนไม่เคยลืมเลยแม้เวลาจะผ่านมานานแล้วก็ตาม เป็นฝันที่ผมจะจดจำไปจนวันตาย
นับเป็นครั้งแรกที่หลวงปู่ท่านพูดออกมาเองว่า "เราคือหลวงปู่เทพโลกอุดร" ทำให้ผมไม่ต้องเดาอีกต่อไปว่าหลวงปู่องค์ไหนคือผู้ที่เฝ้าดูแลรักษาผม ท่านเมตตาส่งทั้งอาหารคาวหวาน ข้าวเหนียวดำไพรดำ พระอรหันต์จกบาตร และญานทัศนะมาให้ลูกศิษย์คนนี้เพื่อเป็นกำลังให้ผมได้สร้างบุญบารมี ในชีวิตของผมก็ได้พึ่งพิงพระเพียง 3 รูปเท่านั้น คือหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ (เกิดมาก็เจอท่านเลย) หลวงปู่เทพโลกอุดร (ท่านคุ้มครองผมมาตั้งแต่เป็นเด็ก) และหลวงป๋าวัดหลวงพ่อสดที่ใช้ญานตามหาผมจนมาได้เจอกันตั้งแต่ผมอายุได้เพียง 20 กว่าปีเท่านั้น

วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2559

การบุญการกุศล ใช่ว่าสักแต่ทำ


อมตวัชรวจีหลวงป๋า
 ·
#การบุญการกุศลใช่ว่าสักแต่ทำ
#ควรอธิษฐานให้มุ่งตรงต่อมรรคผลนิพพาน
#เพราะสวรรค์ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิก็มี
#และเทวดาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิก็มี
การบุญการกุศล ใช่ว่าสักแต่ทำ มันเป็นบุญ แต่เป็นบุญผสมบาป และจะนำไปสู่แนวทางนั้นนี่แหละ เพราะฉะนั้น อาตมาจึงพาอธิษฐาน ขอให้บริสุทธิ์ สมบูรณ์ บริบูรณ์ ด้วยทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล มีความหมายอย่างนี้นะ ไม่ใช่สักแต่พูดๆ มีเหตุที่มา อาตมาเข้าใจเรื่องนี้มานาน เห็นเหตุด้วย จึงได้มีคำอธิษฐานเอาไว้ ด้วยความสุขุมรอบคอบพอสมควร แต่ถ้าใครเห็นว่าอะไรไม่ถูกต้อง ก็แนะนำอาตมาบ้าง
แต่ที่อาตมาพิจารณาแล้วดีที่สุด เป็นไปในแนวทางที่หลวงพ่อได้แนะนำไว้ คำพูดอาจจะไม่รวมกันเป็นอันเดียวกันทุกคำ แต่ว่าในเนื้อหาอันนี้นี่แหละก็เป็นอย่างนี้ เมื่อปฏิบัติไปแล้วมันเข้าอย่างนี้ ทีนี้จุดหนึ่งที่สำคัญที่สุด อาตมาจะยกให้ฟัง ๒ จุด
จุดหนึ่งที่อาตมามาพูด เดี๋ยวโยมจะนึกว่าสวรรค์สมบัติ จะเป็นมิจฉาทิฏฐิได้อย่างไร เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิก็มีนะ ไม่ใช่ไม่มี เป็นยักษ์เป็นมารก็มี ยักษ์มีกุมภัณฑ์เป็นต้น บรรดาระดับชั้นจาตุมหาราชิกา ก็ใกล้ๆมนุษย์เรา เพียงแต่ว่ากายเขาใสกว่าเท่านั้น แม้กระทั่งที่สุดถึงชั้นที่ ๖ ปรนิมมิตวสวัตดี ชั้นนี้เป็นที่สูงสุดของเทวโลก เทพยดาชั้นนี้ต้องการอะไร ปรารถนาอะไร มีบริวารเนรมิตให้เสร็จ สบายถึงเพียงนั้น แต่ก็ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ
ท่านอ่านพุทธประวัติคงจำได้ ท้าววสวัตดีมารในสมัยพุทธกาล จอมเทพชั้นนี้ละนะ ท่านลองนึกดูว่า ท่านจะแค่ไหน แต่ว่าหลังจากพุทธกาลมาประมาณร้อยปี พระเจ้าอโศกธรรมาโศกราช หรือพระเจ้าธรรมาอโศกราชนี่แหละ ศรัทธาในพระพุทธศาสนา สร้างสถูปเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่น สิ้นทรัพย์มากมาย แต่ว่าไม่สำเร็จ สถูปใหญ่ก็ไม่เสร็จ เพราะท้าววสวัตดีมารตามผจญอยู่พร้อมทั้งบริวาร
ที่นี้ พระอุปคุต ซึ่งมีจริงนะ จำพรรษาอยู่ใต้สะดือทะเล สะดือทะเลอย่าไปควานหา ในทะเลนี้นะหาไม่เจอหรอก อันนั้นเป็นมหาสมุทรซึ่งเป็นอายตนะละเอียดนั่นแหละ ได้มาทรมานท้าววสวัตดีมาร ทรมานกันจนแพ้ ว่าอย่างนั้นเถอะ เมื่อยอมแล้วจึงกลับเป็นสัมมาทิฏฐิ ปรารถนาพุทธภูมิ อธิษฐานบำเพ็ญบารมีเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า นี่แหละ ท้าววสวัตดีองค์ปัจจุบันแหละ
เพราะฉะนั้น สวรรค์สมบัติที่เป็นมิจฉาทิฏฐิก็มี ให้เข้าใจไว้ จากสูงสุด จนต่ำสุด มีทุกชั้น แต่ชั้นที่เป็นมิจฉาทิฏฐิน้อย มีสัมมาทิฏฐิมาก หรือจะว่าที่สุดก็คือ ชั้นดุสิตเทวโลก ซึ่งเป็นชั้นของผู้บำเพ็ญบารมี.
.........................
.........................
เทศนาธรรมจาก
พระเทพญาณมงคล
หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
อ.ดำเนินสะดวก
จ.ราชบุรี
..........................
ที่มา
ตอบปัญหาธรรมปฏิบัติ
..........................
เพจ อมตวัชรวจีหลวงป๋า

วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2559

หลวงป๋าท่านเคยบอกไว้ว่าการอธิษฐานจิตเสกพระเครื่องต่างๆ ท่านอธิษฐานไว้รวม 10 ประการ คือ


เมื่อคืน (14 ต.ค.59) หลวงป๋าท่านได้พาพระที่ได้ธรรมกายมาร่วมกันเสกเหรียญพระปฐมบรมศาสดาอีกครั้ง
หลวงป๋าท่านเคยบอกไว้ว่าการอธิษฐานจิตเสกพระเครื่องต่างๆ

ท่านอธิษฐานไว้รวม 10 ประการ คือ

1. พลิกธาตุพลิกธรรม-กลับร้ายกลายเป็นดี ให้ผู้เป็นเจ้าของมีจิตน้อมเข้ากระแสธรรม
2. มหาอุด กันปืน
3. มหาคงกระพัน หนังเหนียวทนต่อคมมีดของมีคม
4. มหาแคล้วคลาด
5. รอดพ้นจากภัยทั้งหมด ภัยธรรมชาติ อุบัติภัย อุทกภัย อัคคีภัย ภัยสงคราม ภัยจากนิวเคลียร์
6. ป้องกันโรคภัย ภูติผีปีศาจ คุณไสย์ ยาสั่ง
7. มหาอำนาจ สิทธิ สิทธิเฉียบขาด
8. มหาเมตตา มหานิยม
9. มหาโชคลาภ โภคทรัพย์
10. สมใจปรารถนา อธิษฐานได้ตามที่ขอ

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2559

แหวนที่หายได้คืนด้วยพระธรรมกาย


แหวนที่หายได้คืนด้วยพระธรรมกาย โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 7 ต.ค. 2559
ขอเล่าเรื่องอานุภาพของวิชชาธรรมกายหน่อยครับ เรื่องนี้เกิดในวันที่ 4 ต.ค. 56 เหตุการณ์นี้เพิ่งผ่านมาได้ 3 ปีพอดี
เมื่อประมาณ 5-6 วันที่ผ่านมาผมได้ทำแหวนหลวงปู่ดู่เนื้อเงิน ที่ใส่ประจำหายไป ผมได้พยายามหาว่าลืมไว้ตรงไหนหรือไม่ ทั้งห้องน้ำ ห้องพระ ในรถ บนโต๊ะคอมพิวเตอร์ ห้องรับแขก ฯลฯ โดยเฉพาะที่ห้องน้ำเข้าไปหา 4-5 รอบแล้วเพราะเป็นที่ต้องถอดประจำเวลาเข้าห้องน้ำ ส่วนในรถก็ถึงขนาดรื้อพรมขึ้นเอาไฟฉายส่องใต้เบาะและเก้าอี้ โดยหวังว่าแหวนอาจจะหล่นลงไป ทำให้ 5-6 วันมานี้ผมไม่มีความสุขเอาเสียเลย
เมื่อหมดหนทางก็ต้องคิดว่าถ้าแหวนนี้เป็นของเรา เราก็จะต้องได้คืนมา แต่ถ้าไม่ใช่ของเราก็แสดงว่าต้องปล่อยไปคืนสู่เจ้าของที่แท้จริง ขณะกำลังนั่งสมาธิอยู่ก็เกิดคิดถึงรุ่นน้องที่ได้ธรรมกายคนหนึ่งขึ้นมา (ขอเรียกว่าน้องไก่) ได้ความคิดว่าให้น้องไก่ถอดจิตมาถามเทวดาที่บ้านดีกว่า เพราะน้องไก่คนนี้แกชอบแอบมาดูที่บ้านผมเป็นประจำ ให้เทวดาที่บ้านช่วยหาแหวนให้น่าจะดี ผมก็เลย Line ไปบอกน้องไก่ว่าให้ช่วยพี่อู๋หน่อย ในใจก็คิดว่าเออถ้าน้องไก่ได้ธรรมกายจริงก็จะได้พิสูจน์กันไปเลยในครั้งนี้
ไม่ถึง 10 นาที น้องไก่โทรกลับมาหาผมแล้วพูดว่า "พี่อู๋...พระธรรมกายท่านแสดงภาพย้อนอดีตให้เห็นพี่อู๋กำลังล้างรถอยู่ แหวนไม่ได้หายไปไหนหรอก แล้วก็ไม่ต้องไปหาที่ห้องน้ำอีกแล้ว เพราะผมเห็นพี่เข้าไปหาในห้องน้ำหลายหน ให้ลองไปหาดูที่บริเวณที่พี่อู๋ล้างรถนั่นแหละ"
ผมรีบวางสายแล้วบอกกับนิด (ภรรยาของผม) ว่าน้องไก่โทรมาบอกว่าให้ลองไปหาแหวนตรงที่ล้างรถ เลยตกลงกันว่าจะออกไปหาแหวนด้วยกันอีกครั้ง ตัวผมก็เข้าไปดูในรถ ส่วนภรรยาก็เดินไปดูที่สายยางล้างรถซึ่งขดไว้ตรงบริเวณก็อกน้ำ ครู่เดียวนิดก็ตะโกนขึ้นมาบอกว่าเจอแหวนแล้ว ปรากฏว่าแหวนตกอยู่ที่พื้นโดยมีสายยางบางเส้นวางทับอยู่ทำให้มองไม่เห็นแหวน ผมดีใจมากที่ได้แหวนคืนแล้วก็นึกขอบคุณน้องไก่ที่ยอมเป็นธุระให้ พร้อมกันนั้นก็ระลึกได้ว่าพระธรรมกายนั้นเป็นของจริงมีอานุภาพมากจริง ใครเข้าถึงพระธรรมกายย่อมเป็นผู้ที่เดินเข้าไปใกล้ธรรมะอันเป็นที่สุดแห่งทุกข์ได้จริง สิ่งที่พระธรรมกายท่านบอกมาตรงเป๊ะทุกอย่างว่าแหวนตกอยู่ตรงที่ล้างรถ ขอบพระคุณครูบาอาจารย์ที่ได้พร่ำสอนและเผยแพร่วิชชาธรรมกายที่มีอานุภาพมากจริง ช่วยเราได้จริงๆ ครับ

วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เกิดมาผมก็เจอหลวงพ่อสดเลย


เกิดมาผมก็เจอหลวงพ่อสดเลย โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋)
ผม (อู๋) เกิดเมื่อปี 2498 ตอนเกิดก็ไม่ค่อยจะเหมือนใครเพราะคุณแม่เล่าว่าการคลอดของผมนั้นมันง่ายมาก ท่านบอกว่า "เหมือนไปขี้" คือพอปวดท้องจะคลอดก็เบ่งผมออกมาได้เลย เป็นการคลอดที่สะดวกสบายไม่ทำให้ท่านเจ็บเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ พอผมเกิดมาได้เพียงแค่ 1-2 วัน คุณแม่ผมก็อุ้มผมไปกราบหลวงพ่อสดที่วัดปากน้ำ แม้ว่าในสมัยนั้นการเดินทางไปวัดปากน้ำจะลำบากเพียงใดแต่คุณแม่ของผมท่านก็ไม่สนใจเพราะท่านเคารพหลวงพ่อสดเป็นที่สุด นี่คงเป็นสัญญาณนิมิตหมายให้ผมรู้กระมังว่าต่อไปจะต้องมาทำหน้าที่ช่วยหลวงพ่อสดในอนาคต ปัจจุบันผมทำงานให้หลวงพ่อและหลวงป๋ามากว่า 40 ปีแล้ว
คุณแม่เล่าว่าในสมัยนั้นเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่มีพระองค์ไหนจะมีชื่อเสียงโด่งดังไปกว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำเลย ดังนั้นคุณแม่ท่านจึงได้อุ้มผมไปให้ท่านตั้งชื่อให้ เพื่อที่คุณแม่จะได้นำชื่อนี้ไปแจ้งบันทึกลงในใบเกิด (สูติบัตร) ของผม โดยหลวงพ่อท่านจะถามวัน เดือน ปีเกิด และเวลาตกฟาก จากนั้นท่านก็จะนัดแนะว่าให้กลับมาเอาชื่อที่ท่านตั้งให้วันไหนอีกที ทุกวันนี้ผมจึงอดภูมิใจไม่ได้ว่าผมเกิดมาทันหลวงพ่อ และยังได้ไปกราบท่านตั้งแต่แรกเกิดเลย เมื่อคุณแม่ผมกลับไปเอาชื่อกับหลวงพ่อก็ต้องแปลกใจเพราะไม่เคยคิดว่าหลวงพ่อจะตั้งชื่อให้ผมแบบนี้ โดยหลวงพ่อท่านตั้งชื่อให้ผมว่า “อาดุลยเดช”
คุณแม่ผมก็แย้งท่านไปว่าหลวงพ่อจะให้ใช้ชื่อนี้ได้อย่างไร จะเป็นการสมควรหรือไม่เพราะเป็นชื่อที่ใกล้เคียงกับ....มาก หลวงพ่อท่านก็พูดยืนยันว่า “เด็กคนนี้ต้องใช้ชื่อนี้เท่านั้น” แล้วในชื่อของผมก็มีอักษร “สระอา” ด้วย จึงเป็นชื่อที่ไม่เหมือนใคร จะมีใครมาว่าได้อย่างไร คุณแม่ผมจึงต้องจำยอมตามคำหลวงพ่อ แต่ผ่านไปไม่กี่วัน คุณแม่ผมก็ต้องกลับไปที่วัดปากน้ำอีกครั้ง เพื่อให้หลวงพ่อท่านเปลี่ยนชื่อให้ผมใหม่ โดยบอกหลวงพ่อว่าไม่อยากให้ผมใช้ชื่อนี้ แต่หลวงพ่อสดท่านก็ยังยืนยันคำเดิมของท่านไม่ยอมเปลี่ยนให้ คุณแม่ผมก็จนใจเพราะเคารพและศรัทธาหลวงพ่อสดมาก ดังนั้นในใบเกิดของผมจึงเป็นชื่อ “ด.ช.อาดุลยเดช” เท่ซะไม่มี แต่ปัญหามันเกิดตอนที่ผมต้องไปโรงเรียนนี่ซิครับ ทั้งคุณครู ทั้งเพื่อนๆ ต่างก็มาถามผมว่าทำไมจึงใช้ชื่อนี้ไม่กลัวตำรวจจับหรือ (ตอนเป็นเด็กก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรนัก) ผมเลยใช้ชื่อนี้อยู่จนอายุได้ 9-10 ปีจึงไปเปลี่ยนชื่อซึ่งเวลานั้นหลวงพ่อท่านมรณะภาพไปแล้ว เพราะที่บ้านทนแรงกดดันจากคนอื่นไม่ไหว
มาถึงวันนี้ผมจึงอดภูมิใจไม่ได้ว่าผมได้เป็นเด็กคนหนึ่งที่หลวงพ่อสดท่านตั้งชื่อไว้ให้ คนในยุคนี้จะมีซักกี่คนที่เคยเจอหลวงพ่อสดเหมือนกับผม แล้วเมื่อผมโตขึ้นมาก็ยังได้ทำงานรับใช้หลวงพ่อและวิชชาธรรมกายตั้งแต่ผมยังหนุ่มๆ จนมาทุกวันนี้

เทวดาส่งเงิน 500 บาทมาสร้างพระมหาเจดีย์


เทวดาส่งเงิน 500 บาทมาสร้างพระมหาเจดีย์ โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 14 มีนาคม 2559
เมื่อวันที่ 12 มี.ค.59 ได้มีคณะบุคคลกลุ่มหนึ่งมาที่วัดหลวงพ่อสด (คุณหมอ ลูกชาย คุณป้อมและคณะ) ซึ่งคณะบุคคลกลุ่มนี้ก็คือกลุ่มเดียวกับที่เคยมาอัญเชิญพระของหลวงปู่เทพโลกอุดรให้แก่วัดหลวงพ่อสด เพื่อมอบให้แก่ผู้มาทำบุญสร้างพระมหสเจดีย์ของวัดมาแล้วนั่นเอง แต่ครั้งนี้เขามาเพื่อจะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุถวายแก่หลวงป๋าเป็นการเฉพาะ ตามคำบัญชาของหลวงปู่เทพโลกอุดร เพื่อเตรียมนำบรรจุไว้ในองค์พระมหาเจดีย์
ในส่วนของพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญได้มานั้นผมจะไม่ขอพูดถึง แต่เรื่องที่แปลกมหัศจรรย์ก็คือ นอกจากพระบรมสารีริกธาตุที่เสด็จปาฏิหาริย์เข้าไปอยู่ในดอกบัวแล้ว ครั้งนี้กลับมีแบงค์ 500 บาทหล่นลงมาจากอากาศด้วยอีก 1 ใบ ทั้งๆ ที่การทำพิธีนี้เชิญกันในห้องปิดมิดชิดภายในกุฏิของหลวงป๋า เหตุการณ์นี้สร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้อัญเชิญเป็นอันมาก เพราะพวกเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะเชิญแบงค์ แต่กลับมีแบงค์ 500 หล่นลงมาเอง แบงค์ 500 บาทใบนี้ก็เหมือนกับแบงค์ 500 บาททั่วๆ ไปนั่นแหละ เป็นเงินที่เอาไปใช้ได้จริงได้หล่นลงมาจากอากาศได้มาพร้อมกับพระบรมสารีริกธาตุองค์ใหญ่อีก 2 องค์ เงินนี้จึงเป็นเงินของเทวดาที่ต้องการมาร่วมสร้างพระมหาเจดีย์เป็นแน่ พวกเขาก็เลยรีบนำเงินนี้ไปถวายแก่หลวงป๋าพร้อมกับรวบรวมเงินกันเองในกลุ่มสมทบเพิ่มเข้าไปอีก เพื่อขอร่วมทำบุญไปกับเทวดาด้วย
นี่ก็หมายความว่าแม้แต่เทพเทวาท่านก็ยังอยากร่วมสร้างพระมหาเจดีย์องค์นี้ และท่านคงต้องการให้พระมหาเจดีย์สำเร็จโดยเร็ว ท่านเลยไปหาเงินมาร่วมสร้าง แต่ไม่รู้ว่าท่านไปเอาเงิน 500 บาทนี้มาจากไหน ผมเลยไปขอแลกแบงค์ 500 บาทใบนี้มาเก็บไว้เพื่อเป็นที่ระลึก และเป็นหลักฐานยืนยันว่ามีเทวดาเคยมาร่วมบุญสร้างพระมหาเจดีย์ของวัดหลวงพ่อสดจริง....นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดมีขึ้น กลุ่มคณะนี้เขาเลยมากระซิบบอกกับผมว่า "สงสัยหลวงป๋าท่านคงจะเป็นพระโพธิสัตว์นะครับพี่อู๋" ผมก็ได้แต่หัวเราะ

ขึ้นไปกราบหลวงพ่อสด


ขึ้นไปกราบหลวงพ่อสด โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋)
ในสมัยที่ผม (อู๋) ยังเรียนอยู่ที่จุฬาฯ ได้มีโอกาสช่วยงานหลวงป๋า ตอนนั้นท่านยังไม่ได้บวช ท่านใช้ชื่อว่า “มงคลบุตร” ในการเผยแพร่วิชชาธรรมกายผ่านหนังสือต่างๆ ที่หลวงป๋าท่านเขียนรวบรวมขึ้นมาเป็นเล่ม โดยเฉพาะกัณฑ์เทศน์ต่างๆ ของหลวงพ่อสด และยังได้มีโอกาสไปช่วยหลวงป๋าทำรายการธรรมะสู่สันติทุกวันอาทิตย์ที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมท. อีกด้วย
วันหนึ่งตอนเช้าตรู่ประมาณตี 4 ผมได้ฝันว่าได้พาเพื่อน 2 -3 คน ขึ้นไปบนฟ้า ไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน แต่รอบตัวมีแต่อากาศว่างเปล่าเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา เมื่อมองไปตรงหน้าได้เห็นเป็นเหมือนโบสถ์สีขาวโปร่งแสงตั้งลอยเด่นอยู่กลางอากาศ ผมก็เลยพาเพื่อนๆ ลอยเข้าไปที่ทางเข้าโบสถ์ เดินแบบลอยๆ ตามขั้นบันไดไม่กี่ขั้นก็เข้าไปถึงในตัวโบสถ์ ภายในนั้นมองเห็นหลวงพ่อสดนั่งอยู่กลางโบสถ์เพียงองค์เดียว พวกผมก็คลานเข้าไปกราบท่านแล้วท่านก็ถามว่าชื่ออะไรกันบ้าง เพื่อนๆ ที่ไปด้วยกันก็ตอบรายงานชื่อของตัวเอง
แต่เมื่อมาถึงผม แทนที่ผมจะพูดชื่อของตัวเองผมกลับตอบท่านไปว่า “ผมชื่อเสริมชัยครับ” ในฝันตอนนั้นผมก็นึกแปลกใจตัวเองว่าทำไมผมจึงตอบหลวงพ่อไปอย่างนั้น ผมตอบท่านไปได้อย่างไรว่าชื่อเสริมชัย (เสริมชัยคือชื่อจริงของหลวงป๋า) หลวงพ่อสดท่านก็พยักหน้ารับทราบ แล้วผมก็ตื่นจากความฝัน ตื่นขึ้นมาก็ทบทวนความฝันนี้และคิดว่าคงเป็นฝันที่ไม่ได้เรื่องอะไร แต่ทำไมความฝันมันจึงชัดเจนและยังสามารถจดจำเรื่องราวและภาพต่างๆ ได้อย่างละเอียด
ต่อมาอีกไม่กี่วันก็ได้มีโอกาสไปพบหลวงป๋าท่านที่ทำงาน (USIS) ได้เล่าเรื่องความฝันนี้ให้ท่านฟัง เล่าไปก็อายและขำตัวเองที่ฝันเป็นตุเป็นตะไปได้แบบนี้คงจะเป็นฝันที่ใช้ไม่ได้ แต่หลวงป๋าท่านกลับบอกว่าเป็นนิมิตฝันที่ดีมาก ไม่แปลกเลยและเป็นนิมิตจริงที่น่าเชื่อถือ เพราะหลวงป๋าเองท่านก็เคยฝันแบบนี้มาแล้วเช่นกัน คือเมื่อท่านได้เจอหลวงพ่อสดในนิมิตครั้งแรกนั้น เมื่อหลวงพ่อสดถามท่านว่าชื่ออะไร หลวงป๋าก็ตอบหลวงพ่อสดไปว่าท่านชื่อ “วีระ” เช่นกันแทนที่จะตอบว่าชื่อเสริมชัย (วีระคือชื่อจริงของหลวงพ่อภาวนา) หลวงป๋าท่านอธิบายว่าในทางสายวิชชาแล้ว ใครถามว่าชื่ออะไร เราต้องตอบชื่อของอาจารย์ของเราเพื่อที่จะได้ทราบที่มาที่ไปว่าเรามาจากไหน เขาทำกันมาแบบนี้ตั้งแต่โบราณกาลแล้ว ผมจึงถึงบางอ้อว่านิมิตฝันที่เป็นจริงนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่อาจที่จะคาดเดาได้

วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ญาณทัศนะที่แม่นยำ


ญาณทัศนะที่แม่นยำ เล่าโดย ทวีวีฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 1 ต.ค. 2559
ผม (อู๋) เคยซื้อบ้านที่หมู่บ้านเสนานิเวศน์ไว้หลังหนึ่ง คนในยุคที่ผมเป็นหนุ่มๆ คงจะจำกันได้ถึงโฆษณาของหมู่บ้านแห่งนี้ “เสนานิเวศน์ อยู่กันจนเป็นปู่” ซึ่งเป็นโฆษณาที่ฮอตฮิตมากในสมัยนั้น เมื่อจะซื้อบ้านจึงเลือกที่จะซื้อที่หมู่บ้านแห่งนี้ตามคำชวนเชื่อของโฆษณา อยู่มาได้ประมาณ 10 ปี ก็จำเป็นที่จะต้องย้ายเพื่อมาอยู่ที่บ้านหลังปัจจุบัน (ในซอยโชคชัย 4) บ้านที่เสนานิเวศน์จึงต้องประกาศขาย
เมื่อประกาศขายไปซักระยะหนึ่ง ก็มีผู้สนใจที่จะซื้อประมาณ 3-4 ราย มีทั้งผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงซึ่งดูแล้วก็เป็นผู้ที่มีเงินทองมากและมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูงระดับท่านแม่ทัพนายกอง ต้องการซื้อไปให้ลูกที่กำลังจะออกเรือน อีกรายก็เป็นผู้หญิงวัยกลางคนติดต่อเข้ามาและขอเข้ามาดูภายในบ้าน ท่าทางสนใจจริงถึงกับเอากล้องมาถ่ายรูปห้องต่างๆ และขอสำเนาผังแปลนบ้านและโฉนด เพื่อไปดำเนินการกู้ยืมกับทางธนาคาร
รายสุดท้ายประหลาดกว่ารายอื่นๆ เพราะเป็นเจ้าหน้าที่ของบริษัท True ติดต่อเข้ามา รายนี้โทรศัพท์ติดต่อเข้ามาเพียงครั้งเดียว เขาถามเพียงแค่ว่าตัวบ้านกว้างและยาวเท่าไหร่เท่านั้น การตกแต่งภายในก็ไม่สนใจจะซักถาม ผิดกับรายอื่นๆ ที่เขาจะถามว่ามีแอร์กี่ตัว มีกี่ห้องน้ำ ห้องน้ำตกแต่งอย่างไร ห้องนอนมีพรมไหม ฯลฯ เมื่อผ่านไปราว 1 อาทิตย์ก็มีเจ้าหน้าที่ (แต่ดูจากการแต่งตัวแล้วเหมือนช่างผู้รับเหมา) ขอเข้ามาเพื่อวัดขนาดกว้างและยาวของพื้นที่และตัวบ้าน วัดอยู่ไม่ถึง 10 นาทีก็ลากลับไป
ในใจของผมนั้นคิดว่า ในรายผู้หญิงวัยกลางคนนั้นน่าจะเป็นผู้ซื้อจริงมากที่สุด เพราะเธอเข้ามาดูบ้านและบอกพอใจบ้านของผมมาก นอกจากนั้นก็ได้ดำเนินการติดต่อกู้กับทางธนาคารแล้ว และต่อมาก็มีเจ้าหน้าที่ของธนาคารขอเข้ามาดูบ้านของข้าพเจ้า ดูท่าทางว่าจะจบที่รายนี้ค่อนข้างมาก
วันหนึ่งผมไปที่วัดหลวงพ่อสด อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นวัดที่ผมไปทำบุญเป็นประจำ เพราะนับถือและสนิทกับพระองค์หนึ่งซึ่งในที่นี้ขอเรียกท่านว่า “หลวงพ่อ” พระองค์นี้ผมสนิทสนมกับท่านมานาน และท่านก็รักผมเหมือนเป็นลูกเป็นหลานคนหนึ่ง วันนั้นผมแวะไปกราบท่านเพื่อจะสอบถามถึงเรื่องบ้านที่กำลังประกาศขาย
ข้าพเจ้า “หลวงพ่อครับ ตอนนี้ผมกำลังจะขายบ้าน มีคนติดต่อเข้ามา 3 รายครับ”
หลวงพ่อ “เออ แล้วมีใครบ้างล่ะ ไหนบอกมาซิ”
ข้าพเจ้า “มีคนที่อยู้บ้านใกล้ๆ กัน จะซื้อให้ลูกชายที่กำลังจะออกเรือน อีกคนเป็นผู้หญิงวัยกลางคนมาดูแล้วบอกว่าชอบมาก ตอนนี้กำลังติดต่อแบ๊งค์ขอทำเรื่องกู้อยู่ครับ แล้วอีกรายเป็นบริษัท True รายนี้แปลกมากถามแค่ว่าตัวบ้านกว้างยาวเท่าไหร่เท่านั้น.....” ยังไม่ทันที่ผมจะอธิบายต่อเลย หลวงพ่อก็พูดสวนขึ้นมาทันทีว่า
หลวงพ่อ “ข้าว่าไอ้ราย True นั่นแหละจะมาซื้อบ้านเธอ”
ข้าพเจ้า “จะเป็นไปได้อย่างไร เขาโทรมาหาเพียงครั้งเดียว รายละเอียดในบ้านก็ยังไม่เคยถามหรือเข้ามาดูเลย ไม่น่าเป็นไปได้นะครับ” ผมเถียงออกไปเพราะไม่เห็นด้วย
หลวงพ่อ “เออ แล้วเธอคอยดูไปก็แล้วกัน”
พูดตามตรง ผมไม่ค่อยเชื่อคำของหลวงพ่อเลยเพราะดูจากรูปการณ์แล้วมันไม่น่าจะเป็นไปได้ อยู่ต่อมารายที่อยู่หลังบ้านก็ทำเงียบไป (ตอนแรกทำท่าทางสนใจจริงจังถึงกับมาต่อรองราคาไว้) รายผู้หญิงวัยกลางคนก็ปรากฏว่าทางธนาคารไม่ปล่อยเงินกู้ให้ ส่วนราย True ก็เงียบไป 2 อาทิตย์ แล้วก็ติดต่อกลับมาว่าให้ผมไปรับเช็คที่บริษัทได้เลยซะงั้น
ผมละงงจริงๆ ว่ามันเป็นไปได้อย่างไร แต่มันก็เป็นไปแล้ว ผมไปรับเช็คเงินที่ขายบ้านได้จริงๆ หลวงพ่อท่านแม่นมากทำนายไว้แบบทันทีทันใด ตอนท่านทำนายท่านก็ไม่เห็นต้องมานั่งหลับตาอะไร ท่านพูดสวนขึ้นมาขณะที่ผมยังพูดไม่จบด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ท่านบอกกลับเป็นจริงทุกอย่าง นี่แหละที่เขาว่าอานุภาพของพระธรรมกายนั้นแม่นยำและรวดเร็วจริงๆ
ไม่ใช่แต่เฉพาะเรื่องบ้านเท่านั้น เรื่องงานก็เช่นเดียวกัน สมัยยังหนุ่มๆ ผมส่งใบสมัครงานเอาไว้ 2-3 ที่ ที่แรกเป็นบริษัทขายกาแฟ ที่ๆ สองเป็นบริษัทโกดัก (สมัยนั้นรุ่งเรืองมาก) และที่สุดท้ายเป็นบริษัทอุตสาหกรรมนมไทย ผมแวะไปหาหลวงพ่อที่กุฏิเห็นหลวงพ่อกำลังจะขึ้นรถตู้เพื่อไปธุระในวัด ผมก็รีบกระโดดตามหลวงพ่อขึ้นรถตู้ไปด้วยเพื่อจะถามท่านเรื่องสมัครงาน ขณะที่รถออกวิ่งผมก็รีบชิงถามหลวงพ่อก่อนเลย
ข้าพเจ้า “หลวงพ่อครับ ผมไปสมัครงานเอาไว้ 3 ที่ครับ มีบริษัทขายกาแฟ บริษัทโกดัก แล้วก็บริษัทอุตสาหกรรมนมไทย....” ผมพูดไปยังไม่ทันเสร็จหลวงพ่อก็พูดตอบมาทันที
หลวงพ่อ “ข้าว่า เธอ (เอ็ง) จะได้งานที่บริษัทอุตสาหกรรมนมไทยนะ”
ข้าพเจ้า “จริงหรือครับหลวงพ่อ”
หลวงพ่อ “เออ”
แล้วก็เป็นไปตามที่หลวงพ่อบอก ไม่ถึงอาทิตย์ทางบริษัทอุตสาหกรรมนมไทยติดต่อกลับมา พร้อมนัดสัมภาษณ์แล้วให้เริ่มทำงานได้ทันที เป็นอย่างไรบ้างครับ ญาณทัศนะของผู้ที่ถึงธรรมกายชั้นสูง มันช่างแม่นยำเที่ยงตรงและรวดเร็วอะไรเช่นนี้

วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559

พระโพธิสัตว์ (2)

พระโพธิสัตว์ (2) โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 28 ก.ย. 2559
เมื่อคืนนี้ขณะที่ผมกำลังนั่งสมาธิอยู่ก็ปรากฏว่าอยู่ดีๆ ก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่ผมทราบมานานกว่า 30 ปีแล้วก็ตาม สงสัยว่าเบื้องบนท่านคงต้องการให้ผมเล่าออกไปเพื่อให้คนรุ่นหลังได้ทราบ กระมัง
ตอนที่แล้วผมได้เล่าไปว่าผู้ที่จะเป็นพระโพธิสัตว์โดยเฉพาะ "นิยตะโพธิสัตว์" (ได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้ว) ท่านจะมีฉัตรอยู่เหนือพระเศียรของพระธรรมกาย ซึ่งที่ผ่านมาเท่าที่ผมทราบก็แทบจะไม่มีใครมีเลยที่จะมีฉัตรนอกจากท่านอาจารย์เสริมชัย พลพัฒนาฤทธิ์ (ชื่อเดิมของหลวงป๋า) เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ของท่านอีกเช่นกัน
หลังจากที่ผมได้รู้จักท่านอาจารย์เสริมชัยแล้ว ผมก็หมั่นไปช่วยงานเผยแพร่ธรรมะและวิชชาธรรมกายของท่าน ผ่านไปราวๆ 2 ปีผมก็เริ่มคุ้นเคยและสนิทสนมกับท่านผมจึงมีโอกาสได้รู้เรื่องบางอย่างของ ท่าน หลังจากที่ท่านอาจารย์เสริมชัยได้ธรรมกายแล้วและเห็นว่ามีฉัตรปรากฏอยู่ที่ เหนือองค์พระธรรมกายของท่าน ท่านก็เลยมั่นใจว่าท่านจะต้องเดินหน้าเข้าสู่ทางธรรมและมุ่งมั่นในการสร้าง บารมีต่อไป ท่านก็เลยตัดสินใจเข้าไปในห้องพระแล้วจุดธูปอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธรูปในห้อง พระของท่าน โดยท่านได้เอ่ยคำอธิษฐานขอสร้างบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์และพระพุทธเจ้าองค์ต้นๆ ได้โปรดมาเป็นพยานในการสร้างบารมีของท่านด้วย
พอวันรุ่งขึ้นก็ปรากฏเหตุอัศจรรย์ขึ้นมา คืออยู่ดีๆ ก็ปรากฏว่ามีเนื้อนูนขึ้นมาที่กลางฝ่ามือทั้งสองและที่กลางฝ่าเท้าทั้งสอง ของท่าน เกิดมีเนื้อนูนขึ้นมาเป็นรูปกลมๆ แบบเดียวกับรูป "ธรรมจักร" ซึ่งเป็นเรื่องที่ท่านเองก็ไม่ได้คาดคิด เครื่องหมายธรรมจักรนี้ได้เกิดขึ้นมาเองหลังจากที่ท่านอธิษฐานอย่างเป็นทาง การขอสร้างบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตต่อหน้าพระพุทธรูป เป็นเรื่องที่ไม่มีในตำราและไม่เคยมีใครพูดถึงมาก่อน เพราะน้อยคนนักที่จะมีประสบการณ์แบบนี้ได้ เครื่องหมายพระธรรมจักรนี้ได้เกิดขึ้นอยู่นานราวๆ 7 วันแล้วก็จางหายไป เบื้องบนท่านคงจะแสดงให้ท่านอาจารย์เสริมชัยได้รู้ว่าเบื้องบนรับทราบแล้ว และคงเป็นการให้กำลังใจแก่ท่านอาจารย์เสริมชัยในการที่จะสร้างบารมีต่อๆ ไปนั่นเอง เรื่องนี้ผมเขียนขึ้นมาโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตจากท่าน เพราะถ้าผมขออนุญาตแล้วท่านก็คงไม่อนุญาตอยู่ดี แต่เป็นเรื่องที่ผมทราบมาขณะตอนที่ท่านยังไม่ได้บวช ยังไม่ได้มาเป็นพระโพธิสัตว์เต็มรูปแบบเหมือนทุกวันนี้

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2559

หลวงพ่อภาวนา "ฉันจะไปอยู่กับหลวงพ่อสด" โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 25 ก.ย. 2559


หลวงพ่อภาวนา "ฉันจะไปอยู่กับหลวงพ่อสด" โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 25 ก.ย. 2559
ข้อความนี้คือคำพูดสุดท้ายของหลวงพ่อภาวนา (วีระ คณุตตโม) อดีตอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนา วัดปากน้ำภาษีเจริญ ที่ได้พูดกับคุณหมอที่ดูแลท่านในวันสุดท้าย ท่านจะไปช่วยงานของหลวงพ่อสดและกลับไปอยู่ในที่ๆ ท่านเคยจากมา ต่อจากนี้เราจะไม่ได้เห็นท่านไปงานบุญกฐินที่วัดหลวงพ่อสดอีกแล้ว 20 กว่าปีแล้วที่ผมได้เห็นหลวงพ่อภาวนามางานบุญกฐินของวัดหลวงพ่อสด ท่านมาอย่างสม่ำเสมอทุกปีไม่เคยขาดเลยเพื่อร่วมบุญกับหลวงป๋าศิษย์รักของท่าน และมาดูความเจริญเติบโตของวัดหลวงพ่อสดที่ท่านมีส่วนสร้างขึ้นมาจากผืนนาอันรกร้าง กลายมาเป็นวัดป่าที่อุดมสมบูรณ์ด้วยต้นไม้ใหญ่เหมาะแก่การพักอาศัยของภิกษุ ผู้ต้องการปฏิบัติธรรมและศึกษาปริยัติธรรม ตอนนี้ก็เป็นหน้าที่ของพวกเราแล้วที่จะต้องช่วยกันดูแลรักษาให้วัดหลวงพ่อสดเจริญรุดหน้าต่อไป....อาลัยรักและเคารพหลวงพ่อภาวนา
ผมเชื่อโดยสนิทใจว่าหลวงพ่อภาวนาท่านจะเกิดมาอีกเพียงชาติเดียว โดยท่านจะเกิดมาเพื่อเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านเกิดมาในชาตินี้ก็เพื่อช่วยหลวงพ่อสดและหลวงป๋าในการเผยแพร่วิชชาธรรมกาย ตามคำบัญชาของพระพุทธเจ้าองค์ต้นๆ จึงไม่แปลกใจเลยที่หลวงพ่อภาวนาท่านจะออกมาปกป้องหลวงป๋าทุกครั้งที่มีผู้ไม่หวังดีคอยพูดจายุแหย่โจมตีกล่าวร้ายหลวงป๋า มีแต่หลวงพ่อภาวนาเท่านั้นที่ลุกขึ้นมาปกป้องหลวงป๋า ท่านจะออกมาเพื่อปรามผู้กล่าวร้ายนั้นจนในที่สุดเห็นว่าคนเหล่านั้นยังไม่ยอมหยุด ท่านจึงประกาศออกไปว่า "หากใครจะมาว่าอะไรเสริมชัย (ชื่อจริงของหลวงป๋า) ก็ให้มาว่าได้ที่ฉันนี่" ทำให้ผู้ไม่หวังดีเหล่านั้นต้องเงียบเสียงลงไป
ผมจึงได้พยายามพาเพื่อนๆ และคนรู้จักให้มาทำบุญกับท่าน เพราะเราเกิดมาแล้วมีโอกาสยากมากที่จะได้มาทำบุญกับพระระดับพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อพบแล้วก็ต้องหมั่นทำบุญกับท่าน พวกเราโชคดีมากนะครับที่ได้ทำบุญกับท่าน สังเกตุใบหูของท่านซิครับ เหมือนใบหูของพระพุทธรูปชัดๆ น่าใจหายนะครับ ที่วันนี้ท่านไม่ได้อยู่กับพวกเราแล้ว
เมื่อท่านละสังขารไปแล้วผมก็ได้รับโทรศัพท์จากน้องท่านหนึ่งที่ได้สอดญาณตรวจสอบเรื่องราวต่างๆ เขาโทรมาหาผมด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นว่า "พี่อู๋ครับ ผมไม่เคยเจออะไรอย่างนี้มาก่อนเลย ตอนแรกผมตรวจดูว่าท่านจะไปอยู่ที่ไหน ตรวจอย่างไรก็หาท่านไม่พบ จนต้องกราบขอให้หลวงพ่อสดช่วยจึงได้พบวิมานของหลวงพ่อภาวนา ท่านอยู่ในเขตวงบุญพิเศษบนชั้นดุสิตไม่ไกลจากวิมานของหลวงพ่อสด วิมานของท่านไม่เหมือนใครเพราะเป็นศิลปะแบบนครวัดนครธมสวยงามและใหญ่โตมาก ที่แปลกสุดๆ ก็คือกายของท่านไม่ได้เป็นกายเทพบุตรเหมือนเทวดาองค์อื่นๆ แต่กายของท่านเป็นพระธรรมกายครับ"
หลวงพ่อภาวนาบอกกับลูกศิษย์ที่จะไปดูคอนเสิร์ตว่า “ไปเหมือนไม่ได้ไป”
วันหนึ่งลูกศิษย์ที่มานั่งสมาธิกับหลวงพ่อภาวนาในกุฏิของท่านที่วัดปากน้ำ ได้นัดแนะกันว่าเมื่อนั่งสมาธิเสร็จแล้วจะรีบเดินทางไปดูคอนเสิร์ตของเบิร์ด ธงไชยที่จัดขึ้นที่เมืองทองธานี บัตรก็มีพร้อมกันอยู่แล้ว เมื่อนั่งสมาธิเสร็จสาวๆ กลุ่มนี้ก็รีบลุกขึ้นเพื่อรีบไปขึ้นรถทันที หลวงพ่อภาวนาเห็นก็เลยถามไปว่าจะรีบไปไหนกัน ลูกศิษย์กลุ่มนี้ก็บอกว่าจะรีบไปดูคอนเสิร์ตของเบิร์ดค่ะ
อยู่ๆ ก็ได้ยินหลวงพ่อภาวนาพูดขึ้นมาให้ได้ยินทั่วกันว่า "ไปก็เหมือนไม่ได้ไป" แล้วท่านก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เมื่อได้ยินหลวงพ่อพูดอย่างนั้นต่างก็งงว่าหลวงพ่อจะบอกอะไร (สงสัยท่านจะพูดเป็นปริศนาธรรมว่าทุกอย่างในโลกไม่มีอะไรมั๊ง) ท่านพูดเสร็จก็ไม่ยอมพูดต่อได้แต่ยิ้มน้อยๆ ทั้งๆ ที่ยังไม่เข้าใจแต่ก็ไม่มีเวลาคิด ต่างก็รีบเดินออกจากวัดปากน้ำเพื่อขึ้นรถไปเมืองทองธานีทันที
ระหว่างทางก่อนถึงเมืองทองธานีปรากฏว่ารถติดวินาศสันตะโร เนื่องจากในเมืองทองมีทั้งงานคอนเสิร์ตและงานแสดงสินค้าจัดขึ้นพร้อมกัน ผู้คนมากมายต้องใช้เวลานานกว่าจะเข้าไปถึงเมืองทองได้ พอไปถึงสถานที่จัดคอนเสิร์ตก็ช้าไปมาก คอนเสิร์ตแสดงไปจนใกล้จะเลิกแล้ว ตกลงกันว่าไม่ดูแล้วคอนซงคอนเสิร์ตกลับบ้านกันดีกว่า เพราะหมดอารมณ์และเหนื่อยมากกับการเดินทางครั้งนี้ พลันเสียงของหลวงพ่อก็ดังเข้ามาในหูอีกว่า "ไปก็เหมือนไม่ได้ไป" อ๋อ...เพิ่งจะเข้าใจ แหมหลวงพ่อท่านน่าจะอธิบายขยายความอีกนิดก็จะดี 555 (หลวงพ่อท่านคงบอกว่าเตือนแล้วไม่ฟังกันเอง)

ยากพูดเรื่องกามกิเลส โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 26 ก.ย. 2559


อยากพูดเรื่องกามกิเลส โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 26 ก.ย. 2559
นี่คือกิเลสตัวใหญ่ที่ร้ายที่สุดและเอาชนะยากที่สุด เพราะเป็นกิเลสที่เกี่ยวเนื่องกับการเกิด ใครที่ต้องมาเกิดก็ต้องมาแก่ มาเจ็บ ต้องมาตายทุกคน ถ้าก่อนตายเราสามารถเอาชนะกามกิเลสได้เราก็เข้าใกล้นิพพานเต็มที่แล้ว
พระท่านมักสอนให้เราพิจารณาอสุภกรรมฐาน คือการไปดูรูปซากศพต่างๆ เพื่อให้เห็นว่าร่างกายของเรานี้มันไม่ได้น่าดูน่าชมเลย มันมีแต่เลือด เนื้อ น้ำเหลือง น้ำหนอง กระดูก ไขมัน อวัยวะต่างๆ ตับ ไต ไส้พุง ถุงน้ำดี ปอด หัวใจ ฯลฯ ผมก็ดูรูปซากศพและรูปอวัยวะต่างๆ มาเป็นสิบๆ ปี ดูแล้วก็รู้สึกว่าภายในของมนุษย์จริงๆ แล้วมันไม่ได้น่าดูน่าชมเลย แต่ผมดูแล้วมันก็ยังไม่สามารถตัดกามกิเลสลงได้
ที่จริงการเอาชนะกามกิเลสมันต้องใช้การคิดพิจารณาโดยใช้ปัญญาต่างหาก การดูแต่รูปมันยังเอาชนะกิเลสตัวใหญ่นี้ไม่ได้ การตัดกิเลสจะต้องตัดด้วยปัญญา (วิชชา) ถ้าเราตัดตัวกามกิเลสได้แล้วกิเลสตัวอื่นๆ ก็จะถูกตัดต่อเนื่องกันไป เหมือนการตัดห่วงโซ่ เราตัดตรงไหนโซ่ก็ขาดออกจากกันไปเอง เราต้องใช้ปัญญาค่อยๆ คิดพิจารณาเรื่องกามกิเลส ดูมันในหลายๆ ด้านหลายๆ มิติ ดูให้รอบ จับมันหงายขึ้นมาดู แยกส่วนมันออกมา ผมไม่ได้พูดเล่นๆ หรือพูดให้ดูดี แต่เราต้องศึกษามันให้ละเอียดเพราะมันเป็นกิเลสตัวสำคัญที่ปราบได้ยากที่สุด เนื่องจากมันอยู่มันฝังกับเรามานานแสนนาน
เริ่มจากเราต้องรู้ก่อนว่าในสมัยที่มนุษย์แรกเริ่มลงมาเกิดนั้น เดิมมนุษย์เรามาจากพวกพรหมชั้นอาภัสสราพรหม แล้วลงมากินง้วนดินซึ่งก็คือดินยุคแรกที่เย็นตัวลง ยังมีความสะอาดบริสุทธิ์สีขาวดุจน้ำนม ง้วนดินสีขาวนี้มีกลิ่นหอมยั่วยวนให้พวกอาภัสสราพรหมได้ลองลิ้มชิมดู แล้วมันก็อร่อยชื่นใจซะด้วย เมื่อพรหมเหล่านี้ได้กินง้วนดินซึ่งเป็นของหยาบเข้าไปจึงทำให้ร่างกายเปลี่ยนจากร่างทิพย์กลายเป็นร่างกายหยาบขึ้นมาจนไม่สามารถเหาะกลับขึ้นไปอีกได้ เลยต้องมาอยู่บนโลกเป็นมนุษย์ในยุคแรกของโลก หลังจากนั้นต่อมาพรหมพวกนี้จึงเกิดความพึงพอใจในกันและกันอวัยวะเพศชายหญิงจึงเกิดมีขึ้นมา
ประเด็นมันอยู่ตรงที่พวกเรานั้นมีบรรพบุรุษเป็นพรหม ซึ่งพวกพรหมนั้นก็คือพวกที่ไม่มีเพศคือไม่มีการแบ่งเพศชายเพศหญิงเพราะไม่มีอวัยวะเพศ เพราะผู้ที่จะไปเป็นพรหมได้คือพวกที่ไม่มีความสนใจทางเพศ (ถือพรหมจรรย์) ผิดกับพวกเทวดาที่ยังมีเทพบุตรและเทพธิดา เทวดายังมีการเสพกามแบบละเอียด พรหมจึงเป็นผู้ที่มีคุณธรรมสูงกว่าเทวดา อายุก็มากกว่า อยู่ชั้นสูงกว่า ละเอียดกว่า รัศมีก็สว่างกว่าเทวดา เราจึงต้องเตือนตัวเองไว้เสมอว่าเรานั้นมาจากพรหมซึ่งไม่มีเพศ แล้วทำไมเราจึงต้องไปสนใจเรื่องกามกิเลสทางเพศด้วยเล่า เราจะตัดความต้องการทางเพศเพื่อกลับไปเป็นพรหมเหมือนกับที่เราเคยเป็น ผู้สำเร็จหรือศาสดาในทุกศาสนาต่างก็ถือพรหมจรรย์ด้วยกันทั้งนั้น
ขั้นต่อไปก็ให้พิจารณาว่าคนเรามันสวยมันงามตรงไหน อ๋อ...เพราะมันถูกตาต้องใจเรานี่เอง มันสวยหล่อตรงสเปคของเรา แต่แท้จริงแล้วมันก็สวยหล่อแค่ที่ผิวหนังเท่านั้น ลองลอกผิวหนังออกดูจะเห็นว่ามันก็เป็นแค่ก้อนเนื้อและเลือดเท่านั้น ที่เดินไปเดินมาอยู่นั้นก็แค่ก้อนเนื้อแดงๆ แทบจำกันไม่ได้ว่าใครเป็นใคร ลองเอาคนที่สวยที่สุดมาลอกผิวหนังออกดูแล้วเรายังจะเห็นว่าสวยอยู่อีกไหม ต่อไปถ้าเราเห็นใครว่าสวยว่างาม ผมจับลอกผิวหนังออกหมดแหละ เออ...ไม่มีใครสวยอีกเลย มันก็แค่ก้อนเนื้อที่ห่ออวัยวะน้อยใหญ่ไว้เหมือนกันหมด ความกำหนัดทางเพศก็แทบจะหมดไปในทันที
ขั้นสุดท้ายที่เราต้องต่อสู้กับกามกิเลสก็คือเจ้าตัวสัญญาความจำ เพราะมันจะมาตอนที่เราเผลอสติ ความสวยความงามและความต้องการทางกามกิเลสนั้นมันมาจากความจำได้หมายรู้ที่ผ่านๆ มา เพราะเจ้าตัวกามกิเลสนี้มันอยู่กับเรามานาน เรายังติดตราตรึงใจในรสสัมผัสของมัน พอเห็นใครถูกตาต้องใจแล้วเราก็มักจะเกิดความชอบใจพอใจในสิ่งที่เราเห็น มันเกิดความพอใจเพราะเราจดจำมันได้ เราจึงอยากได้ความสัมผัสนั้นอีก ขั้นนี้ซิยาก....เราจะลบความจำได้หมายรู้นั้นออกไปได้อย่างไร มันลบไม่ออกหรอกครับ เพราะเราสั่งสมกามสัมผัสนี้มานานนับภพนับชาติไม่ถ้วน เราต้องสู้กับมันด้วยปัญญา (วิชา) ด้วยการพิจารณาทำความเข้าใจและสอนตัวเองว่าผู้หญิงหรือผู้ชายมันก็เป็นแค่ก้อนเนื้อเหมือนกัน มีหัว ผม ตา จมูก แขน ขา อวัยวะภายในเหมือนกันทุกอย่าง ผู้หญิงหรือผู้ชายก็เหมือนๆ กัน ที่แตกต่างกันก็แค่อวัยวะเพศ เพราะโลกนี้มันต้องมีการสืบต่อเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ มันต้องมีลูกมีหลานเพื่อสร้างคนรุ่นต่อๆ ไปเท่านั้น ไม่ใช่เอาอวัยวะนี้มาใช้เพื่อความบันเทิง เราต้องหมั่นไตร่ตรองพิจารณาเพื่อตัดกามกิเลสนี้ ไม่นานหรอกครับ มันก็เหมือนกับการหุงข้าว กว่าที่ข้าวสารจะถูกหุงจนเป็นข้าวสวยมันต้องใช้เวลาในการหุง ก็แค่ตั้งข้าวไว้แล้วหมั่นเติมเชื้อฟืนอย่าให้ไฟมอด พอถึงที่ถึงเวลาข้าวมันก็จะสุกของมันเอง
นี่จึงเป็นวิธีคิดที่ผมหมั่นเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ความต้องการทางเพศไม่ใช่ความปรารถนาของผม ผมไม่ต้องการและไม่สนใจในเรื่องเพศ ผมต้องการกลับไปเป็นพรหมเหมือนกับที่ผมเคยเป็นมา ผมไม่อยากกลับมาเกิดมาตายอีกแล้ว...มันเบื่อและสงสารตัวเองครับ